อี ดง กุก : จุดเปลี่ยนสุดซึ้งจากจอมขี้เกียจอันดับ 1 สู่ยอดกองหน้าเกาหลีใต้
"ผมไม่เลือกอัจฉริยะสันหลังยาวเข้าสู่ทีม" นี่คือสิ่งที่สื่อเกาหลีใต้อ้างอิงคำพูดของ กุส ฮิดดิ้งก์ ในการตัดสินใจตัด อี ดง กุก ออกจากทีมชุดฟุตบอลโลก 2002 ที่เป็นเวิลด์คัพครั้งประวัติศาสตร์ของทัพโสมขาว
ในขณะที่เพื่อนร่วมทีม 23 คนถูกเรียกว่าฮีโร่ของชาติ อี ดง กุก นักเตะกองหน้าหมายเลข 1 ของประเทศ ก็เริ่มกลายเป็นคนละคน จนพบเส้นทางชีวิตที่ตกต่ำและโดนดูถูกอยู่หลายปี เขาจมอยู่กับคำวิจารณ์นั้นและพยายามหาเหตุผลว่า "เพราะอะไร ?"
นี่คือเรื่องราวจากการขึ้นสุด ลงสุด และปิดฉากอย่างสวยงามที่สุดของ อี ดง กุก ที่ประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 41 ปี ... ในหน้าฉากสุดท้าย อะไรทำให้เขาถูกเปลี่ยนฉายาจาก "คนสันหลังยาว" เป็น "ซูเปอร์แมน" และ "นักเตะที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์เคลีก" ได้ ? ติดตามที่นี่
1998 จุดเริ่มต้นของ "อี ดง กุ๊ก"
ย้อนกลับไปในช่วงปี 1998 ฟุตบอลของเกาหลีใต้และทีมชาติของพวกเขาไม่เคยได้รับความสนใจในระดับโลก และในยุคที่ทางเลือกในการเสพสื่อมีน้อยมาก ทำให้ อี ดง กุก ซึ่งมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับ ไมเคิล โอเว่น ไม่เคยถูกพูดถึงและเป็นที่รู้จักเลย แม้กระทั่งในเอเชียหรือละแวกใกล้เคียงก็ตาม
ดง กุก เติบโตมากับระบบเยาวชนของทีม โปฮัง สตีลเลอร์ส ทีมที่ถือว่าเป็นโคตรทีมของลีกเกาหลีใต้ในช่วงปลายยุค 90s กับการนำทีมคว้าแชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนลีก (ฟุตบอลสโมสรชิงแชมป์เอเชีย ในเวลานั้น) ปี 1998 ตอนที่อายุเพียง 18 ปี ... ไม่ว่า ดง กุก จะพูดอะไร ก็มักจะมีคนจับเอาประเด็นของเขาไปขยายความ สื่อเกาหลีใต้ในตอนนั้นหวังไว้ไกลกับเขา หวังว่าเขาจะเป็น ชา บุม กุน (ตำนานนักเตะเกาหลีใต้ที่ไปเล่นในบุนเดสลีกา) ด้วยสไตล์การจบสกอร์ในแบบฉบับเบอร์ 9 ของแท้ จมูกไว เล่นบอลกับเท่าดี แม้จะตัวเล็กแต่ก็เทคตัวได้สูงจนลูกกลางอากาศไม่เป็นปัญหา
นั่นทำให้เขาติดทีมชาติเกาหลีใต้ไปแข่งฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส และฟุตบอลโลกครั้งนั้นสอนให้ดาวยิงแชมป์เอเชียรู้ว่า โลกฟุตบอลทำไมมันกว้างใหญ่ได้ขนาดนี้
"ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องวัฒนธรรมฟุตบอลของทีมชาติอื่น ๆ เลย เพราะเราไม่มีอินเตอร์เน็ต ฟุตบอลโลกครั้งแรกของผมจึงเกิดขึ้นแบบงง ๆ ผมไม่รู้จักว่าคู่แข่งของผมคือใคร ผมไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับชาติอื่น ๆ เลย" อี เริ่มเล่ากับ AFC.com
สิ่งที่ ดง กุก บอก ยืนยันด้วยผลงานของทีมชาติเกาหลีใต้ พวกเขาเปิดสนามด้วยการแพ้ เม็กซิโก 1-3 ตามด้วยการโดน เนเธอร์แลนด์ ถล่ม 0-5 ก่อนจะปิดท้ายด้วยการเสมอ เบลเยียม ไป 1-1 ตกรอบแบบเป็นบ๊วยของกลุ่ม ... แต่ถึงแม้จะดูแย่ สิ่งนั้นเองที่ทำให้ ดง กุก รู้สึกว่าเขาจะอยู่แบบนี้ไม่ได้แล้ว โลกฟุตบอลของจริงมันทั้งใหญ่และยากกว่าที่เขาเคยเจอ เขาอยากจะพาทีมไปฟุตบอลโลกอีกครั้ง และอยากจะทำให้เกาหลีใต้ สู้ชาติอื่นได้อย่างสนุก ไม่ใช่การเป็นหมูสนามให้ถล่มเช่นนี้
Photo : KFA
13 นาทีในฟุตบอลโลกครั้งนั้นของ ดง กุก เปลี่ยนให้เขากลายเป็นนักเตะที่มุ่งมั่นและเก่งขึ้นในเวลาอันสั้น เขาพัฒนาและกลายเป็นดาวซัลโวของ โปฮัง สตีลเลอร์ส 2 ปีติดต่อกัน และตอนอายุ 21 ปี เขาตัดสินใจทำตามสิ่งที่คิดไว้เมื่อฟุตบอลโลกครั้งที่แล้ว เขาจะต้องเก่งเกินระดับเอเชีย และทางเดียวคือการไปยุโรป ตอนนั้นเขาถูกยืมตัวโดย แวร์เดอร์ เบรเมน ทีมระดับหัวแถวของ บุนเดสลีกา เยอรมัน ในปี 2001
ปัญหาของคนเก่งมาก
ดง กุ๊ก ไปเล่นให้กับ เบรเมน ด้วยวัยที่กำลังหนุ่มแน่น เขารู้ดีว่าเขาจะไม่ใช่ตัวหลัก แต่สิ่งที่เขาคิดคือการออกไปเรียนรู้และเป็นหน้าใหม่ของโลกกว้าง ยังดีกว่าการอยู่ในกะลาใบเดิมแล้วคิดว่าตัวเองเก่ง
Photo : www.ohmynews.com
ณ ตอนนั้นไม่มีใครคิดว่าเขาจะได้ลงเล่นให้ เบรเมน ด้วยซ้ำ ทุกคนมองไปถึงการตลาด ทว่า ดง กุก นั้นเป็นหนึ่งในสเตริโอไทป์ของชาวเอเชีย กล่าวคือเขาเป็นคนตั้งใจทำงานหนัก ไม่เคยเถียงสิ่งที่โค้ชบอก ใครสั่งอะไรเขาทำตามทั้งหมดในแบบฉบับของนักเตะที่ไร้แต้มต่อ แม้จะยิงไม่ได้แต่ก็ได้ลงสนามให้ เบรเมน ไป 7 นัด ก่อนจะโชคไม่ดีที่ได้รับบาดเจ็บจนต้องกลับมาเล่นให้ โปฮัง หลังหมดสัญญายืมตัว
เขากลับมาเป็นสุดยอดนักเตะของ เคลีก ที่เก่งและเคี่ยวกว่าเดิม แต่ปัญหาคือการได้รับการยอมรับว่าเก่งกว่าคนอื่น ๆ ในลีก ส่งผลบางอย่างกับเขาแบบเงียบ ๆ ดง กุก ในเวอร์ชั่นซูเปอร์สตาร์ มีปัญหาเรื่องการวางตัว ตอนแรก ดง กุก ไม่เคยเข้าใจว่าทำไมเป็นอย่างนั้น จนกระทั่งเขาอายุมากขึ้นและเล่าย้อนกลับไปในช่วงต้นยุค 2000s เขาพบเหตุผลว่า แท้ที่จริงเป็นเพราะเขา "หยิ่งผยอง" จนเข้ากับเพื่อนร่วมทีมไม่ค่อยได้
ผลงานในลีกยังดำเนินต่อไปด้วยประตูที่มากขึ้นเรื่อย ๆ และฟุตบอลโลกปี 2002 ก็ใกล้เข้ามาทุกขณะจิต เกาหลีใต้ เป็นเจ้าภาพร่วมกับ ญี่ปุ่น พวกเขาหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องได้อะไรจากการแข่งขันครั้งนี้บ้าง ไม่ใช่การแพ้และบอกว่าสู้เต็มที่แล้ว แต่พวกเขาหวังถึงขั้นการสร้างปรากฎการณ์ นั่นคือเหตุผลที่ทำให้มีการจ้าง กุส ฮิดดิงค์ กุนซือชาวดัตช์ผู้มากประสบการณ์เข้ามาคุมทีม
มองเผิน ๆ เป้าหมายของทีมชาติและ ดง กุก นั้นตรงกันเป๊ะ ... เขาเป็นนักเตะไม่กี่คนที่อยู่ในชุดบอลโลกปี 1998 เขารู้ดีว่าจะต้องเล่นยังไงเมื่อเจอกับทีมระดับโลก และ ณ เวลานั้น เกาหลีใต้ มีนักเตะเล่นในต่างแดนน้อยมาก นอกจาก ดง กุก ที่เคยมีประสบการณ์กับ เบรเมน แล้ว มีแค่ โซล คี เฮือน และ อาห์น จุง ฮวาน เท่านั้น
สื่อเกาหลีใต้ทุกแขนงมั่นอกมั่นใจว่า นักเตะที่มีประสบการณ์ในต่างชาติทุกคนจะถูก ฮิดดิ้งก์ เรียกติดทีมแน่ เพราะประสบการณ์คือสิ่งที่ เกาหลีใต้ ชุดนั้นขาด ทว่าหลังจากที่กุนซือชาวดัตช์ประกาศชื่อไล่ทีละคน ชื่อของ โซล คี เฮือน และ อาห์น จุง ฮวาน ถูกเรียกออกมาตามคาด จนกระทั่งผู้เล่นคนที่ 23 กลับกลายเป็นชื่อของ ชอย อึน ซอง ที่เคยติดทีมชาติแค่เกมเดียว นั่นหมายความว่า อี ดง กุก ดาวยิงเบอร์ต้น ๆ ของประเทศตกรถในฟุตบอลโลกครั้งประวัติศาสตร์นี้
"แฟนบอลเกาหลีใต้หลายคนช็อคที่ผมหลุดทีมชุดฟุตบอลโลก 2002 ที่เราเป็นเจ้าภาพ อย่าว่าแต่พวกเขาเลย ผมนี่แหละช็อคที่สุด" ดง กุ๊ก ย้อนความหลัง และแน่นอน ตอนนั้นเขาไม่เข้าใจ
เรื่องเล่าของทีมชาติเกาหลีใต้ที่คว้าอันดับ 4 ในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งนั้นมีหลายแง่มุม ดีบ้าง ร้ายบ้าง ว่ากันตามทรรศนะของแต่ละคน แต่สำหรับนักเตะเกาหลีใต้ชุดนั้น ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าไม่มี ฮิดดิ้งก์ ทีมไม่มีทางมาถึงจุดนี้ เพราะระบบของ ฮิดดิ้งก์ ต้องการนักเตะที่มีความเป็นทีมสูง พร้อมจะวิ่งเมื่อเขาบอกให้วิ่ง พร้อมจะเจ็บหากเขาบอกให้เจ็บ ฮิดดิ้งก์ เรียกเด็ก ๆ ของเขาว่า "หมาหนุ่ม" และแน่นอนว่า ณ ตอนนั้น ดง กุก ไม่พร้อมจะเป็นหมาให้ใคร นั่นทำให้เขาถูก ฮิดดิ้งก์ เรียกว่า "อัจฉริยะสันหลังยาว" (Lazy Genius)
"ตอนแรกผมไม่เข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่พอมองย้อนกลับไป ผมรู้นะว่าทำไมผมถึงพลาดจากทีมชุดนั้น ผมกำลังดังและหยิ่งผยอง ผมล้มเหลวในการเป็นหนึ่งเดียวกับทีม ผมพูดคุยกับสื่อในเกาหลีใต้มากมาย (เพื่อโจมตีสิ่งที่ฮิดดิ้งก์ทำ) รู้ตัวอีกทีผมก็เกลียดฟุตบอลไปอย่างไม่น่าเชื่อ"
ความผิดหวังที่ลุกไม่ขึ้น
"ในช่วงฟุตบอลโลก ผมยังอยู่ที่เกาหลีใต้ แต่ผมไม่ดูการถ่ายทอดสดเลยแม้แต่เกมเดียว ผมเลือกจะดื่มเหล้าแทน ดื่มให้มันลืมความเจ็บปวดและลบความทรงจำที่ผ่านมาทิ้งไป" ขณะที่เพื่อน ๆ และแฟนบอลในประเทศฉลองกันอย่างเต็มพิกัดกับอันดับ 4 ในประวัติศาสตร์ ดง กุ๊ก กำลังผิดหวังจนอยากเลิกเล่นฟุตบอล
Photo : m.edaily.co.kr
แต่หน้าที่ของเขาก็ยังต้องเกี่ยวข้องกับมันอย่างเลี่ยงไม่ได้ ในปี 2003 เขาต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหาร 2 ปี ตามกฎหมายของประเทศ (ขณะที่เพื่อน ๆ ชุดฟุตบอลโลก 2002 ได้รับอภิสิทธิ์ เข้ากรมเพียง 4 สัปดาห์เท่านั้น) และทำให้เขาต้องถูกส่งไปสังกัดกับ ซังจู ซังมู ซึ่งเป็นทีมฟุตบอลของกองทัพเกาหลีใต้ แม้ไม่ได้ใส่ชุดพรางแต่ก็ถือว่าเป็นการรับใช้ชาติกลาย ๆ ซึ่งช่วงเวลานั้นเขาดีขึ้นมาบ้าง โดยเฉพาะในปีแรกที่ยิงไป 11 ลูกใน เคลีก และกลับมาติดทีมชาติอีกครั้ง เขาเล่นที่นี่อยู่ 3 ปี และถูกเรียกว่า "กองหน้าเบอร์ 1 ของประเทศ" จากนั้นไม่นานเขาก็ถูก มิดเดิลสโบรช์ ที่ ณ เวลานั้นมี แกเรธ เซาธ์เกต เป็นกุนซือดึงตัวไปร่วมทีมด้วยสัญญา 18 เดือน
ฟุตบอลอังกฤษยากมากสำหรับนักเตะเอเชียในยุคนั้น แม้แต่จอมฟิตอย่าง พัค จี ซอง ที่เล่นให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ไม่สามารถยึดตัวหลักได้ และ ดง กุก เองก็เช่นกัน เขามา ๆ หาย ๆ ในตำแหน่ง 11 ตัวจริง ได้ลงเล่นทั้งหมด 23 เกม ยิงได้ 2 ประตูในเกมฟุตบอลถ้วย แม้ เซาธ์เกต จะบอกว่าไม่เลวสำหรับนักเตะที่เพิ่งมีประสบการณ์ในฟุตบอลอังกฤษ แต่นั่นยังไม่มากพอที่จะทำให้เขาได้สัญญาฉบับใหม่
ยิ่งไปกว่านั้น ปัญหาของ ดง กุก ในเรื่องของพฤติกรรมยังคงไม่จบสิ้น และยังคงทำตัวน่าผิดหวังอยู่เรื่อย ๆ ในฟุตบอลโลกปี 2006 เขาที่ถูก ดิค อัตโวคาท เรียกติดทีมชาติ เกาหลีใต้ ในฐานะตัวเลือกแรก ก็เกิดอาการบาดเจ็บที่เข่าจนต้องถอนตัวออกไป พลาดฟุตบอลโลกเป็นหนที่ 2 ติดต่อกัน ตามด้วยความผิดพลาดครั้งต่อมาในเวลาอีกไม่กี่เดือน
หลังจากที่หายเจ็บเข่า ดง กุก กลับมาติดทีมชาติในชุด เอเชี่ยน คัพ ปี 2007 อีกครั้ง ทว่าหลังจากที่มีการเรียกตัวเข้าแคมป์ทีมชาติ เขาก่อเรื่องด้วยการแหกค่ายไปปาร์ตี้ นอกจากนั้นยังถูกจับได้ว่าเขาซื้อบริการจากโสเภณีพร้อม ๆ กับเพื่อน ๆ อีก 3 คน ณ เวลานั้น ดง กุก มีภรรยาและลูกแล้ว นี่จึงเป็นความผิดหวังของคนทั้งเกาหลีใต้ที่เคยเอาใจช่วยเขา วัฒนธรรมของชาวเอเชียไม่เคยเปิดกว้างและยอมรับเรื่องพวกนี้ได้ เขาโดนโจมตีอย่างหนัก จนสมาคมต้องหาทางออกด้วยการลงโทษแบน ดง กุก จากทีมชาติเป็นระยะเวลาทั้งหมด 12 เดือน
ว่ากันว่านี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ เดอะ โบโร่ ไม่เก็บเขาไว้ เพราะนอกจากผลงานจะยังไม่ได้น้ำได้เนื้อแล้ว ปัญหาความนิยมจากพฤติกรรมฉาวโฉ่ครั้งนี้ยังทำให้ทำให้เขาเสียราคาการเรียกลูกค้าในเกาหลีใต้ของ โบโร่ ลงไปอีก สัญญาของ ดง กุก จึงสิ้นสุดลงไปโดยไม่มีการคุยอะไรจากนั้นเพิ่มเติม
เขากลับมาเล่นในเกาหลีใต้อีกครั้งในปี 2008 กับสโมสร ซองนัม อิลวา ชุนมา (ซองนัม เอฟซี ในปัจจุบัน) แต่ก็ยิงได้เพียง 2 ประตูจากการลงสนาม 10 นัดในลีก ซึ่งช่วงเวลานี้เหมือนเป็นช่วงเคาะสนิม เพราะหลังจากจบฤดูกาลเขาถูก ชุนบุค ฮุนได มอเตอร์ส ดึงตัวไปร่วมทีม นับแต่นั้น ดง กุก ก็เกิดใหม่ เขายิงประตูมากมายจนได้รางวัลดาวซัลโว แต่ถึงอย่างนั้นสำหรับโค้ชเกาหลีใต้ยุคใหม่ ไม่มีใครเชื่อว่า "อัจฉริยะสันหลังยาว" คนนี้จะสำคัญถึงขั้นขาดไม่ได้ในทีมชาติ
หลายคนบอกว่าสำหรับ ดง กุก คงทำได้ดีแค่ใน เคลีก เท่านั้น แม้กระทั่งกุนซือทีมชาติคนใหม่อย่าง ฮู จอง มู ยังบอกว่านักเตะอย่าง ดง กุก ในเวลานี้ไม่ได้หายากในเกาหลีใต้เหมือนเมื่อ 7-8 ปีก่อนอีกแล้ว นักเตะเยาวชนหลายคนเก่งขึ้นมาจากระบบเยาวชนทีดีขึ้นของแต่ละสโมสร ดังนั้น ดง กุก ไม่จำเป็นสำหรับเขา
"ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะดีกว่ากองหน้าคนอื่น ๆ ที่เรามีหรือเปล่า เขาควรจะเคลื่อนที่ให้ได้ดีกว่านี้ ว่ากันตามตรง ผมไม่เถียงหรอกที่ใครบอกว่าเขาเกิดมาเพื่อเป็นดาวซัลโว แต่คุณเชื่อเหรอว่าเขาจะสามารถยิงประตูมากมายใส่ทีมที่แข็งแกร่งระดับโลกได้ ... ผมคิดว่าคงไม่มีใครเชื่อหรอกนะ"
"ผมรู้ว่าเขายิงประตูได้มากมาย แต่ว่าก็ว่าเถอะนะ แต่ละประตูที่เขายิงได้แทบไม่มีลูกไหนที่เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาเองเลย เขาต้องขยันให้เยอะกว่านี้ ไม่ใช่ยืนรอให้เพื่อนป้อนให้เฉย ๆ แบบนี้" ฮู จอง มู ว่าไว้
จากไอ้สันหลังยาวสู่ซูเปอร์แมน
การโดนเรียกว่าคนขี้เกียจถึง 2 ครั้ง 2 ครา ทำให้ความทรงจำเมื่อฟุตบอลโลก 2002 กลับมา เขาไม่อยากจะเป็นคนที่เล่นกับเพื่อนไม่ได้จนโค้ชต้องมองข้าม จากนี้ไป ดง กุก ตั้งปณิธานว่า เขาจะไม่รอให้เพื่อนปรับตัวเข้าหาเขา แต่เขาจะปรับให้เป็นหนึ่งเดียวกับทีมให้ได้
"ผมเป็นคนมีหัวใจที่แข็งแกร่งพอตัว แต่ที่เปลี่ยนไปคือผมถ่อมตนมากขึ้น ฟุตบอลโลก 2002 สอนใจผมได้ดี ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าผมมีพรสวรค์และเก่งมาตามธรรมชาติ จนกระทั่งวันนี้ผมตระหนักแล้วว่ามันยากแค่ไหนสำหรับการเป็นมืออาชีพ ผมควรจะเพิ่มความพยายามที่มีเป็น 2 เท่า" ดง กุ๊ก ว่าไว้
ณ ช่วงเวลาที่เขาย้ายมา ชุนบุค นั้น ทีมยังไม่ได้โด่งดังคับประเทศและคับทวีปเหมือนปัจจุบัน โค้ชที่ชื่อว่า ชเว คัง ฮี เป็นคนให้โอกาสและเห็นถึงความมุ่งมั่นของเขา ประสบการณ์ของ ดง กุก จะเปลี่ยน ชุนบุค เป็นทีมที่ดีได้ และ ดง กุก จำบุญคุณนี้ไม่ลืม
"ผมมาที่นี่ (ชุนบุค) ครั้งแรก เรายังเป็นทีมที่ไม่ได้ดังและใหญ่อะไรเลย เราไม่มีชื่อเสียง ไม่มีแม้กระทั่งแฟน ๆ เต็มสนาม เราเป็นทีมหนึ่งที่แพ้และไม่เคยเข้าใกล้การเป็นแชมป์ลีก แต่ผมมั่นใจมากว่าเราจะกลับมาเป็นผู้ชนะได้"
ดง กุก ขยันซ้อมแบบสุดชีวิต จน ชเว คัง ฮี ต้องออกตัวเรื่องที่เขาโดนจู่โจมมาตลอดว่าขี้เกียจ โค้ช ชเว เถียงแทน ดง กุก และบอกว่า ณ นาทีนี้เขาไม่คิดว่าใครจะดีกว่าลูกทีมของเขาอีกแล้วในประเทศ ชเว ขอให้ทุกคนเลิกอคติ และให้โอกาส ดง กุ๊ก เหมือนที่เขาทำ แล้วทุกคนจะได้เห็นว่า ดง กุ๊ก เปลี่ยนไปขนาดไหน
"ใครที่บอกว่า อี ดง กุก สร้างสรรค์โอกาสไม่เป็น ผมว่ามันไม่ใช่แล้วล่ะ ผมจับตาดูเขาทุกนาทีในการฝึกซ้อม เห็นเขาเล่นทุกวัน รู้จักเขาดีมากยิ่งกว่าใคร ๆ ตอนนี้เขาเปลี่ยนไปแล้ว ได้โปรดอย่าอคติกับเขาเลย" โค้ช ชเว ว่าไว้
Photo : gramho.com
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือ นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมาเป็นเวลาถึง 10 ปี ไม่มีปีไหนที่เขายิงได้น้อยกว่า 10 ลูกให้ ชุนบุค เลย โดยเฉพาะในช่วงที่เขาพีกสุด ๆ ดง กุก ยิงแตะหลัก 30 ลูกสบาย ๆ ทุกคนเริ่มเข้าใจว่า ดง กุก เปลี่ยนไปจริง ๆ ไม่มีใครใน เคลีก หยุดเขาได้ และเขาก็เป็นคนที่ขยันมากกว่าที่เคยเป็นในวัยหนุ่ม ทุกอย่างผ่านการเรียนรู้และทำให้ ดง กุ๊ก ถูกเรียกว่า "ซูเปอร์แมน"
เขากลับสู่การติดทีมชาติชุดฟุตบอลโลก 2010 (ณ เวลานั้นอายุ 30 ปี) และลงเล่นมากกว่า 100 เกมในนามทีมชาติ แต่เหนือสิ่งอื่นใด คือเขาพา ชุนบุค เป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ด้วยการคว้าแชมป์ เคลีก 8 สมัยจาก 11 ฤดูกาล พร้อมทั้งยังคว้าแชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2016 อีกด้วย
หน้าที่ที่แท้จริง
อี ดง กุก กลายเป็นตำนานของ เคลีก ด้วยสถิติการยิงประตูมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ 228 ประตู จากคนขี้เกียจ เขาพิสูจน์อะไรหลายอย่างจนทุกคนกลับมารักในความเป็นมืออาชีพของเขาอีกครั้ง ชื่อเสียงของ ดง กุก นั้นจะบอกว่าดังตอนแก่ก็ยังไม่ผิด เขาเล่นให้ ชุนบุค จนอายุ 41 ปี และยังยิงประตูแบบต่อเนื่องไม่หยุด ทุกคนสรรเสริญเขาในฐานะยอดนักเตะ แต่สำหรับ ดง กุก เขามองข้ามเรื่องนั้นไปนานแล้ว ...
Photo : kmib.co.kr
หากคุณอ่านตามที่เล่ามาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าช่วงเวลาของความยิ่งใหญ่ในฐานะนักฟุตบอลของ ดง กุก เริ่มต้นขึ้นในปี 2009 ... หลายคนอาจจะคิดว่าเป็นเพราะการย้ายทีมที่ถูกที่ถูกเวลา แต่ความจริงแล้วไม่ใช่เสียทีเดียว ปัจจัยหลักที่เปลี่ยนแปลงทุกอย่างค่อย ๆ ก่อตัวก่อนหน้านั้นในปี 2005 ตอนที่เขาแต่งงานกับ อี ซู จิน รองนางงามเกาหลีปี 1997 คู่หมั้นของเขา และเริ่มใช้ชีวิตในฐานะหัวหน้าครอบครัวต่างหาก
เขาแค่ไม่ต้องการหวังสูงเหมือนในอดีต เขาแค่อยากจะสนุกกับฟุตบอลและทำมันอย่างสุดความสามารถ คิดว่ามันเป็นเครื่องมือพิสูจน์ความเป็นคนของตัวเขาเอง ทำให้ทุกคนได้เห็นว่า ดง กุ๊ก คนเดิมตายไปแล้ว จาก ไอ้ขี้เกียจ เหลือเพียง ซูเปอร์แมน ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น
หากยังจำกันได้ เรื่องที่เขาผิดวินัยร้ายแรงเที่ยวโสเภณีในปี 2007 คือเหตุการณ์สำคัญที่ ดง กุก อยากจะทำเรื่องดี ๆ บ้างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง เขาอยากจะขอโทษภรรยาที่เลือกทำในสิ่งที่โง่ที่สุด และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด คือเขาอยากให้ลูก ๆ ของเขาทั้ง 5 คนเติบโตขึ้นมาและได้ยินคนชมพ่อเขาว่าเป็น "ตำนาน" ไม่ใช่เป็น "ไอ้จอมขี้เกียจ" หรือ "ไอ้พวกบ้าตัณหา" เหมือนในช่วง 10 กว่าปีก่อน
Photo : www.news1.kr
"สิบปีก่อนมีเพียงแค่ผมกับภรรยาเท่านั้น แต่ตอนนี้ครอบครัวของเรามีกัน 7 คน เมื่อใดก็ตามที่ผมรู้สึกเหนื่อยและไม่ไหวกับสิ่งที่เจอ ภรรยาจะยืนข้าง ๆ และบอกเสมอว่า นี่ก็แค่ฉากหนึ่งของละครชีวิตเท่านั้น ถ้ามั่นใจว่าทำในสิ่งที่ถูกต้อง ตอนจบจะต้องลงเอยด้วยความสุขแน่นอน"
"ก่อนผมจะแต่งงาน ผมเล่นฟุตบอลเพื่อตัวเองมาโดยตลอด แต่พอเริ่มมีครอบครัวจริงจังนี่แหละ ผมรู้สึกว่าตัวเองควรจะรับผิดชอบต่อลูก ๆ ผมอยากให้เด็ก ๆ โตขึ้น มองมาที่พ่อของพวกเขา และได้ยินสิ่งที่ทุกคนพูดว่า 'พ่อของเธอคือนักฟุตบอลที่เก่งที่สุดในเกาหลีใต้นี่นา'"
"ไม่มีพ่อคนไหนไม่อยากเป็นผู้ชายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับลูก ๆ ของเขาหรอก ผมเป็นซูเปอร์แมน (ในวงการฟุตบอล) ก็จริง แต่ผมอยากเป็นซูเปอร์แมนที่คอยปกป้องพวกเขามากกว่า" ดง กุก เผยเรื่องอีกมุมที่ใครยังไม่รู้
Photo : 전북현대모터스 - Jeonbuk Hyundai Motors FC
เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาว คำนี้อาจจะพอเปรียบเทียบกับชีวิตของ อี ดง กุ๊ก ได้ดีที่สุด ทุกอย่างไม่มีทางดีขึ้นได้หากยังทำแต่สิ่งเดิมซ้ำ ๆ โดยที่ไม่รู้ว่าตนเองผิดพลาดอะไรไป ...
จุดเริ่มต้นของการอยากจะเป็นคนดีเพื่อภรรยาและลูก ๆ ของ อี ดง กุก ได้พิสูจน์แล้วว่า เหตุใดสถาบันครอบครัวจึงเป็นสถาบันที่สำคัญกับชีวิตคนเรามากที่สุด เรามั่นใจได้เลยว่าตอนแรกเขาไม่ได้หวังว่าชีวิตค้าแข้งของเขาจะยาวนานจนถึง 23 ปี แต่การเริ่มเป็นคนที่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว กลับส่งผลให้ชีวิตของเขาดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน และการมาถึงจุดที่ดีที่สุดนี้เอง ที่ทำให้เขาไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่เคยผ่านมาทั้งในและนอกสนาม
"ตลอดเวลา 23 ปีที่ผ่านมา ผมได้รับความรักและการสนับสนุนจากใครหลายคนมากมายทั้งในและนอกสนาม ถึงตอนนี้ผมขอประกาศเกษียณอาชีพนักฟุตบอลอย่างเป็นทางการ นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่มันคือจุดเริ่มต้นของสิ่งใหม่ ๆ ณ ตอนนี้ผมพูดได้เลยว่า ผมสามารถนอนกอดรองเท้าฟุตบอลคู่เก่งและพูดกับมันว่า 'ขอบคุณ' ได้อย่างเต็มภาคภูมิแล้ว" ดง กุก กล่าวทิ้งท้าย ปิดฉากการเดินทางบนเส้นทางลูกหนังอย่างน่าประทับใจ