ผีมันทำ : เมื่อสนามของ "เซาธ์แฮมป์ตัน" มีวิญญาณจองเวรจน "แข่งยังไงก็ไม่ชนะ"
สนามเดิมใช้มา 100 กว่าปี ใครมาเยือนที่นี่ก็ต้องขาสั่น ... ว่ากันว่า สนาม เดอะ เดลล์ คือสังเวียนเหย้าที่ทำให้ เซาธ์แฮมป์ตัน เป็นโคตรทีมของอังกฤษในยุค 80s
อย่างไรก็ตามเมื่อทีมกำลังขาขึ้น พวกเขาตัดสินใจสร้างสนามใหม่ในพื้นที่ใกล้เคียง สนามนี้ใหญ่ขึ้น ทันสมัยขึ้น และแสดงถึงความทะเยอทะยานที่มากขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อไปแข่งจริง ๆ แล้ว กลับกลายเป็นสถานการณ์มันแย่ลงกว่าเดิม
เมื่อความแย่ ทั้งฟอร์มแสนห่วย และเรื่องแปลก ๆ ได้เกิดขึ้น ก็เริ่มมีการพูดถึงคำสาปและวิญญาณร้ายใต้สนามที่บันดาลให้ทุกอย่างเป็นเช่นนี้ จนนำไปสู่การขุดความจริงเต็มรูปแบบ ชนิดที่ว่าหมอผีก็มากับเขาด้วย
ติดตามเรื่องราวใต้สนามสุดเฮี้ยนของผีที่ทำให้ เซาธ์แฮมป์ตัน ไม่ชนะเกมในบ้านนานถึง 2 เดือนได้ที่นี่
จาก เดอะ เดลล์ สู่ เซนต์ แมรี่
เซาธ์แฮมป์ตัน คือหนึ่งในสโมสรที่อยู่คู่วงการฟุตบอลอังกฤษมานานนม สโมสรแห่งนี้มีอายุกว่า 134 ปีแล้ว ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ โดยหนึ่งในเหตุการณ์สำคัญของทีม นักบุญแดนใต้ ที่อยู่ในความทรงจำของแฟนบอลของพวกเขา คือการย้ายสนามเหย้าจาก "เดอะ เดลล์" ที่อยู่กับทีมมานานร่วม 1 ศตวรรษ (1898-2001) มาสู่รังเหย้าใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม
Photo : geograph.org.uk
สาเหตุที่ทำให้สโมสรตั้งใจจะย้ายสนามเหย้า เกิดขึ้นในยุค 80s เป็นเพราะ ณ เวลานั้น เซาธ์แฮมป์ตัน ถือเป็นทีมระดับหัวตารางของลีกสูงสุดในประเทศ (ดิวิชั่น 1) โดยเฉพาะในช่วงปี 1984 นั้นเคยป้วนเปี้ยนจนไปถึงตำแหน่งรองแชมป์มาแล้ว
บอร์ดบริหารเห็นว่าทีมกำลังมีทิศทางที่ดี ควรจะมีสนามใหม่ที่ใหญ่กว่านี้ เพราะ เดอะ เดลล์ รับความจุได้ราว ๆ 15,000 คนเท่านั้น และมีข้อจำกัดเรื่องการขยายสนามจากพื้นที่แสนคับแคบ จึงทำให้ประเด็นการสร้างสนามใหม่ขึ้นมาอยู่ในลิสต์ที่พวกเขาเตรียมจะทำหากถึงเวลาที่เหมาะสม
จนกระทั่งได้โอกาสดีในยุค 90s เมื่อสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ยืนยันโดยอ้างอิง Taylor Report รายงานที่ศึกษาสาเหตุของโศกนาฏกรรมในสนามฟุตบอลยุค 80s ว่า ทุกทีมที่แข่งขันในลีกสูงสุด จำเป็นจะต้องมีสนามเหย้าที่ได้มาตรฐาน และหนึ่งในข้อบังคับของ เอฟเอ คือ ทุกสนามจะต้องมีที่นั่งที่เป็นเก้าอี้ระบุหมายเลขที่นั่งให้ชัดเจน ยิ่งทำให้จำนวนคนเข้าชมใน เดอะ เดลล์ ลดลงไปอีก ดังนั้นบอร์ดบริหารจึงมีมติสร้างสนามใหม่ และยื่นเรื่องนี้ต่อสภาเมือง ก่อนได้รับการอนุมัติให้เริ่มโครงการได้ทันที
เหตุผลที่ได้รับการอนุมัติสำหรับการสร้างสนามใหม่นั้นมีหลายอย่าง อาทิ ไม่รบกวนระบบนิเวศและชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนในชุมชน ขณะที่สนามเก่าอย่าง เดอะ เดลล์ นั้น หากทุบแล้วก็สามารถเปลี่ยนเป็นพื้นที่สาธารณะสำหรับชุมชนได้ และสิ่งสำคัญที่สุด คือการย้ายสนามครั้งนี้มีสตอรี่ซ่อนอยู่ เป็นที่มาของกิมมิคที่ว่า "พาเซาธ์แฮมป์ตันกลับบ้าน"
Photo : otonopedia.wikidot.com
สนามแห่งใหม่อยู่ห่างออกไปจาก เดอะ เดลล์ ประมาณหนึ่งไมล์ครึ่ง อยู่ใกล้กับโบสถ์ เซนต์ แมรี่ ซึ่งโบสถ์นี้เองคือจุดเริ่มต้นของสโมสร มีตำนานเล่าว่า กลุ่มสมาชิกโบสถ์ เซนต์ แมรี่ เริ่มสร้างทีมฟุตบอลเยาวชนชายแห่งโบสถ์ เซนต์ แมรี่ ก่อนที่ทีม ๆ นี้จะถูกพัฒนาและกลายเป็นทีม เซาธ์แฮมป์ตัน จนได้ฉายาว่า "The Saints" (นักบุญ) มาจนถึงปัจจุบันนั่นเอง
ด้วยความที่สตอรี่อะไรต่าง ๆ แน่นปึ้กอยู่แล้ว ชื่อของสนามนั้นก็ไม่จำเป็นต้องคิดเยอะ หลังใช้ทุนสร้าง 32 ล้านปอนด์ เริ่มสร้างในปี 1999 แล้วเสร็จในปี 2001 พวกเขาก็ตั้งชื่อสนามเหย้าแห่งใหม่ว่า "เซนต์ แมรี่ สเตเดี้ยม" ให้ดูขลังตามตำนานที่มีอายุเกิน 100 ปี อย่างไรก็ตาม ทุกตำนานมักมีความลับซ่อนอยู่ในหลืบที่แสงส่องไม่ถึง และที่ เซนต์ แมรี่ สังเวียนของเหล่านักบุญ ก็มีแรงอาฆาตจากเหล่าปีศาจซ่อนอยู่เช่นกัน ... เมื่อผู้คนพากันเข้ามาในถิ่นของพวกมัน ก็ได้เวลาที่วิญญาณเหล่านั้นจะแสดงตัวตนให้รู้ว่า "พวกข้าอยู่ที่นี่มาก่อน"
เรื่องไร้สาระน่า ...
103 ปีที่เดอะ เดลล์ จบไป เริ่มกันใหม่ที่ เซนต์ แมรี่ สนามใหม่เอี่ยม ใหญ่โตโอ่อ่า จุคนได้ราว ๆ 32,000 ที่นั่ง พื้นที่ใช้สอยและเทคโนโลยีต่าง ๆ เพียบพร้อมสุด ๆ นี่คือชีวิตใหม่ของ เซาธ์แฮมป์ตัน โดยแท้จริง ทุกอย่างดูดีหมดยกเว้นอย่างเดียวที่ดูแย่ และสิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของทีมฟุตบอล นั่นคือ "ผลการแข่งขัน"
Photo : www.dailyecho.co.uk
เรื่องราวมันเกิดขึ้นตั้งแต่นัดเปิดสนามที่ เซาธ์แฮมป์ตัน อุ่นเครื่องกับ เอสปันญอล จริง ๆ เกมนัดแรกควรจะเริ่มต้นด้วยชัยชนะเพื่อเป็นการเปิดหัวสวย ๆ แต่เกมนั้น เอสปันญอล จาก สเปน บุกมายิง เซาธ์แฮมป์ตัน ฉลองบ้านใหม่ถึง 4-3 ... ลางเริ่มไม่ค่อยดี แต่หลายคนยังคิดในใจแบบเข้าข้างตัวเอง "ไม่มั้ง ก็เอสปันญอลมันก็ไม่ใช่ทีมดาด ๆ ที่ไหนเสียเมื่อไหร่ ค่อยไปว่าในเกมลีกก็ยังไม่สาย"
หลังจากจบเกมพรีซีซั่นก็ได้เวลาแห่งการเริ่มต้น พรีเมียร์ลีกกางโปรแกรมการแข่งขันฤดูกาล 2001-02 ออกมา และแฟน เซาธ์แฮมป์ตัน ต้องเลิ่กลั่ก เพราะความหวังในการประเดิมสนามเหย้าใหม่ด้วยชัยชนะ ดูท่าจะยากเข้าไปอีก เมื่อ 3 เกมเหย้าแรกพวกเขาจะต้องเล่นกับทีมที่เก่งกว่านั่นคือ เชลซี, แอสตัน วิลล่า และ อาร์เซน่อล ...
แต่อย่างไรเสียนักเตะของพวกเขา ณ เวลานั้นก็ไม่ธรรมดา ดาวยิงอย่าง เจมส์ บีทตี้, มาเรียน ปาฮาร์ส, เควิน เดวี่ส์ (จอมโหม่งที่ไปโด่งดังสุด ๆ กับ โบลตัน) มีสถิติการยิงประตูที่ใคร ๆ ก็เรียกว่ากองหน้าชั้นดี มีจอมทัพอย่าง แมทธิว เลอ ทิสซิเอร์ ในวัยเก๋า แถมยังมีตัวรุกดีกรีทีมชาติสวีเดนอย่าง อันเดรียส สเวนสัน และกองกลางจอมทุ่มไกลอย่าง รอลี่ ดีแลป ดูจากชื่อชั้นแล้วได้สัก 3 แต้มจาก 3 เกมก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เสียทีเดียว
ทว่าเกมแรกกับ เชลซี นัดเปิดฤดูกาล เซาธ์แฮมป์ตัน กลับเกิดอาการสั่นเดิมพันกดดันกับสนามใหม่ พวกเขาเล่นไม่ออก สร้างจังหวะยิงไม่ได้ และเล่นพลาดกันเองเหมือนกับเป็นคนละทีมในช่วงปลายซีซั่นที่แล้ว สุดท้ายพวกเขาแพ้ เชลซี ไป 0-2 ... "เอาน่าแค่เกมแรก" แฟนบอลบางกลุ่มว่าไว้
Photo : www.southamptonfc.com
เกมที่ 2 กับ แอสตัน วิลล่า จริง ๆ เกมนี้น่าจะเป็นเกมที่พวกเขาควรจะได้ 3 แต้มแรกประเดิมบ้านใหม่ เพราะ วิลล่า ชุดนั้นแม้จะดูดีด้วยนักเตะอย่าง ฮวน พาโบล อังเคล, ดาริอุส วาสเซล, ดิออน ดับลิน และ มุสตาฟา ฮัดจิ แต่ก็ถือว่าดีกรีไล่ ๆ กันกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ทว่าจบเกม วิลล่า ก็บุกมาชนะ นักบุญ ได้ 3-1 ... "เกมหน้ามาแน่" แฟนบอลกลุ่มเดิมยังคงมั่นใจ
เกมที่ 3 กับ อาร์เซน่อล พวกเขาแพ้แบบสู้ไม่ได้ แพ้ตั้งแต่ในมุ้ง แพ้ทุกประตูแบบไร้วี่แววขัดขืน ปืนใหญ่บุกมาสอย 2-0 ... 3 เกมเหย้า 0 แต้ม ยิงได้ลูกเดียว นี่คือสิ่งที่หลายคนชักรู้สึกว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเล่นในบ้านได้ผิดฟอร์มขนาดนี้
ต้องเข้าใจก่อนว่า เซาธ์แฮมป์ตัน ตอนนั้นไม่ได้แย่ พวกเขาเอาชนะ โบลตัน และ มิดเดิลสโบรช์ มาใน 2 เกมเยือนหลังสุด ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุที่ทำให้หลายคนชักสงสัย ทำไมถึงเล่นในบ้านไม่ดีเอาเสียเลย ทั้ง ๆ ที่เกมนอกบ้านดุดันมากมายขนาดนี้
สื่ออังกฤษเริ่มวิเคราะห์เรื่องฟอร์มการเล่นในบ้านที่ย่ำแย่ไปต่าง ๆ นานา บ้างก็บอกว่าเกมมันยากจะแพ้ก็ไม่แปลก บางฉบับบอกว่านักเตะยังไม่ฟิตและสับสนกับแท็คติกของ สจ็วร์ต เกรย์ กุนซือช่วงต้นซีซั่น บางที่ก็บอกนักเตะที่มีนั้นยังไม่ดีพอ ขาดตำแหน่งโน้น ตำแหน่งนี้ อะไรก็ว่ากันไป แต่สิ่งที่ทุกฉบับค่อนข้างมั่นใจคือเกมในบ้านนัดต่อไป เซาธ์แฮมป์ตัน จะไม่พลาดแน่ เพราะผู้มาเยือนคือ อิปสวิช ทาวน์ ... ที่แม้เมื่อฤดูกาล 2000-01 จะจบอันดับ 5 แต่ก็ไม่เกินวิสัยของพวกเขาที่จะชนะได้ เพราะนักเตะดาวดังไม่ค่อยมีมากนัก แถมทีมนักบุญเพิ่งเปลี่ยนกุนซือเป็น กอร์ดอน สตรัคคั่น อีกด้วย
หาก เซาธ์แฮมป์ตัน ชนะ อิปสวิช คำวิจารณ์จะหมดไป ... แต่ความจริงคือพวกเขาเสมอไป 3-3 ประตูแต่ละลูกโดนยิงแบบ "ผีจับยัด" ทั้งสิ้น หลายคนเริ่มรู้สึกแปลก ๆ ตอนนี้คำวิจารณ์และวิเคราะห์ เลยเถิดเกินกว่าเรื่องแท็คติกและการเล่นในสนามไปแล้ว พวกเขาพูดว่ามันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า ทำไมเล่นยังไงก็ไม่ชนะชาวบ้านชาวช่องเขาสักที
Photo : www.premierleague.com
และข้อสงสัยนี้ระเบิดออกมาเป็นประเด็นที่ร้อนแรง เพราะเกมเหย้าเกมที่ 5 ของฤดูกาล เซาธ์แฮมป์ตัน ก็ยังแพ้ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ไปอีก 1-2 ... ปาฮาร์ส, บีทตี้, เดวี่ส์ กระหน่ำยิงกันจนเมื่อยเท้า แต่ยิงยังไงก็ไม่เข้า ติดเสา ชนคาน โกลเซฟ หรือแม้กระทั่งยิงจ่อ ๆ จากลูกซ้ำแต่ก็หมูหกไปเอง นั่นเองทำให้การหาเหตุผลว่าสิ่งที่อยู่นอกสนามเป็นตัวฉุดให้พวกเขาเริ่มได้อย่างย่ำแย่เป็นไปอย่างจริงจังมากขึ้น
"มันต้องเป็นวิญญาณร้ายอาฆาต ไม่ก็คำสาปจากพวก พอร์ทสมัธ (ทีมคู่รักคู่แค้น) แน่ ๆ" ใจความที่แฟน ๆ พูดถึงกันและสื่อชั้นนำของประเทศก็เอามาขยายต่อได้ใจความประมาณนี้ ... เมื่อคนเราหาคำตอบให้กับตัวเองไม่ได้ หรือไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นและเห็นด้วยตาเปล่า สิ่งที่ง่ายที่สุดคือการโทษผีสางนางไม้ที่มองไม่เห็น ... และสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นที่ เซาธ์แฮมป์ตัน
"ไม่มีใครผิดหรอก ผีนั่นแหละที่ผิด" นี่คือบทสรุปที่ทุกคนเริ่มคิด และจากนั้นก็เกิดการเอาไปพิสูจน์หลักฐานสืบค้นอย่างเป็นจริงเป็นจัง พวกเขาต้องหาความจริงให้ได้ว่าผีตัวไหนกล้ามาทำกับสนามมูลค่า 32 ล้านปอนด์เช่นนี้
ความจริงแพ้ความเชื่อ
ทั้ง ๆ ที่จริง ๆ การยอมรับความพ่ายแพ้นั้นแสนจะง่ายดาย แต่เมื่อมันแพ้มากเกินไป ตรรกะก็เริ่มบูดเบี้ยว สำนักข่าว ESPN ลงพื้นที่สอบถามแฟน ๆ ที่อยู่ในสถานที่จริง มีคนเชื่อเรื่องคำสาปจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว มันเยอะจนชนิดที่ว่ามีข่าวลือเกิดขึ้นหลายกระแสเยอะแยะเต็มไปหมด
Photo : www.90min.com
"มีคนเห็นไอ้พวกพอร์ทสมัธ เอาเสื้อสีน้ำเงินมาฝังไว้ในอัฒจันทร์ในช่วงระหว่างก่อสร้างและปลุกเสกมันด้วยคำสาป ทำให้เราต้องเจอเรื่องยากลำบากแบบนี้" แฟนบอลให้การกับ ESPN ไว้เช่นนั้น
ย้ำอีกครั้งว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตลกสำหรับชาวเมืองและแฟน ๆ ทีมนักบุญ พวกเขาจริงจังกับการหาคำตอบในสิ่งที่สัมผัสไม่ได้ครั้งนี้ พวกเขาจ้างผู้เชี่ยวชาญเรื่องวิญญาณที่ชื่อว่า แอนดรูว์ ฟรูวิ่ง-เฮาส์ (Andrew Frewing-House) เจ้าของบริษัททัวร์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องลึกลับที่ชื่อว่า Supernatural Tours ให้ช่วยมาพิสูจน์ให้ชัด ๆ ไปเลยว่าที่นี่มีผีจริงหรือเปล่า และเมื่อถึงที่หมาย แอนดรูว์ ก็เริ่มบรรเลงเพลงวิญญาณของเขาทันที
"มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นที่นี่โดยไม่มีใครสามารถอธิบายได้ ... แต่ผมสัมผัสได้ครับ" แอนดรูว์ เริ่มให้สัมภาษณ์
"มีคนงานสร้างสนามที่ผมลงพื้นที่ไปคุยด้วยเล่าว่า ช่วงเวลาที่ต้องเข้าไปก่อสร้างในยามค่ำคืน พวกเขามักจะเห็นเงาสีดำแว่บไปก็แว่บมาติดที่หางตา บางครั้งก็ได้ยินเสียงคล้ายคนเรียกแบบโหยหวน"
"เขาบอกผมว่าเขากลัวมาก ตอนแรกไม่มีใครเชื่อจนมันส่งผลให้ทีม ๆ นี้มีสภาพแย่อย่างเหลือเชื่อ ... แย่มาก ๆ แย่สุด ๆ ตอนนี้หลายคนเริ่มเชื่อแล้วว่าที่สนามแห่งนี้มีคำสาปจากใครสักคน ... ผมฟันธงว่ามันต้องเกิดขึ้นจากการสร้างทับที่สุสานโบราณแน่นอน"
Photo : Andrew Frewing-House
ย้ำอีกครั้งว่านี่ไม่ใช่เรื่องตลก ... และ แอนดรูว์ ก็ไม่ได้คิดไปเอง เพราะมีหลักฐานยืนยันชัดเจนว่าที่นี่มีอะไรแปลก ๆ เดิมทีสนาม เซนต์ แมรี่ นั้นตั้งทับที่ของสุสานของคนโบราณที่เรียกว่า "ชาวแซกซัน" (Saxon) คนกลุ่มนี้ถูกเรียกว่าเป็นบรรพบุรุษของกลุ่มคนตอนใต้ของอังกฤษ ที่บอกว่ามันจริงเพราะครั้งหนึ่งนักโบราณคดีเคยขุดหลุมและพบกับโครงกระดูกและโบราณวัตถุ ว่ากันว่ามาจากยุคคริสต์ศตวรรษที่ 7-8 ซึ่งตอนนั้นเป็นยุคมืดทางเศรษฐกิจของอังกฤษ และมีการล่มสลายทางการค้าระยะยาวอีกดว้ย
การค้นพบครั้งนี้ทำให้เรื่องผีนั้นสอดคล้องกัน โรนัลด์ สมิธ ผอ. ฝ่ายทรัพยากรโบราณคดีถึงกับให้สัมภาษณ์ว่า "มันเป็นอะไรที่น่าสนใจมากสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น เซาธ์แฮมป์ตันกำลังเล่นในพรีเมียร์ลีก แต่ดันมีสิ่งที่น่าตื่นเต้นกว่าซ่อนใต้สนามของพวกเขา นี่คือสุสานที่ไม่เคยถูกรบกวนเลย"
เมื่อวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์ได้ว่ามีคนตายจริง แถมยังเป็นกลุ่มคนโบราณที่เป็นบรรพบุรุษของชาวอังกฤษเช่นนี้ ทำให้เรื่องราวมันใหญ่โตมากขึ้น จากความเชื่อที่เกิดขึ้นในหมู่แฟน ๆ ที่กลุ่มผู้บริหารมองว่า "ไร้สาระ" กลายเป็นตอนนี้ทุกคนเชื่อไปหมดแล้วว่าที่ทีมยิงยังไงก็ไม่เข้า เล่นยังไงก็ไม่ชนะ จะต้องเป็นเพราะผีร้ายที่สนามของพวกเขาไปทับที่แบบไม่ให้เกียรติแน่ ๆ
ไม่ว่าคุณจะเชื่อในเรื่องไสยศาตร์มนต์ดำหรือไม่ แต่เมื่อคุณเข้าตาจน อะไรที่ทำได้ก็ต้องทำ สโมสร เซาธ์แฮมป์ตัน ตัดสินใจทำในสิ่งที่สวนทางกับยุคมิลเลนเนียมสุด ๆ เพื่อหยุดคำสาปสุดเฮี้ยนนี้ พวกเขาตัดสินใจจ้าง "แม่มด" ที่ชื่อว่า ดราก้อนโอ๊ค เข้ามาทำพิธีปัดเป่าหลังจบเกมที่พ่ายให้กับ แบล็กเบิร์น ได้ไม่นาน
ไม่มีการบันทึกไว้ว่าแม่หมอมาไล่ผีด้วยวิธีไหน แต่ที่แน่ ๆ มีคำสัมภาษณ์ แอนดรูว์ ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้น ซึ่งยิ่งอ่านก็ยิ่งชวนให้คล้อยตามว่า "เพราะผีแน่ ๆ" ที่ทำให้เรื่องทั้งหมดมันเลวร้ายแบบนี้
Photo : www.southamptonfc.com
"เราเรียกพิธีกรรมของเธอว่าการล้างป่าช้า อธิบายให้เข้าใจคือการส่งวิญญาณพวกนี้ไปเกิดใหม่นั่นแหละ แม่หมอบอกว่าเธอเห็นวิญญาณชั่วร้ายด้วยตาเปล่า ซึ่งมันก็เมคเซ้นส์นะ คุณลองนึกสิ คุณอยู่ในที่ของคุณดี ๆ อยู่ ๆ ก็มีใครมาก่อสร้างอะไรไม่รู้เต็มไปหมด นั่นอาจจะทำให้พวกผีรำคาญและโกรธก็ได้" แอนดรูว์ ว่าไว้
หลังจากเสร็จพิธีล้างป่าช้าจนเป็นข่าวไปทั่วประเทศ ทำให้เกมเหย้านัดต่อไปของ เซาธ์แฮมป์ตัน น่าสนใจขึ้นมา พวกเขาจะต้องเล่นกับ ชาร์ลตัน ... ถ้ายังแพ้อีกก็คงต้องตัวใครตัวมันทั้งแม่มดทั้งผีแล้วล่ะ และโชคดีจริง ๆ ที่เกมนั้นทุกอย่างออกมาดี เซาธ์แฮมป์ตัน ชนะ 1-0 ล้างอาถรรพ์ได้จนสำนักข่าวอย่าง บีบีซี ต้องพาดหัวว่า "ในที่สุดคำสาปที่เซนต์แมรี่ก็ถูกทำลายแล้ว"
เอาล่ะ คุณอาจจะคิดว่า ชาร์ลตัน ก็ไม่เท่าไหร่ จะชนะก็ไม่เห็นแปลก แต่รายละเอียดในเกมนั้นอาจจะทำให้คุณเปลี่ยนใจ เพราะมีจังหวะหนึ่งในเกมนั้นที่กองหลัง ชาร์ลตัน เติมเกมขึ้นมายิงประตูเต็มข้อ บอลทำท่าจะเข้าอยู่แล้ว แต่ พอล โจนส์ ประตูของ เซาธ์แฮมป์ตัน พุ่งปัดได้ปลายมือ ทว่าบอลยังไม่ออกไปไหน การโดนแบบเฉียด ๆ ทำให้บอลติดสปิน ซึ่งโดยปกติแล้วมันต้องสปินถอยหลัง ... ดังนั้นมันจะต้องเข้าประตูไป
Photo : www.bbc.com | PA
แต่ความจริงคือบอลสปินออกหลัง และนั่นทำให้ใครที่เห็นก็บอกว่าไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ แม้แต่คนเซฟลูกนั้นเองอย่าง พอล โจนส์ ยังบอกว่าไม่รู้จะอธิบายแบบไหน ขณะที่ อลัน เคอร์บิชลี่ย์ กุนซือของ ชาร์ลตัน ก็ถึงกับต้องตามน้ำ พูดถึงเรื่องแปลก ๆ ที่เป็นต้นเหตุที่ทำให้ลูกนั้นไม่เข้า
"มิสเตอร์ โจนส์ จะต้องใส่เสื้อที่มีพลังงานบางอย่างลงไปเล่นเกมนั้นแน่ ๆ จากมุมที่บอลโดนเสายังไงมันก็ไม่น่าจะเด้งออกได้ ผมล่ะงงจริง ๆ นี่มันน่าจะเป็นครั้งแรกที่ผมหาคำตอบให้กับวิถีของลูกบอลไม่ได้" เคอร์บิชลี่ย์ว่าไว้
บอกแล้วผีมีจริง
"ได้เวลาแล้วที่พวกนักเตะจะต้องเชื่อเรื่องผีและคำสาปบ้าง หลังจากทำพิธีแล้วพวกเขาก็ชนะเลย มันบังเอิญไปไหมล่ะ?" แอนดรูว์ นักล่าผีกล่าว
"ความเชื่อมั่นที่เคยหดหายกลับมาอีกครั้งและนั่นทำให้พวกเขาเชื่ออยู่ลึก ๆ ทั้ง ๆ ที่ปากของพวกเขาจะบอกว่ามันจริงหรือไม่จริงก็ตาม แต่จากประสบการณ์ของผมแล้วเนี่ย หลังจากพิธีไล่ผีก็ใช่ว่าอะไรมันจะดีไปทั้งหมด"
"คุณลองคิดว่าคุณเป็นผีดูนะ คุณต้องโกรธแน่ถ้าอยู่ดี ๆ มีคนมาไล่คุณ คุณจะต้องขัดขืน จนกระทั่งมีคนมาบอกกับคุณดี ๆ ว่าได้โปรดไปเถอะครับพี่ ... แบบนี้แหละถ้าผมเป็นผีผมถึงจะไป" แอนดรูว์ เรียกร้องให้นักเตะในทีมเคารพเรื่องผีและวิญญาณ
Photo : lostboyos.wordpress.com
เป็นอีกครั้งที่เราต้องใช้คำว่า "ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ" หลังจากทำพิธีขับไล่วิญญาณร้าย ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นใคร อาจจะเป็นผีสิงในเสื้อพอร์ทสมัธหรือผีชาวแซกซัน แต่ที่แน่ ๆ เซาธ์แฮมป์ตัน เล่นดีกลายเป็นคนละทีม หลังจากเอาชนะ ชาร์ลตัน ได้ พวกเขาแพ้เกมเหย้าอีกเพียง 3 เกมเท่านั้นจากการลงเล่นทั้งหมด 14 นัด ...
มาเรียน ปาฮาร์ส ยิงกระจาย, เควิน เดวี่ส์ เล่นดีจนเกือบติดทีมชาติอังกฤษ, เจมส์ บีทตี้ กระหน่ำประตูจนมีข่าวกับทีมใหญ่ ๆ ขณะที่ทีมที่ใครก็บอกว่าหนีตกชั้นแน่ ๆ กลับมายืนอยู่ในอันดับที่ 11 รอดตกชั้นสบาย ๆ ... ว่ากันว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะ "ผี" ตนเดียว
ความจริงทุกคนรู้อยู่แก่ใจ ถ้าผีมีพลังขนาดเปลี่ยนผลการแข่งขันได้ขนาดนั้น ไม่แคล้วคงสามารถหักคอใครตายคาสนามไปแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นคือเรื่องของฟุตบอลต่างหาก ทุกอย่างมีช่วงเวลาของมัน วันไหนเป็นของเรา วันนั้นยิงยังไงก็เข้า วันไหนที่โชคไม่เข้าข้าง บุกทั้งเกมก็ยังแพ้ โลกฟุตบอลมันก็แบบนี้
ทว่าเรื่องไล่ผีและคำสาป และอาจจะรวมถึงความเชื่อของผู้เฒ่าผู้แก่ก็ใช่จะไร้สาระเสมอไป บางครั้งมันก็เป็นกุศโลบายที่ทำหน้าที่สร้างความเชื่อมั่น ความสบายใจ ปลดล็อกอะไรบางอย่าง หรืออย่างน้อยที่สุด ทำให้เราเลิกโทษตัวเองและทำให้เรื่องมันแย่กว่าเดิม ... เพราะเราโทษผีสางนางไม้แทนนั่นเอง
Photo : thesaintsreport.com
"จะบ้าตาย มันเหมือนกับมีลิงมาเกาะที่หลังเรา เรารู้ว่าการพูดถึงคำสาปเป็นเรื่องไร้สาระ และเรารู้ว่าเราแพ้เพราะอะไร (เล่นไม่ดี) หวังว่าชัยชนะเกมนี้จะเปลี่ยนบรรยากาศให้สนามแห่งนี้กลายเป็นสนามที่น่าเกรงขามแบบที่ เดอะ เดลล์ เคยเป็นนะ" นี่คือคำพูดของ พอล โจนส์ ในวันนั้น ... ดูเหมือนเขาจะไม่เชื่อเรื่องผีและคำสาปใช่ไหม อย่าเพิ่งคิดเช่นนั้นจนกว่าคุณจะได้เห็นประโยคที่เขาทิ้งท้าย
"ไอ้ลูกชนเสานั้นมันสุดติ่งไปเลย มันเหมือนกับว่าจะต้องปลิ้นเข้าไปแล้วแท้ ๆ ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันไม่เข้าได้ยังไง ให้ตายเถอะน่า" โจนส์ ว่ากับ บีบีซี
บางครั้งเรื่องไร้สาระก็มักจะเอามาใช้แทนคำตอบได้ดี และการพูดว่าผีผลักให้บอลกลิ้งออกไปจนเป็นจุดเปลี่ยนของฤดูกาลก็เป็นคำตอบที่คลาสสิกไม่ใช่เล่น แม้ว่ามันจะดูชวนขำไปบ้างก็ตาม ... ที่สุดแล้วถ้าปลายทางตอนจบของเรื่องดี ทุกอย่างดี อย่าคิดมากกับมันจะดีกว่า เรื่องระหว่างทางเก็บไว้เป็นรสชาติและเรื่องเล่าที่สุดจะมีสีสันก็พอ