เด็กถิ่นเพียงหนึ่งเดียว : เคล็ดลับการเป็นผู้นำท่ามกลางคนเก่งของ "คอเนอร์ โคอาดี้"

เด็กถิ่นเพียงหนึ่งเดียว : เคล็ดลับการเป็นผู้นำท่ามกลางคนเก่งของ "คอเนอร์ โคอาดี้"

เด็กถิ่นเพียงหนึ่งเดียว : เคล็ดลับการเป็นผู้นำท่ามกลางคนเก่งของ "คอเนอร์ โคอาดี้"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฟุตบอลอังกฤษมีวัฒนธรรมอย่างหนึ่งที่ไม่ว่าสโมสรใดก็ต้องถือปฎิบัติเช่นนั้นมาเสมอ นั่นคือ แม้ทีมของคุณจะซื้อนักเตะเก่งๆ จากทั่วโลกมารวมตัวกันในทีมจนประสบความสำเร็จ แต่หนึ่งในความสำเร็จนั้นจะต้องมีนักเตะท้องถิ่นเป็นส่วนประกอบด้วย    

และนี่คือเรื่องรางของทีม วูล์ฟแฮมป์ตัน ที่ประกอบไปด้วยนักเตะตัวจริงที่เป็นชาวโปรตุเกส 8 คน ที่เหลือเป็น สเปน 1 คน และ เม็กซิโก 1 คน ส่วนนักเตะท้องถิ่นเพียงคนเดียวที่ยืนหยัดอยู่ได้ และเป็นถึงกัปตันทีมคือ "คอเนอร์ โคอาดี้"

ในทีมที่วัฒนธรรมการอยู่ร่วมกันเต็มไปด้วยคนโปรตุกีสทั้งนักเตะและสตาฟฟ์โค้ชเกิน 15 คน เหตุใดจึงไม่มีใครสามารถเป็นหัวใจของทีมได้เท่ากับ โคอาดี้ ... เขาทำตัวอย่างไรจึงยังเป็นหัวหน้าที่นักเตะทุกคนยอมรับและเคารพในปลอกแขนที่เขาสวมใส่ ติดตามได้ที่นี่

ความล้มเหลวที่ แอนฟิลด์ 

คอเนอร์ โคอาดี้ เกิดที่ เซนต์ เฮเลนส์ เมอร์ซี่ย์ไซด์ แน่นอนว่าการเกิดที่เมืองนี้ทำให้เขามีสิทธิ์เลือกเชียร์เพียง 2 ทีมโดยหลัก นั่นคือ ลิเวอร์พูล และ เอฟเวอร์ตัน ซึ่งเจ้าตัวเลือกฝั่งสีแดงอย่าง ลิเวอร์พูล ตามคุณพ่อที่เป็นแฟนบอลหงส์แดงตัวยง 

เขาเหมือนเด็กอังกฤษทั่วไปที่ต้องการจะเลือกเส้นทางนักฟุตบอลอาชีพ โชคดีที่ แอนดี้ โคอาดี้ พ่อของเขาเป็นคนบ้าฟุตบอลมาก จึงสนับสนุนแนวคิดนี้อย่างเต็มที่ และส่งลูกชายเข้าระบบเยาวชนของ ลิเวอร์พูล ตั้งแต่ 9 ขวบเลยทีเดียว

ช่วงเวลากับ ลิเวอร์พูล ของ โคอาดี้ นั้น ทุกคนรู้กันดีว่าเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกเรียกว่า "นิว สตีเว่น เจอร์ราร์ด" เพราะเป็นเด็กท้องถิ่นและเล่นตำแหน่งกองกลางห้องเครื่องเหมือนกัน อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ในยุคที่ โคอาดี้ เริ่มมีบทบาทตัวเด่นจากทีมยู 18 เป็นช่วงเวลาที่สโมสรจับต้นชนปลายไม่ถูก การเปลี่ยนโค้ช การบริหารของเจ้าของทีมที่ถูกเรียกว่า "ปลิงมะกัน" รวมถึงการซื้อตัวที่ผิดพลาด เน้นปริมาณแต่ไม่ได้คุณภาพ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้นักเตะท้องถิ่นหรือแข้งจากทีมเยาวชนอย่าง โคอาดี้ โดนมองข้ามเสมอ


Photo : Planetfootball

แฟรงค์ แม็คฟาร์แลนด์ ผู้จัดการทีมอคาเดมียืนยันว่า เขาคอยส่งรายงานให้กุนซือทีมชุดใหญ่เสมอว่า โคอาดี้ คือเด็กหนุ่มที่พร้อมกับฟุตบอลระดับสูงเป็นอย่างมาก จุดเด่นที่ แม็คฟาร์แลนด์ ยกย่องโคอาดี้คือ "เด็กคนนี้รู้ว่าตัวเองมีดีอะไร และมีสภาพจิตใจที่แข็งแกร่งระดับสามารถเป็นนักเตะขั้นลีดเดอร์ของทีมได้ในอนาคต" 

"ผมบอกทุกคนมาหลายครั้งว่าตั้งแต่ผมอยู่อคาเดมี ลิเวอร์พูล มา โคอาดี้ คือนักเตะที่ผมคิดว่ามีคุณสมบัติจะพัฒนาไปข้างหน้าและเหมาะกับทีมมากที่สุด ยิ่งกว่า ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ด้วยซ้ำ เด็กคนนี้เป็นคนที่คอยจัดการทีมในสนามเหมือนกับเป็นโค้ชที่ลงไปเล่นเอง ถ้าคุณจะมองหากัปตันทีมผู้มีทัศนคติที่ถูกต้องคุณคงต้องมองหาเขาเป็นอันดับแรก คอเนอร์ คือทุกสิ่งที่คุณคาดหวังจากนักเตะเลือดสเกาเซอร์" แม็คฟาร์แลนด์ กล่าว 

อย่างไรก็ตามแค่นี้ไม่พอ ... ในทีมชุดใหญ่นั้นพวกเขาไม่ต้องการเด็กอายุ 17, 18 หรือ 19 ปี ลงสนามและตะโกนสั่งการผู้เล่นคนอื่น เพราะทุกทีมมีผู้นำในสนามอยู่แล้ว สิ่งที่ทุกทีมต้องการคือเด็กที่เก่งจริง สามารถเล่นด้วยคุณภาพระดับเดียวกับรุ่นพี่ในทีม ซึ่งนั่นเป็นจุดเดียวที่ โคอาดี้ ขาด และอีกครั้งที่เราต้องบอกว่าน่าเสียดาย เพราะ ลิเวอร์พูล รอให้เขาเก่งไม่ไหว 


Photo : Sport Mole

"คอเนอร์ ขาดคุณสมบัติเรื่องฝีเท้าอีกนิดเดียวจริงๆ ต้องยอมรับว่าเขามีพรสวรรค์ไม่เท่า เจอร์ราร์ด และความพอดีของช่วงเวลาและจังหวะมันไม่ใช่ ณ เวลานั้น ทุกคนลงความเป็นว่าเขายังต้องพัฒนาอีกในแง่ของฝีเท้า" แม็คฟาร์แลนด์ เล่าถึงเหตุผลที่ ลิเวอร์พูล ปล่อย โคอาดี้ ให้ เชฟฯ ยูไนเต็ด ยืมตัว ก่อนสุดท้ายจะขายขาดให้กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ทาวน์ โดยตลอดช่วงเวลาที่ แอนฟิลด์ โคอาดี้ ได้ลงสนามเพียง 1 เกมเท่านั้น 

 

แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร 

เราได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ่อยครั้งเหลือเกิน นักเตะท้องถิ่นที่มีความสามารถก้าวขึ้นมาเป็นกำลังหลัก แต่พอโอกาสมาจริงๆ พวกเด็กเหล่านี้ก็ยังไม่ดีพอ จนนำมาซึ่งจุดหนึ่งที่พวกเขาเริ่มมีอายุมากขึ้นและต้องการประสบการณ์ลงแข่งขันจริง ทีมจึงต้องปล่อยพวกเขาออกไปเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดทั้งสองฝ่าย

นักเตะหลายคนที่อยู่ในเคสเช่นนี้ ส่วนใหญ่มักจะโดนขายให้กับทีมเล็กๆในลีกรอง และส่วนใหญ่มักจะไปแล้วไปเลย ไม่สามารถทำได้อย่างที่ใครคาดการณ์ไว้ ... โคอาดี้ ต้องการพิสูจน์ว่าเขาไม่ใช่นักเตะประเภทนั้น แม้การมาเล่นให้ฮัดเดอร์สฟิลด์จะเป็นการถอยหลังในอาชีพค้าแข้ง แต่เขามองว่านี่คือช่วงเวลาที่เขาจำเป็นจะต้องถอยหลังเพื่อตั้งหลัก ไม่ใช่ถอยหลังเพราะสู้ไม่ไหว 


Photo : Liverpool Echo

"ผมรู้ว่าการเป็นตัวจริงที่ลิเวอร์พูลมันยากมาก ณ ตอนนั้น ผมมี เจอร์ราร์ด, จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, โจ อัลเลน และ ลูคัส เลวา ขวางหน้า ผมว่าผมควรต้องหาโอกาสลงสนามจริงๆ เพราะผมไม่อยากจะเล่นในระดับทีมยู 23 อีกแล้ว"

"เบรนแดน ร็อดเจอร์ส บอกผมว่าเขาเสียใจมากกับการจะย้ายออกของผม แต่เขาบอกว่าเขาจะหาทีมที่เหมาะสมและดีกับพัฒนาการของผมที่สุด และมันโชคดีจริงๆที่ผมได้มาเล่นให้กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ผมพร้อมมากที่จะย้ายออก มันไม่ง่ายเพราะผมอยู่ที่ลิเวอร์พูลมาเกือบทั้งชีวิต แต่เมื่อเติบโตขึ้นผมก็มองโลกด้วยความเป็นจริงมากขึ้นเหมือนกัน"

500,000 ปอนด์ คือค่าตัวของ โคอาดี้ ณ เวลานั้น เขาเล่นด้วยทัศนคติเดียวกันกับเมื่อครั้งที่อยู่กับ ลิเวอร์พูล และนั่นทำให้เด็กคนนี้กลายเป็นคนสำคัญในแผงมิดฟิลด์ของ ฮัดเดอร์สฟิลด์ และหลังจากนั้นเพียง 2 ปี เขามีค่าตัวเพิ่มขึ้นอีก 4 เท่าจากการย้ายไปอยู่กับ วูล์ฟส์ ด้วยราคา 2 ล้านปอนด์ 

ณ เวลานั้น (ปี 2015) เจ้าของทีมวูล์ฟส์ คือ สตีฟ มอร์แกน นักธุรกิจชาวอังกฤษ ดังนั้นนโยบายการซื้อขายของทีมในช่วงนั้นมักจะเน้นไปที่การคว้าผู้เล่นท้องถิ่นซึ่งมีราคาไม่แพงจนเกินไป เพราะเป้าหมายของทีมไม่ใช่การกลับไปสู่พรีเมียร์ลีกแบบก้าวกระโดดด้วยเงินทุนที่มีจำกัด พวกเขาเน้นประคองตัวเองให้อยู่รอด และถ้าโชคดีอาจจะได้เกี่ยวๆอันดับเพลย์ออฟบ้าง


Photo : Vital Wolves

คนที่ซื้อตัว โคอาดี้ มาอยู่กับ วูล์ฟส์ คือกุนซือที่ชื่อว่า เคนนี่ แจ็คเก็ตต์ โดยสิ่งที่เขาเห็นในตัวของ โคอาดี้ นั้นคือสิ่งเดียวกันกับที่ แม็คฟาร์แลนด์ เห็น ... นั่นคือความเปล่งประกายในฐานะผู้นำ วูล์ฟส์ ตอนนั้นต้องการผู้นำในห้องแต่งตัวเพื่อให้ทีมเล่นอย่างกระหายและหิวชัยชนะ ดังนั้น 2 ล้านปอนด์จึงถูกจ่ายให้กับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ อย่างไม่คิดมาก ... 

"ผมเซ็นสัญญากับ คอเนอร์ ด้วยตัวเอง ผมชอบเขามานานแล้ว ผมได้ยินเรื่องราวของเขามาตั้งแต่ที่ยังเล่นให้ลิเวอร์พูล ผมตั้งใจวางตัวให้เขาเข้ามาและเป็นกัปตันทีม ผมเชื่อเสมอว่าเขาสามารถเป็นคนนั้นของเราได้" แจ็คเก็ตต์ กล่าว

ปีแรกกับวูล์ฟส์ โคอาดี้ ได้ลงสนามต่อเนื่อง แต่ยังไม่ได้เป็นกัปตันทีมเพราะมี แดนนี่ บาธ กองหลังชาวอังกฤษที่รับบทบาทนั้นไป วูล์ฟส์ จบฤดูกาลด้วยการอยู่ในอันดับที่ 14 ตามเป้าหมาย อยู่รอดปลอดภัยและค่อยๆเสริมทีมจนกว่าจะถึงเวลาทีเป็นผู้ท้าชิง

อย่างไรก็ตามช่วงเวลาแห่งการรอคอยไม่ได้ยาวนานอย่างที่คิด เพราะหลังจากนั้นไม่ถึงปี มอร์แกน ก็ตัดสินใจขายสโมสรให้กลุ่มทุนจากจีนที่ชื่อว่า โฟซัน อินเตอร์เนชั่นแนล (Fosun International) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ขายประกันภัย การลงทุน ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์ โดยเจ้าของใหม่ตั้งเป้าหมายทันทีว่า "ปีนี้ตั้งหลัก ปีหน้าเลื่อนชั้น" ไม่เกิน 2 ปี ทีมต้องอยู่ในพรีเมียร์ลีกให้ได้ 


Photo : The Athletic 

ปีแรก โฟซัน ไม่ได้ลงทุนอะไรมากมายนัก เชื่อมั่นในกลุ่มซีอีโอจากรุ่นที่แล้ว รวมถึงแกนหลักที่เป็นนักเตะและโค้ชท้องถิ่น แต่ผลงานของทีมในฤดูกาล 2016-17 ออกมาอย่างน่าผิดหวัง จบอันดับแย่กว่าปีที่แล้ว (อันดับ 15) แถมยังเปลี่ยนโค้ชกันมั่วซั่วไปหมดถึง 5 คนในฤดูกาลเดียว ซึ่งกุนซือคนที่ 5 นี่แหละที่เป็นจุดเปลี่ยนของทีมอย่างแท้จริงเพราะเขาคนนั้นคือ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ที่เข้ามาหลังจากฤดูกาลจบลง โดยการเข้ามาของเขานั้นเกิดขึ้นจากความสนิทสนมระหว่าง ฮอร์เก้ เมนเดส ซูเปอร์เอเย่นต์ชาวโปรตุกีส ที่เป็นเอเย่นต์ของเขานั่นเอง  

เมื่อฤดูกาล 2016-17 จบลง เมนเดส ก้าวมามีบทบาทสำคัญในการพานักเตะเข้ามาสู่ทีมวูล์ฟส์ โดยได้รับสิทธิ์การตัดสินใจจาก โฟซัน อย่างเต็มที่ แหละนั่นคือเหตุผลที่ว่าไมนักเตะ โปรตุกีส ตบเท้าเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของทีมแบบไม่หยุด และนักเตะทั้งหมดคือลูกค้าของ เมนเดส ทั้งสิ้น ... วัฒนธรรมของ วูล์ฟส์ กำลังจะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง "โยโย่ ทีม" (ที่ที่ขึ้นๆ ลงๆ มาตรฐานไม่ดีพอสำหรับลีกสูงสุด แต่ก็ดีเกินกว่าจะอยู่ในลีกรอง) ที่ใช้นักเตะอังกฤษเกรดรอง จะหันมาใช้นักเตะต่างชาติเกรดที่ดีกว่าและราคาถูกกว่าอย่างเต็มที่ 

สิ่งเดียวที่จะหยุดการซื้อตัวนักเตะโปรตุกีสของ วูล์ฟส์ ได้คือกฎผู้เล่นโฮมโกรว์น (ผู้เล่นที่เติบโตกับสโมสรในอังกฤษเอง) เท่านั้น ... ดังนั้นใครคือนักเตะท้องถิ่นที่ไม่เก่งจริงจะต้องกระเด็นออกไป เพื่อเปิดทางให้ผู้มาใหม่ที่ดีกว่า และตอบโจทย์วิสัยทัศน์ของกุนซือ เอสปิริโต้ ซานโต้ มากกว่านั่นเอง 

 

ช่วงเวลาแห่งความเปล่งประกาย 

เป้าหมายที่เปลี่ยนและถึงเส้นตายที่ต้องประสบความสำเร็จ บีบให้องค์ประกอบของทีม วูล์ฟส์ ในยุคใหม่ที่จะต้องเปลี่ยนแปลง นักเตะอังกฤษและสหราชอาณาจักรตบเท้าออกจากทีม 8 คน สวนทางกับนักเตะชาวโปรตุเกสที่ย้ายเข้ามาสู่ทีม 7 คน ...

โคอาดี้ ยังคงเป็นผู้นำและมีความมุ่งมั่นเหมือนเดิม แต่ปัญหาคือเขายังขาดเรื่องฝีเท้าอีกอยู่ดี เมื่อเทียบกับจอมทัพที่เข้ามาใหม่ที่เก่งกว่าและสดกว่าอย่าง รูเบน เนเวส วันเดอร์คิดจาก เอฟซี ปอร์โต้ 


Photo : HTC 

หนนี้ใครต่อใครก็คิดว่า โคอาดี้ คงไม่ดีพอกับ วูล์ฟส์ ชุดยกเครื่องใหม่อีกครั้ง และเขาคงเป็นได้แค่ผู้เล่นระดับเดอะ แชมเปี้ยนชิพ ต่อไป ทว่า นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ เห็นเขาเล่นมามากพอจะรู้ว่าความสามารถของ โคอาดี้ จะมีประโยชน์ที่สุดหากเขาถอยลงจากตำแหน่งมิดฟิลด์ มาเป็นกองหลังในระบบ 3 เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ โดยทดลองให้เล่นเกมพรีซีซั่นที่เอาชนะ แวรเดอร์ เบรเมน 1-0 และยังมอบปลอกแขนกัปตันทีมให้กับ โคอาดี้ ด้วย ทั้งหมดนี้คือการการันตีว่าเขาจะเป็นผู้เล่นตัวหลักในยุคของกุนซือชาวโปรตุกีสอย่างแน่นอน

"การถอย โคอาดี้ ลงไปเป็นกองหลังคือการหาจุดลงตัวที่สุดยอดมากสำหรับการทำงานของ นูโน่" แจ็คเก็ตต์ ที่เป็นผู้ซื้อ โคอาดี้ มาจากวูล์ฟส์ ถึงกับต้องปรบมือให้ในการย้ายตำแหน่งครั้งนี้ ขณะที่ แม็คฟาร์แลนด์ ก็ยอมรับว่าเขานึกไม่ถึงว่า นูโน่ จะปรับจนมาเจอตำแหน่งที่ โคอาดี้ เปล่งประกายที่สุด

"บทบาทที่ นูโน่ ค้นพบในตัวของเขามันถูกออกแบบมาอย่างดีเลย เขาได้ทำงานภายใต้การคุมทีมของกุนซือที่เหลือเชื่อแล้ว ผมรักนูโน่จริงๆที่ค้นพบ โคอาดี้ ตัวจริงได้ พวกเขาเหมือนสร้างขึ้นมาเพื่อกันและกันชัดๆ" แม็คฟาร์แลนด์ กล่าว 


Photo : The Athletic 

โคอาดี้ เป็นนักเตะที่ชอบเล่นเกมรับ มีความเป็นผู้นำ และวางบอลระยะไกลระดับ 50 หลาขึ้นไปได้ดี ดังนั้นมันจะดีกว่าที่เขาลงไปอยู่หน้าผู้รักษาประตู ตำแหน่งซึ่งเห็นเกมได้กว้างที่สุด แม้เข้าจะไม่ได้รวดเร็วและแข็งแกร่งเหมือนพวกเซ็นเตอร์ธรรมชาติ แต่การมีกองหลังอีก 2 คนคอยขนาบข้างทำให้จุดอ่อนนั้นไม่ใช่ปัญหา 

เหนือสิ่งอื่นใดเมื่อเขาได้รับความไว้วางใจจากกุนซือแล้ว โคอาดี้ ตอบแทนมันอย่างคุ้มค่าไม่ใช่แค่ผลงาน แต่หมายถึงการเป็นผู้นำจริงๆ ไม่ใช่แค่การทำให้นักเตะท้องถิ่นด้วยกันเคารพในหน้าที่และการทำงานของเขา แต่นักเตะที่รวมตัวเป็นวัฒนธรรมใหม่อย่างชาวโปรตุกีสทุกคนยังยอมรับว่า โคอาดี้ คือกัปตันตัวจริงของพวกเขาด้วย

โคอาดี้ ตะโกนสั่งเพื่อนร่วมทีมในแนวรับทุกคน เว็บไซต์ The Athletic เคยถึงขั้นตามไขข้อข้องใจว่าทำไมนักเตะที่เคยถูกมองว่าฝีเท้าไม่ดีอย่าง โคอาดี้ จึงอยู่ภายใต้ทีมที่แปลงโฉมแบบยกชุดได้ ด้วยการตามจับทุกการเคลื่อนไหวของ โคอาดี้ ตลอด 90 นาทีว่าเขาซื้อใจพวกแข้งโปรตุกีสอย่างไร ให้ได้รับความเคารพทั้งในและนอกสนาม

"เติมขึ้นไปเลย เติมขึ้นไปเลย วิลลี่ (โบลี่) ยืนสูงเข้าไว้กดดันพวกเขาต่อ", "ตั้งสติให้ดีหนุ่มๆ ลูกนี้ยาก จังหวะนี้ยาก เอาบอลออกไปจากหน้าประตูเราก่อน", "ตั้งขบวนเกมรับด้วย ดูเชปเกมรับให้ดี (โรแม็ง) ซาอิสส์ ถอยลงมา เยี่ยม ยืนตรงนี้แหละ", "ขึ้นไปเลยแดเนี่ยล (แดเนี่ยล โปเดนซ์) จี้เข้าไป ดีแล้วทำได้ดีมาก", "อดาม่า (ตราโอเร่) ดีแล้ว เราจะชนะแล้ว เก็บบอลไว้กับตัวซะเพื่อน" นี่คือถ้อยคำส่วนหนึ่งของ โคอาดี้ สั่งเพื่อนร่วมทีมส่วนหนึ่งที่ The Athletic ถอดใจความมาได้


Photo : Premier League 

เขาเป็นคนสั่งการเพื่อนๆ ตลอดเวลา และในฐานะผู้มาก่อน เขาไม่เคยใช้สถานะนั้นข่มคนอื่น การตะโกนของ โคอาดี้ ไม่ใช่ตะโกนเพื่อด่า แต่ช่วยให้ทีมเล่นตามแผนที่ นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ สั่งไว้ ... เหมือนกับที่เขาเป็นมาตลอดตั้งแต่สมัยยังอยู่อคาเดมีของ ลิเวอร์พูล เขาคือตัวแทนของโค้ชที่อยู่ในสนามนั่นเอง

อดัม มอร์แกน อดีตเพื่อนร่วมทีมของ โคอาดี้ เมื่อครั้งยังร่วมทีมลิเวอร์พูล เป็นหนึ่งในผู้ช่วยวิเคราะห์การเล่นของ โคอาดี้ กับ The Athletic อธิบายเหตุผลนี้เพิ่มเติมว่า 

"คอเนอร์ เป็นคนที่มาตรฐานคงเส้นคงวา แต่ละสัปดาห์เขาจะเล่นด้วยเรตติ้งระดับ 7/10 เป็นอย่างต่ำ เกมไหนที่ทีมชนะขาดลอยนั่นคือเกมที่เขาเล่นได้ในระดับไร้ข้อผิดพลาดแบบ 10 เต็ม 10" มอร์แกน กล่าว 

"ทุกทีมต้องการใครสักคนที่เป็นเหมือนเขา แต่มีบางส่วนที่ คอเนอร์ แตกต่างกับผู้นำคนอื่นๆ เมื่อเขาตะโกนใส่ใคร เขาไม่ได้ตะโกนเพื่อให้ผู้เล่นคนนั้นสติแตก เขาไม่วิจารณ์คุณว่าเป็นไอ้ห่วยแตกแน่นอน เขาจะพูดประมาณว่า เอาหน่อยโว้ย เอาหน่อยโว้ย ตอนซ้อมแกทำได้ดีกว่านี้เพื่อน พูดตรงๆ เขาเหมือนพ่อของคุณในสนามนั่นแหละ สิ่งสำคัญที่สุดคือ คอเนอร์ จะไม่ร้องขอในสิ่งที่เขาทำไม่ได้จากคุณแน่นอน ดังนั้นเขาจึงได้รับความเคารพมากมาตั้งแต่ยังเด็กแล้ว"


Photo : Premier League 

"เขาไม่ได้เร็วที่สุดในด้านกำลังขา แต่สมองของเขาเร็ว หัวของเขาไวมาก เขามีทัศนคติของผู้ชนะ และนั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเหมาะมากกับการถอยมาเป็นเซ็นเตอร์ฮาล์ฟ" นี่คือสิ่งที่ มอร์แกน บอก

ส่วน นูโน่ เอสปิริโต้ ซานโต้ ไม่เถียงทุกคำชื่นชมที่มีต่อกัปตันทีมของเขา จุดเด่นของ วูล์ฟส์ คือการเล่นเกมรับให้แน่นหนาและสวนกลับด้วยความแม่นยำ ด้วยแท็คติกนี้ทีมของเขาไม่มีทางจะขาดนักเตะอย่าง โคอาดี้ ได้เลย และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้ โคอาดี้ เคยทำสถิติลงเล่น 78 นัดติดต่อกันครบทุกนาทีเมื่อปีที่แล้ว 

"เชปของทีมคือสิ่งที่จำเป็นที่สุดในทีมของผม ถ้าถามว่าทำไมเกมรับของเรายากจะทำลาย ผมคงต้องบอกว่าเรามีการจัดระเบียบเกมรับกันตลอดเวลา เรารู้เส้นทางของฟุตบอลและพื้นที่รับผิดชอบของแต่ละคน ระดับการสื่อสารในทีมของเราแม่นยำมาก" เอสปิริโต้ ซานโต้ กล่าว แม้เข้าจะไม่ได้กล่าวถึงโคอาดี้ โดยตรง แต่นี่มันคือคุณสมบัติของ โคอาดี้ เหมือนกับที่ทุกๆคนก่อนหน้านี้เคยพูดถึงชัดๆ

ขณะที่เพื่อนร่วมทีมทุกคนพร้อมรับฟังทุกคำสั่งจาก โคอาดี้ พวกเขาไม่สนใจว่า โคอาดี้ อาจจะไม่ได้เป็นกลุ่มก้อนนักเตะโปรตุกีสเหมือนกัน แต่เมื่อ โคอาดี้ พูด ทุกคนรู้ว่ามันไม่ใช่การใส่อารมณ์ แต่มันคือความปรารถนาให้ทีมกลายเป็นผู้ชนะ พวกเขาไร้ข้อโต้แย้งในเรื่องความเป็นผู้นำของ โคอาดี้ อย่างแท้จริง

"เขายอดเยี่ยมมาก เป็นคนที่ดีมากจริงๆ เป็นกัปตันที่ดีที่สุดเท่าที่เคยเจอ เขาอยู่กับทุกคนทั้งเกม ทำให้เรามั่นใจเสมอ" รูเบน วินาเกร แบ็กซ้ายชาวโปรตุเกสของทีมกล่าว

"นอกสนามเขายังเป็นคนตลก เขามักจะหัวเราะทำให้ทุกคนรู้สึกถึงบรรยากาศที่ดีในทีม และเมื่อเขาลงสนาม เรารู้ว่าเขามีประสิทธิภาพมาก เขาสามารถวางบอลไปตรงไหนก็ได้ตามที่เขาต้องการ ผมไม่รู้จะพูดว่าเขาเหมาะสมกับการเป็นกัปตันทีมยังไงดี แต่เขาพยายามมากและผมชอบจุดนี้ บางครั้งเขาพยายามจะพูดภาษาโปรตุเกสเพื่อให้พวกเราเข้าใจ ทั้งๆที่เรื่องนี้มักจะเป็นเรื่องที่ผู้เล่นอังกฤษคนอื่นๆล้อเลียนทีมเรา" วินาเกร ว่าต่อ

อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่เขาได้รับคำชมเรื่องนี้ โคอาดี้ มักจะไม่รับมันไว้ และบอกว่าคนที่ควรได้รับคำชื่นชมควรเป็น นูโน่ มากว่า


Photo : Premier League 

"ผมเองไม่ได้เป็นคนที่เก่งเรื่องแท็คติกแบบที่ใครบอกหรอก แต่การเป็นลูกทีมของ นูโน่ มันง่าย เขาชอบอธิบายและสิ่งที่เขาพูดมันล้วนสมเหตุสมผล เมื่อเขาพูดคุณจะเห็นภาพในหัวอย่างง่ายดาย และนั่นทำให้พวกเราทั้งทีมเล่นในสไตล์ที่เป็นตัวเอง เราไม่เคยกลัวใครและไม่เคยเปลี่ยนแนวทางไม่ว่าจะเจอกับทีมไหนก็ตาม" โคอาดี้ กล่าว

แม้จะปฎิเสธขนาดไหน แต่ทุกคนเห็นตรงกันในความเป็นผู้นำของ คอเนอร์ โคอาดี้ ... เรื่องของความเป็นผู้นำ และเป็นคนที่พูดอะไรแล้วคนอื่นยอมทำตามนั้นย่อมมีเหตุผล สัญชาติไม่เกี่ยว วัฒนธรรมไม่เกี่ยว วัยวุฒิไม่เกี่ยว มีแต่เรื่องของคุณวุฒิและความเหมาะสมล้วนๆที่ทำให้เขามาอยู่ในจุดนี้ได้  

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook