ทาเคอิจิ นิชิ : บารอนนักขี่ม้าเหรียญทองโอลิมปิก ผู้ขอสู้แค่ตายในสงครามโลกครั้งที่ 2

ทาเคอิจิ นิชิ : บารอนนักขี่ม้าเหรียญทองโอลิมปิก ผู้ขอสู้แค่ตายในสงครามโลกครั้งที่ 2

ทาเคอิจิ นิชิ : บารอนนักขี่ม้าเหรียญทองโอลิมปิก ผู้ขอสู้แค่ตายในสงครามโลกครั้งที่ 2
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันที่ 2 กันยายน ของทุกปี คือวันครบรอบพิธียอมจำนนของจักรวรรดิญี่ปุ่น ยุติความเป็นศัตรูต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง ถือเป็นจุดสิ้นสุดสงครามอันโหดร้าย ที่คร่าชีวิตผู้คนราว 70 ล้านราย

หนึ่งในนายทหารที่ยืนหยัดจนวินาทีสุดท้าย คือ พลโททาเคอิจิ นิชิ ผู้บัญชาการกองทหารรถถังที่ 26 ที่รับภารกิจปกป้องเกาะอิโวจิมา แม้ชีวิตอีกด้าน เขาคือนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก ที่ชาวอเมริกันทั่วประเทศหลงรัก

Main Stand บอกเล่าเรื่องราวของ ทาเคอิจิ นิชิ เจ้าของฉายา "บารอน นิชิ" ทหารนักขี่ม้าที่ปฏิเสธคำขอร้องให้ยอมจำนนของสหรัฐอเมริกา และเลือกต่อสู้จนตัวตายในสมรภูมิที่โหดร้ายที่สุดของสงครามมหาเอเชียบูรพา

ทายาทผู้สูงศักดิ์

ทาเคอิจิ นิชิ ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 1902 เขาเกิดในย่านอาซาบุ กรุงโตเกียว เป็นลูกชายคนที่สามของ โทคุจิโระ นิชิ ขุนนางตำแหน่งบารอน (ดันชะกุ) แห่งคาโซกุ ชนชั้นอันสูงศักดิ์ของจักรวรรดิญี่ปุ่น ที่จำกัดเพียงทายาททางสายเลือด และถูกแบ่งแยกจาก 2 ชนชั้นที่เหลือ คือ ชิโซะกุ (อดีตซามูไร) กับ เฮมิน (สามัญชน)


Photo : jiji.com

แม้เติบโตบนกองเงินกองทอง ทาเคอิจิ ไม่มีความสุขนักในวัยเด็ก พี่ชายทั้งสองคนเสียชีวิตตั้งแต่ยังไม่เกิด คุณแม่ของเขาถูกขับไล่ออกจากบ้านทันที่คลอดลูกชาย เนื่องจากเป็นภรรยานอกสมรส อนุมานได้ว่า ทาเคอิจิ มีชีวิตอยู่ตามแผนการของคุณพ่อ ที่ต้องการให้กำเนิดบุตรนอกกฎหมายสักคน เพื่อป้องกันการล่มสลายของสายตระกูล

ทาเคอิจิ จึงกลายเป็นเด็กชายนิสัยเกเร เขาก่อเหตุทะเลาะวิวาทกับเพื่อนนักเรียนหลายครั้ง ตั้งแต่เรียนชั้นประถม ทาเคอิจิ ใช้ชีวิตอย่างไร้แก่นสาร กระทั่งปี 1912 คุณพ่อของเขาเสียชีวิต ตำแหน่งบารอนของตระกูลนิชิที่สืบทอดยาวนาน จึงตกสู่มือของเด็กชายอายุ 10 ขวบ

ภาระ และหน้าที่ ตามวิธีขุนนางแห่งจักรวรรดิ เปลี่ยนทาเคอิจิที่เคยเหลวไหล กลายเป็นลูกผู้ชายเปี่ยมความรับผิดชอบ เขาศึกษาระดับชั้นมัธยมที่ Tokyo First Junior High School โรงเรียนชั้นหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น ตามคำขอสุดท้ายของผู้เป็นพ่อ ที่นั่นทาเคอิจิพบกับเพื่อนรัก ที่จะเติบโตเป็นปัญญาชนในภายหลัง เช่น ฮิเดโอะ โคบายาชิ นักวิจารณ์วรรณกรรม และฮิซัตสึเนะ ซาโคมิซุ เลขาธิการใหญ่ของคณะรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ช่วงปี 1945

มีทางเลือกมากมายให้ชนชั้นสูงเลือกเดิน ทาเคอิจิเลือกเส้นทางพื้นฐาน คือสมัครเข้าโรงเรียนทหารที่เมืองฮิโรชิมา ตั้งแต่อายุ 15 ปี ก่อนเข้าสู่โรงเรียนเตรีมทหารแห่งจักรววรดิญี่ปุ่น (Imperial Japanese Army Academy) เมื่ออายุ 18 ปี ขณะกำลังศึกษา พรรสวรรค์ด้านการขี่ม้า กลับโดดเด่นขึ้นมา


Photo : Kyodo News

ปี 1922 ทาเคอิจิถูกเรียกตัวเข้าสู่กรมทหารม้า ทั้งที่ยังเรียนไม่จบ เขาฝึกต่อในโรงเรียนทหารม้า จนสำเร็จการศึกษาในปี 1924 ทาเคอิจิกลายเป็นหนึ่งนายทหารรุ่นใหม่ที่น่าจับตา หลังเข้ารับราชการ 3 ปี เขาถูกเลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นร้อยโทแห่งกองทหารม้าที่หนึ่ง ขณะอายุเพียง 25 ปี

 

บารอนแห่งลอสแอนเจลิส

เส้นทางการเป็นนักกีฬาขี่ม้าของร้อยโททาเคอิจิ เริ่มต้นขึ้นในปี 1930 เขามีภารกิจทางทหารต้องเดินทางสู่ทวีปยุโรป ขณะทำธุระที่ประเทศอิตาลี ทาเคอิจิพบกับม้าแข่งชื่อ "ยูเรนัส" ดั่งชายหนุ่มพบรักครั้งแรก เขารู้ทันทีว่าเจ้าม้าตัวนี้ คือคู่ชีวิตที่เกิดมาเพื่อกันและกัน

ทาเคอิจิติดต่อกองทัพญี่ปุ่น เพื่อเบิกงบหลวงขอซื้อเจ้ายูเรนัส แต่กลับถูกปฏิเสธ เขาจึงใช้เงินส่วนตัวซื้อม้าตัวนี้มาครอบครอง ทันทีที่ได้ชื่อเป็นเจ้านายของยูเรนัส ทาเคอิจิลืมภารกิจทางทหาร ออกตระเวนแข่งขันไปทั่วยุโรป เขากับม้าคู่ใจทำผลงานได้ดี จนกองทัพญี่ปุ่นเริ่มมองเห็นผลงาน ปี 1932 ทาเคอิจิได้รับการเลื่อนขั้นเป็นร้อยเอก และได้รับคำสั่งให้ลงแข่งขันกีฬาขี่ม้า ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ที่เมืองลอสแอนเจลิส ประเทศสหรัฐอเมริกา


Photo : Asahi Shinbun

การเดินทางสู่สหรัฐอเมริกา ไม่ต่างอะไรกับปล่อยเสือเข้าป่า ทาเคอิจิเป็นอิสระจากหน้าที่ทางทหาร และภาระใต้ตำแหน่งบารอน เขาใช้ชีวิตอย่างอิสระ และหรูหราในลอสแอนเจลิส ทุกวันทาเคอิจิจะขับรถ Packard เปิดประทุน เพื่อฝึกซ้อมขี่ม้าที่ Riviera Country Club สนามกอล์ฟส่วนตัวของเหล่าเศรษฐีในแอลเอ

ทันทีที่พระอาทิตย์ตกดิน รถเปิดประทุนคู่ใจของทาเคอิจิ จะออกชื่นชมแสงสียามราตรีของลอสแอนเจลิส เนื่องจากใช้ชีวิตที่ยุโรปก่อนหน้านี้ ทาเคอิจิพูดภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว เมื่อบวกกับปูมหลังตระกูลขุนนางเก่าแก่ เขาได้การต้อนรับอย่างดีจากดาราในฮอลลีวูด ทาเคอิจิสังสรรค์กับนักแสดงชื่อดัง เช่น เซอร์ ชาร์ลี แชปลิน ผู้กำกับ และดาราตลกชื่อดัง, แมรี พิกฟอร์ด นางเอกเจ้าของฉายา America's Sweetheart และ ดักลาส แฟร์แบงส์ ราชาแห่งฮอลลีวูด พระเอกหมายเลขหนึ่งยุคหนังเงียบ

เมื่อคุณเป็นเพื่อนกับดาราแถวหน้าของฮอลลีวูด ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากทาเคอิจิ จะกลายเป็นชาวญี่ปุ่นที่โด่งดังที่สุดในสหรัฐอเมริกา หนังสือพิมพ์ตีแผ่เรื่องของนายทหารไลฟ์สไตล์เพลย์บอย ที่หันหลังแก่ภรรยา และลูกอีก 2 คน เนื่องจากหลงระเริงกับงานปาร์ตี้ของดารา รวมถึงนายทหารชั้นสูงจากประเทศอื่น


Photo : Bestchinanews

อันที่จริง ทาเคอิจิ ไม่ได้ตั้งใจตกเป็นข่าวซุบซิบในหนังสือพิมพ์บันเทิง การขับรถหรูตระเวนทั่วเมือง คือภารกิจลาดตระเวนเพื่อเก็บข้อมูลในเมืองลอสแอนเจลิส แต่ด้วยทักษะการเข้าสังคมที่อยู่คู่ชนชั้นนำอย่างเขา ทาเคอิจิกลายเป็นทหารเพลย์บอยในสายตาคนทั่วไป ทั้งที่อีกด้าน ทาเคอิจิ ไม่เคยขาดการฝึกซ้อม และใช้เวลาอย่างเต็มที่กับเพื่อนรักของเขา เจ้ายูเรนัส

14 สิงหาคม ปี 1932 การแข่งขันวันสุดท้ายของมหกรรมกีฬาโอลิมปิกที่ลอสแอนเจลิส ผู้ชมราว 100,000 คน อัดแน่นเต็มสนามโอลิมปิก สเตเดียม เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งของพิธีปิด และการแข่งขันกีฬาขี่ม้า สายตาทั้งหมดจับจ้องมาที่ทาเคอิจิ ไม่มีใครคิดว่าเขาจะชนะ ชาวอเมริกันเพียงอยากรู้ว่า ทหารเพลย์บอยชาวญี่ปุ่นรายนี้จะทำได้ดีแค่ไหน ?

ทาเคอิจิไม่เพียงแสดงความสามารถ แต่ทำในสิ่งที่ผู้ชมคาดไม่ถึง ขณะที่ผู้แข่งขัน 6 จาก 8 ราย ไม่สามารถขี่ม้าข้ามสิ่งกีดขวาง จนจบการแข่งขันโดยไม่เข้าเส้นชัย ทาเคอิจิ กับ ยูเรนัส โลดแล่นบนพื้นหญ้า ราวกับนักบัลเลต์กำลังร่ายรำ เขาข้ามสิ่งกีดขวาง 18 ชิ้น ก่อนเข้าเส้นชัยด้วยเวลา 2 นาที 42.2 วินาที คว้าตำแหน่งเหรียญทองมาครอง


Photo : theolympians.co

เสียงปรบมือดังก้องโอลิมปิก สเตเดียม หน้าหนังสือพิมพ์ประโคมข่าว "หนึ่งในชัยชนะที่เซอร์ไพร์สที่สุดในประวัติศาสตร์โอลิมปิก" ผู้คนทั่วสหรัฐอเมริกาเรียกทาเคอิจิว่า "บารอน นิชิ" ไลฟ์สไตล์เพลย์บอยที่เคยตกเป็นข่าวซุบซิบ กลายเป็นเซเลบริตี้ที่ทุกคนหลงรัก ในฐานะนักกีฬาผู้เปี่ยมความสามารถ และมีอัธยาศัยกับชาวอเมริกัน

ทาเคอิจิเป็นที่รักของชาวตะวันตกถึงกับได้รับตำแหน่ง "พลเมืองกิตติมศักดิ์แห่งเมืองลอสแอนเจลิส" ขณะเดียวกัน ทันทีที่เดินทางกลับถึงญี่ปุ่น เขาถูกแต่งตั้งเป็นอาจารย์สอนขี่ม้าที่โรงเรียนเตรียมทหาร เพื่อเป็นต้นแบบของนายทหารผู้รักชาติ และสร้างความภูมิใจแก่จักรวรรดิญี่ปุ่น ในฐานะนักกีฬาญี่ปุ่นคนแรกที่สามารถคว้าเหรียญทองจากกีฬาขี่ม้า ในมหกรรมกีฬาโอลิมปิก


ความสูญเสียที่อิโวจิมา

บารอน นิชิ คือชาวญี่ปุ่นอันเป็นที่รักของชาวอเมริกันทั่วประเทศ แต่ความจริง ความสัมพันธ์ระหว่าง 2 ประเทศกำลังย่ำแย่ จักรวรรดิญี่ปุ่นถูกวิพากษ์ จากเหตุการณ์รางรถไฟระเบิดที่เมืองมุกเดน นำมาสู่การรุกรานดินแดนแมนจูเรีย ในปี 1931 ชาวญี่ปุ่นในสหรัฐฯ จึงถูกลิดลอนสิทธิทางสังคมอย่างมากในช่วงเวลานั้น


Photo : theolympians.co

ผลงานของทาเคอิจิในโอลิมปิก 1932 คือวิธีทางการฑูตที่ได้ผลของจักรวรรดิญี่ปุ่น เขาทำเรื่องที่คล้ายกันในอีก 4 ปีถัดมา ทาเคอิจิ กับ ยูเรนัส ลงแข่งขันกีฬาขี่ม้าในมหกรรมกีฬาโอลิมปีก 1936 ที่กรุงเบอร์ลิน ประเทศเยอรมัน แต่ครั้งนี้ เขาพลาดเหรียญทอง หลังร่วงลงจากหลังม้าระหว่างการแข่งขัน

ท่ามกลางข้อสังเกตว่า นักแข่งขันฝีมือดีอย่างทาเคอิจิ ไม่น่าผิดพลาดถึงกับร่วงจากหลังม้า จึงเกิดข้อสันนิษฐานว่า เขาจงใจยอมแพ้ตามคำสั่งของรัฐบาล เพื่อเปิดให้นักกีฬาเยอรมันคว้าชัยชนะ ถือเป็นวิธีทางการฑูตเพื่อผูกมิตรกับ นาซีเยอรมนี

ความพ่ายแพ้ที่กรุงเบอร์ลิน คือจุดจบฐานะนักกีฬาของทาเคอิจิ เขาถูกส่งไปประจำการที่แคว้นแมนจูเรีย ในฐานะผู้บัญชาการกองทหารรถถังที่ 26 ก่อนรับการเลื่อนขั้นเป็นพันตรี จากผลงานที่เคยทำเพื่อประเทศชาติในปี 1939 หนึ่งปีก่อนจักรวรรดิญี่ปุ่นลงนามในกติกาสัญญาไตรภาคี ก่อตั้งฝ่ายอักษะในสงครามโลกครั้งที่ 2


Photo : Asahi Shinbun

ทาเคอิจิไม่มีส่วนร่วมในสงครามโลกมากนัก เนื่องจากประจำการที่ประเทศจีนเป็นส่วนใหญ่ กระทั่งถูกเรียกตัวกลับสู่ญี่ปุ่นในปี 1944 เพื่อป้องกันเกาะอิโวจิมา ที่กำลังถูกโจมตีอย่างหนักในสหรัฐอเมริกา สถานการณ์ของจักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มคับขัน เมื่อเรือบรรทุกรถถังจากเมืองปูซาน ถูกซุ่มโจมตีในเดือนกรกฎาคม ปีเดียวกัน

จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทาเคอิจิถูกมอบหมายให้เดินทางกลับกรุงโตเกียว เพื่อควบคุมการขนย้ายรถถัง 22 คัน สู่เกาะอิโวจิมา นั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาพบกับเพื่อนคู่ใจ เจ้าม้ายูเรนัส ทาเคอิจิกล่าวคำบอกลา ก่อนเดินทางกว่า 1,250 กิโลเมตรลงตอนใต้ เพื่อกลับสมรภูมิรบ

"มีไม่กี่คนที่เข้าใจเขา แต่มีเพียงยูเรนัสที่รู้ใจนิชิอย่างแท้จริง" คาโอรุ โอโนะ เขียนในหนังสือชีวิประวัติของ ทาเคอิจิ นิชิ

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ ปี 1945 ยุทธการที่อิโวจิมาเริ่มต้น สหรัฐอเมริกาออกคำสั่งปฏิบัติการดีแทชเมนต์ เป้าหมายยึดอิโวจิมาทั้งเกาะ เพื่อครอบครองสนามบิน 3 แห่ง และใช้เกาะแห่งนี้เป็นที่พักพลก่อนเข้าตีหมู่เกาะหลักของจักรวรรดิญี่ปุ่น แม้มีกำลังพล และกองสนับสนุนที่เหนือกว่า ทหารอเมริกันเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการวางแผนของทาเคอิจิ


Photo : theolympians.co

รถถัง 22 คันที่ได้จากกรุงโตเกียว ถูกสั่งให้ฝังลงใต้บังเกอร์ พร้อมกับขุดอุโมงค์ใต้ดินยาว 18 กิโลเมตร เพื่อใช้เป็นที่มั่นตั้งรับรถถังของสหรัฐอเมริกา ภาพที่เห็นจนชินตา คือทาเคอิจิเดินสั่งการทหารชั้นผู้น้อย ขณะสวมรองเท้าขี่ม้ายี่ห้อ Hermès และถือแส้ม้าติดมือตลอดเวลา

สหรัฐอเมริการู้ดีว่า "บารอน นิชิ" ที่พวกเขาหลงรักอยู่ที่นี่ ทันทีที่นาวิกโยธินสหรัฐฯ ยกพลขึ้นบนที่เกาะอิโวจิมา ข้อความชวนเชื่อถูกประกาศไม่เว้นแต่ละวัน เสียงตามสายกล่าวว่า ไม่มีใครอยากเห็น บารอน นิชิ เสียชีวิตในสงคราม ทาเคอิจิไม่เคยตอบกลับข้อความนั้น แม้ในใจจะรู้ดี ตัวเขาไม่มีวันชนะยุทธการนี้

วันที่ 26 มีนาคม สหรัฐอเมริกา คว้าชัยชนะในยุทธการที่อิโวจิมา มีการยืนยันว่า พันโททาเคอิจิ นิชิ เสียชีวิตในสมรภูมิ ไม่มีใครทราบแน่ชัดว่า เขาเสียชีวิตอย่างไร บางคนบอกว่า เขาถูกสังหารกลางวงล้อมของศัตรู บ้างก็ว่า เขาฆ่าตัวตายด้วยปืนสั้นประจำตัว แต่ไม่ว่าอย่างไร บารอน นิชิ ที่ชาวอเมริกันหลงรักถูกสังหารในสงคราม ด้วยวัย 42 ปี


Photo : japantimes.co.jp

ทาเคอิจิถูกเลื่อนยศเป็นพันเอก หลังการเสียชีวิต แต่มันคือเกียรติยศที่ว่างเปล่า ตำแหน่งบารอนของตระกูลถูกยกเลิก หลังสหรัฐอเมริกาเข้าปกครองญี่ปุ่น ส่วน ยูเรนัส ม้าคู่ใจของทาเคอิจิเสียชีวิตตามเจ้านายในอีก 1 สัปดาห์ถัดมา

สงครามก่อให้เกิดผลร้ายมากกว่าผลดี และพรากทุกอย่างไปจากเรา เพียงพริบตา บารอน นิชิ ผู้เป็นที่รักของชาวอเมริกัน ไม่เหลืออะไรมากกว่าความทรงจำ และเรื่องราวที่เล่าขาน หากไม่มีสงคราม เขาคงได้บอกกล่าวชีวิตของตัวเองสู่คนรุ่นหลัง น่าเสียดายที่ความจริงไม่เป็นเช่นนั้น ทาเคอิจิ นิชิ นักกีฬาขี่ม้าเหรียญทองโอลิมปิก จึงหยุดการเดินทาง ท่ามกลางเสียงระเบิด คราบเลือด และควันไฟ จากสงครามที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลก

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook