OnThisDay 26 กันยายน 2004 : วันเริ่มต้นสถิติสังหารของ "เซร์คิโอ รามอส"
.jpg?ip/crop/w728h437/q80/jpg)
ภาพจำของเซร์คิโอ รามอส ที่แฟนบอลลาลีกานึกถึง มีทั้งด้านสว่าง และด้านมืด มุมหนึ่งคือนักฟุตบอลตำแหน่งกองหลังที่มักจะทำประตูได้บ่อยๆ แต่อีกมุมหนึ่งคือนักฟุตบอลที่พร้อมจะรับบทผู้ร้ายเมื่อมีโอกาส
ก่อนที่จะมาสร้างเกียรติประวัติอันยิ่งใหญ่กับเรอัล มาดริด รามอสเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับสโมสรระดับกลางอัพของประเทศอย่างเซบีย่า ในแคว้นอันดาลูเซีย ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาด้วย
รามอส เริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลจากชุดเยาวชนของเซบีย่า ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ซึ่งมีเพื่อนร่วมรุ่นอย่างเฆซุส นาบาส และอันโตนิโอ ปูเอร์ต้า รวมอยู่ด้วย และพออายุ 17 ปี ก็ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเล่นทีมสำรอง
ช่วงเวลาที่อยู่ในทีมชุดสำรอง เด็กหนุ่มจากคามาส ได้รับโอกาสลงสนามนัดแรกในฐานะตัวสำรอง นัดที่บุกไปแพ้เดปอร์ติโว ลา คอรุนญ่า 0-1 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2004 จนกระทั่งในฤดูกาล 2004/05 ก็ได้เลื่อนชั้นสู่ทีมชุดใหญ่เต็มตัว
วันที่ 26 กันยายน 2004 เซบีย่า เปิดสนามราม่อน ซานเชซ ปิซฆวน รับการมาเยือนของเรอัล โซเซียดัด โดยที่รามอส ได้ลงสนามเป็น 11 ตัวจริงด้วย
ในแมตช์นั้น โซเดียดัด ออกนำก่อน 1-0 ตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกของเกม และทำท่าว่าจะจบ 45 นาทีแรกด้วยสกอร์นี้ กระทั่งเซบีย่ามาได้ลูกฟรีคิก ระยะประมาณ 30 หลา
เรนาโต้ มิดฟิลด์ของทีมเจ้าบ้าน เขี่ยบอลเปลี่ยนทางให้ปราการหลังชาวเซบียาโน่ วิ่งตามเข้ามาสังหาร ลูกฟุตบอลพุ่งแฉลบมือของอาเซียร์ ริเอสโก้ นายทวารทีมเยือน ตุงตาข่าย เป็นประตูตีเสมอ 1-1 อันเป็นประตูแรกในฟุตบอลอาชีพของรามอส
ก่อนที่ในครึ่งหลัง ดาริโอ ซิลวา จะทำประตูชัย ให้เซบีย่า พลิกแซงเอาชนะเรอัล โซเซียดัด 2-1 นับเป็นจุดเริ่มต้นของสถิติผู้เล่นตำแหน่งกองหลังที่ทำประตูได้ในลาลีกาต่อเนื่องทุกฤดูกาล จนถึงปัจจุบัน
และประตูที่ 2 ในชีวิตของรามอส ก็เกิดขึ้นที่สนามราม่อน ซานเชซ ปิซฆวน เช่นเดียวกัน ในแมตช์ที่พบกับเรอัล มาดริด จากลูกฟรีคิกเหมือนเดิม เป็นประตูขึ้นนำ 1-0 ของเจ้าบ้าน ก่อนที่ทั้งคู่จะเสมอกันไป 2-2
ซึ่งประตูจากฟรีคิกดังกล่าว แทบจะเป็นสูตรเดียวกับนัดที่ยิงใส่โซเซียดัดทุกประการ กล่าวคือ ฟรีคิกระยะประมาณ 30 หลา - เรนาโต้เขี่ย - รามอสยิง
ฤดูกาล 2005/06 รามอสลงเล่นลาลีกานัดเปิดซีซั่น ที่เอาชนะราซิ่ง ซานตานเดร์ 1-0 ซึ่งนี่คือการลงเล่นแมตช์สุดท้ายในสีเสื้อเซบีย่าของเขาด้วย
วันสุดท้ายของตลาดนักเตะช่วงซัมเมอร์ ปี 2005 เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา ตัดสินใจทุ่มเงิน 27 ล้านยูโร คว้าตัวมาร่วมทีม ซึ่งถือเป็นปราการหลังค่าตัวแพงที่สุดของลีกสเปนในเวลานั้น
รามอส ไม่ได้เป็นเซนเตอร์แบ็กโดยธรรมชาติ ในช่วงเริ่มต้นนักฟุตบอลอาชีพ เขาเล่นในตำแหน่งแบ็กขวา เคยถูกปรับมาเล่นมิดฟิลด์ตัวรับบางครั้งในกรณีฉุกเฉิน แล้วขยับมาเล่นเซนเตอร์แบ็ก
ตลอด 15 ปี ที่ค้าแข้งในถิ่นซานติอาโก้ เบอร์นาบิว ปราการหลังเลือดกระทิงรายนี้ ได้สร้างเรื่องราว สตอรี่เมคเกอร์ มากมายทั้งขาวและดำ ให้แฟนบอลลาลีกาได้จดจำ
ด้านบวก เป็นนักเตะตำแหน่ง "กองหลัง" ที่ทำสถิติยิงประตูได้มากที่สุดในลาลีกา ทั้งสิ้น 72 ประตู ทำลายสถิติของโรนัลด์ คูมัน อดีตแนวรับบาร์เซโลน่า ที่ทำไว้ 69 ประตู เรียบร้อย
แต่เรื่องด้านลบ ก็เป็นที่พูดถึงไม่แพ้กัน ทั้งเป็นนักเตะที่ได้รับใบเหลือง และใบแดงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของลาลีกา และยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รวมไปถึงสไตล์การเล่นฟุตบอลของเขา ที่มักจะหาจังหวะตุกติกเสมือนแท็คติกส่วนตัวเมื่อมีโอกาส
เหตุการณ์ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ปี 2018 ที่รามอสกระทำการกับไหล่ของโมฮาเหม็ด ซาล่าห์ จนล้มลง แถมด้วยการเล่นนอกเกมใส่ลอริส คาริอุส จนเสียคน ซึ่งไม่มีใครรู้ได้ว่า เขาตั้งใจทำหรือไม่
แม้จะถูกวิจารณ์หนักขนาดไหน แต่ถ้าทำลงไปแล้วได้ผลลัพธ์ที่ต้องการ แฟนบอลเรอัล มาดริด ก็ชอบใจอย่างแน่นอน แต่สำหรับแฟนบอลฝั่งตรงข้าม ถึงขั้นเกลียด อยากจะแช่งชักหักกระดูกเลยทีเดียว
แน่นอนว่า รามอส ไม่ไปสนใจกับเสียงนกเสียงกาเหล่านั้น และพร้อมที่จะเดินหน้าล่าความสำเร็จกับเรอัล มาดริด ต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่ายๆในเวลานี้
วันนี้ในอดีต คือ วันเริ่มต้นสถิติสังหารของ เซร์คิโอ รามอส เพจไข่มุกดำ X LaLiga จึงนำข้อมูลนี้มาระลึกถึงยอดกองหลังผู้เป็นทั้งที่รัก และชังรายนี้กันอีกครั้งหนึ่ง