ชุนซุเกะ นาคามูระ : ชายชาวญี่ปุ่นที่คนสก็อตแลนด์ยกให้เป็นตำนาน

ชุนซุเกะ นาคามูระ : ชายชาวญี่ปุ่นที่คนสก็อตแลนด์ยกให้เป็นตำนาน

ชุนซุเกะ นาคามูระ : ชายชาวญี่ปุ่นที่คนสก็อตแลนด์ยกให้เป็นตำนาน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม้ว่าปัจจุบัน ญี่ปุ่นจะเป็นหนึ่งในชาติที่ส่งออกนักเตะไปเล่นในต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะยุโรป แต่ย้อนกลับไปเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน จำนวนที่มีแทบจะนับนิ้วได้ 

ชุนซุเกะ นาคามูระ ก็เป็นหนึ่งในนั้น เขาเดินตามรอย ฮิเดโตชิ นาคาตะ ไปเล่นในอิตาลี และทำผลงานได้ไม่เลวในสีเสื้อของ เรจจินา ตลอด 3 ฤดูกาลในดินแดนรองเท้าบู้ต 

อย่างไรก็ดี ที่ กลาสโกว เซลติก สโมสรที่สองของเขาในยุโรป กลับต่างออกไป เมื่อเขาสามารถสถาปนาตัวเองขึ้นเป็นตำนานของเซลติก และได้รับการยกย่องจากชาวสก็อตแลนด์ 

เกิดอะไรขึ้นที่นั่น ร่วมติดตามไปพร้อมกับ Main Stand  

แข้งเอเชียเนื้อหอม 

2.5 ล้านปอนด์คือจำนวนเงินที่ กลาสโกว เซลติก ยักษ์ใหญ่แห่งลีกสก็อตแลนด์จ่ายให้ เรจจินา เพื่อเป็นค่าตัวของ ชุนซุเกะ นาคามูระ ดาวเตะทีมชาติญี่ปุ่นในปี 2005 แม้อาจจะเป็นเงินไม่มากนัก แต่ก็ทำให้ผู้คนสนใจนักเตะชาวเอเชียคนนี้ 

อันที่จริง เซลติก ไม่ได้เป็นเป้าหมายแรกของนาคามูระ เขาอยากย้ายไปเล่นในสเปนมากกว่า ลาลีกาเป็นเหมือนความฝันของเขา แต่ ปีเตอร์ ลอว์เวลล์ ประธานฝ่ายบริหารของเซลติกในตอนนั้นก็คือกุญแจสำคัญในครั้งนี้ 


Photo : ReggianaLife

“มันคืองานที่ได้รับมอบหมายที่ยุ่งยากที่สุดเท่าที่ผมเคยเกี่ยวข้องด้วย” ลอว์เวลล์กล่าวกับ footballscotland.co.uk 

เซลติก เริ่มสนใจในตัวของนาคามูระ มาตั้งแต่เห็นฝีเท้าของเขาในศึกคอนเฟดเดอเรชั่นคัพ 2005 ที่เขามีส่วนสำคัญให้ญี่ปุ่นเสมอกับบราซิลไปอย่างสนุก 2-2 ทว่าผลงานที่ผลงานที่ยอดเยี่ยมของแข้งชาวญี่ปุ่นก็กลายเป็นดาบสองคมสำหรับพวกเขา 

ในตอนนั้น นาคามูระ ต่างได้รับความสนใจจากหลายทีมดังในยุโรป ไม่ว่าจะเป็น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ โบรุสเซีย มันเชนกลัดบัด ในบุนเดสลีกา ลีดส์ ยูไนเต็ด ของอังกฤษ ลาซิโอ และ ปาร์มา ของเซเรียอา รวมไปถึงทีมในลาลีกาอย่าง แอตเลติโก มาดริด และ เดปอร์ติโว ลา คอรุนญา ซึ่งเป็นลีกที่เขาปรารถนาไปค้าแข้ง 

แต่เซลติก ก็ไม่หวั่น ลอว์เวลล์ นำคณะผู้แทนเดินทางไปอิตาลี เพื่อพูดคุยกับสโมสรและตัวแทนของนาคามูระ โดยตรง ก่อนที่ความพยายามครั้งนี้จะทำให้พวกเขาได้ลายเซ็นของหมายเลข 10 ทีมชาติญี่ปุ่นจนได้ 

“เราเดินทางไปมิลาน และได้พบกับตัวแทนของสโมสร” ลอว์เวลล์ย้อนความหลัง 


Photo : Football Scottland 

“เราทานข้าวเที่ยงกัน และมีเอเยนต์ห้าคนอยู่รอบโต๊ะของเรา มันยากมากในการเจรจา แต่คนคนที่ทำให้สำเร็จคือ โรแบร์โต สึคุดะ ที่เป็นเอเยนต์หลักของนาคะ และเป็นคนที่ฉลาดมากๆ”

“ความฝันของนาคามูระคือการได้เล่นในสเปน แต่เราจูงใจเขาให้มาเซลติก ซึ่งเขาจะได้ลงเล่นในเวทีอย่างเซลติกพาร์ค ในเกมแชมเปียนส์ลีก” 

แม้ว่าสุดท้าย เซลติก จะได้นาคามูระ มาร่วมทีมสมใจ แต่ดูเหมือนว่าฝีเท้าจะไม่ใช่เป้าหมายหลักในการเซ็นสัญญากับนักเตะคนนี้ 
 

นักเตะที่ซื้อมาขายเสื้อ? 

ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2000 กระแสของฟุตบอลยุโรปในทวีปเอเชียได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำให้หลายทีมพยายามขายฐานตลาดแฟนบอล ด้วยการดึงนักเตะเอเชียมาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น การย้ายมาร่วมทีม แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ของซุน จีไห่ ในปี 2002 หรือ หลี่ เถีย ของ เอฟเวอร์ตัน ในปีเดียวกัน 

กลาสโกว เซลติก ก็ดูเหมือนจะเดินตามรอยนี้ เพราะแม้ว่า นาคามูระ จะมีผลงานที่โดดเด่นในสีเสื้อของเรจจินา และทีมชาติญี่ปุ่น แต่ดูเหมือนว่าเขาในตอนนั้น จะถูกมองเป็นเพียงเบี้ยในการขยายฐานแฟนบอลในเอเชียมากกว่า 

“โอกาสที่เขานำเข้ามา เราจะได้ผลพลอยได้ในแง่ของการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในญี่ปุ่น และตะวันออกไกล สิ่งนี้น่าสนใจมาก” ลอว์เวลล์กล่าวในตอนนั้น 


Photo : Football Scottland 

เนื่องจาก นาคามูระ เป็นเหมือน เดวิด เบ็คแฮม ของชาวญี่ปุ่น เขาคือนักเตะคนสำคัญของทีมทั้งกับสโมสรและทีมชาติ การเซ็นสัญญากับเขาคือโอกาสในการทำให้ เซลติก กลายเป็นที่รู้จักในเอเชียตะวันออก 

สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ในเรื่องนี้คือการที่ เซลติก ยอมจ่ายค่าลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์ของนาคามูระ เป็นจำนวนถึง 1.3 ล้านปอนด์ หรือกว่าครึ่งหนึ่งของค่าตัว ที่ทำให้พวกเขาใช้รูปนักเตะชาวญี่ปุ่นบนสินค้าของพวกเขาได้ 

ในขณะเดียวกัน พวกเขายังเซ็นสัญญากับไนกี้ บริษัทอุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลก เพื่อจำหน่ายสินค้าของพวกเขาใน 250 สาขาทั่วญี่ปุ่น รวมไปถึงข้อตกลงกับบริษัทโทรทัศน์ในญี่ปุ่น เพื่อเผยแพร่เกมการแข่งขันของทีม 

นอกจากนี้ ในฤดูกาลดังกล่าว นาคามูระ ก็ไม่ใช่นักเตะเอเชียคนเดียวที่เซลติกคว้าตัวมาร่วมทีม เมื่อพวกเขายังได้ตัว ตู้ เหว่ย กองหลังชาวจีนมาจาก เซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว มาด้วยสัญญายืมตัว 

อย่างไรก็ดี ตู้ เหว่ย ก็อยู่กับทืมได้เพียงแค่ครึ่งฤดูกาล และได้ลงเล่นในเกมสก็อตติชคัพไปเพียงแค่เกมเดียว ก่อนจะถูกส่งกลับบ้านในช่วงตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคมปี 2006 

แต่ไม่ใช่สำหรับ นาคามูระ เมื่อเขาทำได้มากกว่านั้น 
 

ยกระดับทีม 

ฤดูกาล 2005-06 คือฤดูกาลแรกของ กอร์ดอน สตรัคคัน ในฐานะหัวเรือใหญ่ของเซลติก เขาเข้ามารับตำแหน่งต่อจาก มาร์ติน โอนีล ที่เพิ่งประกาศลาออกไปเมื่อฤดูกาลก่อนหน้า


Photo : The Scothman

ในตอนนั้น เซลติก กำลังอยู่ในยุคเปลี่ยนผ่าน พวกเขาเพิ่งเสีย เฮนริค ลาร์สสัน ยอดดาวยิงระดับตำนาน ที่ย้ายไปเล่นให้กับ บาร์เซโลนา เมื่อปีก่อน ในขณะที่นักเตะที่เป็นแกนหลักหลายคนในยุคของโอนีล ก็ล้วนผ่านจุดสูงสุด หรือกำลังจะเลิกเล่นแทบทั้งนั้น 

มันจึงทำให้ สตรัคคัน เริ่มต้นฤดูกาลด้วยความยากลำบาก หลังประเดิมพาทีมพ่ายต่อ อาร์ตเมเดีย บราติสลาวา แชมป์ลีกสโลวาเกียอย่างขาดลอย 0-5 ในเกม ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบคัดเลือก นัดแรก และแม้จะกลับมาเอาชนะ 4-0 แต่ก็ไม่เพียงพอต่อการเข้ารอบต่อไป 

นอกจากนี้ในเกมลีกก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน เมื่ออดีตแข้งปีศาจแดง ประเดิมนัดแรกในสก็อตติช พรีเมียร์ลีก ด้วยการเสมอกับ มาเธอร์เวลล์ 4-4 ที่ทำให้ความกดดันถาโถมมาที่เขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

มันจึงทำให้ สตรัคคัน ใส่ชื่อ นาคามูระ เป็นตัวจริงทันทีในนัดที่สองในเกมพบกับ ดันดี ยูไนเต็ด ในวันที่ 6 สิงหาคม ทั้งที่ ดาวเตะเลือดซามูไร ยังไม่ฟิตเต็มร้อย หลังเพิ่งลงเล่นให้ทีมชาติญี่ปุ่นในศึกคอนเฟดเดอเรชั่นคัพ 

และเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อดาวเตะชาวญี่ปุ่น ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยลีลาการเล่นที่เนียนตาของเขา ก่อนจะช่วยให้ เซลติก เอาชนะดันดีไปได้ 2-0 ซึ่งทำให้เขาคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมในเกมนั้น พร้อมกับได้รับการลุกขึ้นยืนปรบมือหลังถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 84 


Photo : Telegraph

อันที่จริง นาคามูระ เป็นนักเตะที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคนิค และการผ่านบอลที่แม่นยำ รวมไปถึงความสามารถเฉพาะตัวที่ใช้เล่นงานคู่แข่งมาแล้วนักต่อนักอยู่แล้ว แต่การย้ายมาเซลติก ทำให้เขากลายเป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่เข้ามาเติมเต็ม 

เนื่องจากในตอนนั้น เซลติก ต่างอุดมไปด้วยด้วยนักเตะมิดฟิลด์พันธ์ฮาร์ดแมน ไม่ว่าจะเป็น สติลิยัน เปตรอฟ, นีล เลนนอน รวมไปถึง รอย คีน ทำให้ นาคามูระ กลายเป็นส่วนผสมที่ลงตัว ในฐานะตัวสร้างสรรค์เกม 

ในฤดูกาลแรกกับเซลติก เขาลงเล่นไปถึง 33 นัดและยิงไป 6 ประตูในลีกกับอีก 8 แอสซิสต์ พร้อมช่วยให้ ม้าลายขาวเขียวกลับมาคว้าแชมป์สก็อตติช พรีเมียร์ลีก ได้อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการมีแต้มทิ้งห่างจาก ฮาร์ทส์ ทีมอันดับ 2 ถึง 17 คะแนน 

มันจึงทำให้เขากลายเป็นนักเตะที่เข้ามายกระดับทีมอย่างแท้จริง และขาดไม่ได้ นอกจากนี้เขายังมีวินัยในการฝึกซ้อม และรักษาความฟิตได้อย่างดีเยี่ยม ที่ทำให้เขาลงเล่นเกิน 30 นัดต่อฤดูกาลกับเซลติก ตลอด 4 ปีที่อยู่ที่นั่น 

“นาคะไม่เคยพลาดการซ้อม ไม่เคยพลาดการแข่งขัน เข้าสร้างร่างกายมาอย่างดี กล้ามเนื้อกระชับ ร่างกายฟิต เขาเคยวิ่งไปทั่วในเกม เกือบ 13 กิโลเมตรได้” พอล ฮาร์ทลีย์ อดีตแข้งเซลติกย้อนความหลังกับ footballscotland.co.uk


Photo : uefa.com 

ก่อนที่มันจะทำให้เขากลายเป็นนักเตะคู่บุญของ กอร์ดอน สตรัคคัน ในการนำความยิ่งใหญ่กลับมาสู่ถิ่น เซลติก พาร์ค ด้วยการพาทีมให้ทีมคว้าแชมป์ลีกอีก 2 สมัย สก็อตติชคัพ 1 สมัย ลีกคัพอีก 2 สมัย 

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ทำให้เขากลายเป็นที่จดจำ 
 

ผู้เขียนประวัติศาสตร์ 

“เขาทำให้เราได้พบกับช่วงเวลามหัศจรรย์มากมาย ทั้งเกมกับคิลมาน็อค, เซนต์ เมียร์เรน แต่กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด มันคือจุดสุดยอด” สตรัคคันพูดถึงนาคามูระ 

แม้ว่านาคามูระ จะรับบทบาทเป็นจอมทัพคอยแอสซิสต์ให้เพื่อนร่วมทีม แต่เขาก็ทำประตูไปไม่น้อยในสีเสื้อของเซลติก โดยตลอด 4 ฤดูกาลที่อยู่ที่นั่น เขายิงไป 34 ประตูจาก 166 นัดในทุกรายการ

ทว่าคงไม่มีประตูไหนที่ทำให้ผู้คนพูดถึงไปกว่าค่ำคืนของวันที่ 21 พฤศจิกายน 2006 ในเกมที่เซลติก เปิดบ้านรับการมาเยือนของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในศึก ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม

ก่อนเกมนัดนั้น เซลติก มี 6 คะแนน รั้งอยู่ในอันดับ 2 ของกลุ่ม โดยมีแต้มห่างจาก เบนฟิกา 2 คะแนน ทำให้พวกเขาต้องการ 3 คะแนนในนัดนี้ เพื่อการันตีการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย 

หลังจากเสมอกัน 0-0 เวลาก็ล่วงเลยจนถึงนาทีที่ 81 และเป็นฝ่ายเซลติกที่มีโอกาส เมื่อมาได้ฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ นาคามูระ บรรจงตั้งบอลเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะวิ่งเข้ามาปั่นด้วยซ้ายข้างถนัด บอลพุ่งโค้งข้ามกำแพง ก่อนจะมุดข้ามกำแพงผ่านมือ เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ยอดผู้รักษาประตูในยุคนั้น เข้าไปอย่างสวยงาม

ประตูดังกล่าวไม่เพียงแต่ทำให้ เซลติก ได้ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร แต่มันยังทำให้ชื่อ “นาคามูระ” กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกอีกด้วย 

“มันเป็นฟรีคิกที่สมบูรณ์แบบในแง่ของเทคนิค มันเป็นประตูที่ยอดเยี่ยม หนึ่งในฟรีคิกที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยมีมา” แมตธิว เลอ ทิสซิเอร์ กองกลางระดับตำนานของเซาแธมป์ตันพูดถึงประตูของนาคามูระ  

ในขณะเดียวกัน ความยอดเยี่ยมของฟรีคิกลูกนี้ คือจังหวะที่เหมาะสม เพราะมันเกิดขึ้นก่อนหมดเวลาเพียง 9 นาที และกลายเป็นประตูชัยที่ทำให้ให้เซลติก สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ได้สำเร็จ 

“บอลลอย และตอนที่มันกระทบตาข่าย มันได้กลายเป็นแก่นแท้ของเซลติกยุคใหม่” จิม ดิเวอร์ อดีตรองประธานกลุ่มกองเชียร์ของเซลติกบันทึกเป็นบทกวีเอาไว้ 


Photo : uefa.com 

แต่นี่ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของ นาคามูระ ในฐานะผู้เขียนประวัติศาสตร์ เมื่อในวันที่ 22 เมษายน 2007 เขาได้กลายเป็นฮีโรของทีมอีกครั้ง หลังยิงฟรีคิกสุดสวยมุดโคนเสาเข้าไปในนาทีที่ 91 ช่วยให้เซลติก บุกไปเอาชนะ คิลมาร์น็อค 2-1 และทำให้ลูกทีมของ กอร์ดอน สตรัคคัน คว้าแชมป์ในฤดูกาลนั้น 

แต่ถ้าถามเพื่อนร่วมทีมเกี่ยวกับประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนาคามูระ หลายคนยกให้ เกมที่เซลติก พบ กลาสโกว เรนเจอร์ส คู่แข่งร่วมเมืองในศึก โอลด์ เฟิร์ม ดาร์บี้ ในวันที่ 16 เมษายน 2008 

มันเป็นเกมดาร์บี้แมตช์ที่สำคัญมากของเซลติก เมื่อพวกเขาพ่ายมาติดๆ ในการเจอกับเรนเจอร์ส สองนัดก่อนหน้านี้ แถมคู่แข่งร่วมเมืองของพวกเขา ยังมีแต้มนำพวกเขาถึง 4 คะแนน แต่แข่งน้อยกว่าอยู่สองนัด 

มันเกิดขึ้นในนาทีที่ 20 แกรี คาล์ดเวล ได้บอลจากฝั่งขวา ก่อนเปิดไปที่กลางสนาม นาคามูระ เหมือนจะจับบอลห่างตัวไปนิด แต่เขาไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดลอย ด้วยการตะบันด้วยซ้ายเต็มแรง บอลพุ่งแหวกอากาศ ก่อนจะไซด์โค้งเข้าไปตุงตาข่ายอย่างงดงาม และช่วยให้ทีมเอาชนะไปได้ 2-1 ในท้ายที่สุด  

“สาบานต่อพระเจ้า ผมอยู่ในจุดที่พอดีตอนที่มันเกิดขึ้น” ฮาร์ทลีย์ย้อนความหลังกับ footballscotland.co.uk 

“แกรี คาล์ดเวลล์ ส่งบอลไปให้นาคะ เขาจับบอลได้อย่างสุดยอด จากนั้นก็ซัดเปรี้ยง ผมก็คิดว่า ‘เขากำลังทำอะไรจากตรงนั้น’” 

“การเคลื่อนที่ของบอล ถ้าคุณเห็นจากหลังประตู คุณต้องคิดว่า อัลลัน แมคเกรเกอร์ ต้องคว้าไว้ได้ และหลังจากนั้นมันก็เคลื่อนที่ไป มันเป็นการยิงที่เหลือเชื่อ เป็นระดับที่ต่างไป”

ก่อนที่มันจะกลายเป็นชัยชนะสำคัญ ที่ทำให้ เซลติก คว้าชัยอีก 5 นัดรวด พร้อมทำแต้มแซงเรนเจอร์ ผงาดคว้าแชมป์สก็อตติช พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ แถมยังเป็นแชมป์สมัยที่ 3 ติดต่อกันของนาคามูระในถิ่น เซลติก พาร์ค อีกด้วย 

แน่นอนว่ามันคือแชมป์ลีกครั้งสุดท้ายของ ดาวเตะชาวญี่ปุ่นในสีเสื้อของเซลติกอีกด้วย 
 

ยังคงเป็นตำนาน 

หลังจากมีช่วงเวลาอันหอมหวานในแดนวิสกี้ นาคามูระ ได้มีโอกาสย้ายไปเล่นสเปนสมใจ หลังไปอยู่กับ เอสปันญอล ในฤดูกาล 2009-10 แต่ก็มีช่วงเวลาที่ไม่น่าจดจำนัก เมื่อได้เล่นแค่เพียงแค่ 13 นัด ก่อนจะย้ายกลับไปเล่นในบ้านเกิดในปี 2010 กับ โยโกฮามา เอฟ มารินอส 

เขาค้าแข้งอยู่ที่นั่นต่อถึง 7 ฤดูกาล และมีส่วนช่วยให้ทีมได้ลุ้นแชมป์หลายครั้ง และสามารถคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีมาครอง รวมไปถึงติดทีมยอดเยี่ยมเจลีกในปี 2013 ปัจจุบันเขายังโลดแล่นอยู่ในลีกสูงสุดกับ โยโกฮามา เอฟซี ในวัย 42 ปี 

แม้จะผ่านมากว่า 10 ปีนับตั้งแต่วันที่เขาโบกมืออำลาเซลติก แต่เรื่องราวของ นาคามูระ ยังคงถูกพูดถึงในหมู่แฟนบอลม้าลายขาวเขียว จากสิ่งที่เขาเคยทำเอาไว้ 


Photo : The ScottishSun

จริงอยู่ว่าอาจจะมีนักเตะที่เก่งกว่าเขา หรือโดดเด่นกว่าเขาหลังจากนั้นในลีกสก็อตแลนด์ แต่ต้องยอมรับว่าไม่มีใครที่สามารถสร้างปรากฎการณ์ได้เท่ากับชายชาวญี่ปุ่นคนนี้ 

และมันก็ทำให้เขาได้รับการยกย่องในฐานะแข้งเอเชียที่เก่งที่สุดในประวัติศาสตร์ฟุตบอลแดนวิสกี้ แม้กระทั่งทุกวันนี้

“นาคะมีหลายอย่างที่ผู้เล่นบาร์เซโลนามี เขามีวิสัยทัศน์ที่สามารถมองข้ามช็อตไปได้ 3-4 จังหวะ เขามีความสามารถคำนวนรูปแบบ และมันก็คล้ายกับสิ่งที่นักเตะบาร์เซโลนาทำ” สตรัคคัน กล่าวกับ footballscotland.co.uk

“เขามีเทคนิคที่สามารถเล่นให้กับทีมใหญ่ เขาสามารถเล่นกับใครก็ได้ เขาคิดเร็ว และทำได้ทุกอย่างในเกมการแข่งขัน เขาคือนักเตะที่ดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมา”  

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook