เริ่มต้นยุคทองของทีมชาติไทย ภายใต้กุนซือ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง

เริ่มต้นยุคทองของทีมชาติไทย ภายใต้กุนซือ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง

เริ่มต้นยุคทองของทีมชาติไทย ภายใต้กุนซือ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

หากถามว่าทีมชาติไทยได้แชมป์ฟุตบอลอาเซียนคัพ(เอเอฟเอฟ ซูซูกิคัพ)ครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เชื่อว่ามีไม่ถึงครึ่งแน่นอนที่ตอบได้ เพราะเราห่างหายจากแชมป์รายการนี้ไปนานพอสมควรเลยทีเดียว

12 ปีเต็มๆที่ทีมชาติไทยไม่ได้เป็นอันดับ 1 ของอาเซียน หากย้อนกลับไป 2 ปีที่แล้ว เป็นครั้งที่ทีมชาติไทยใกล้เคียงที่สุด แต่ต้องพลาดท่าให้กับ สิงคโปร์ ในการเล่นแบบเหย้าเยือน ซึ่งสร้างความบอบช้ำให้แฟนบอลเป็นอย่างมาก
 
แต่หลังจากที่เราผิดหวังกับการเป็นเจ้าอาเซียนล่าสุด ทีมชาติไทยเริ่มสร้างทีมแห่งอนาคตขึ้นมาใหม่ เริ่มต้นจากการที่ตั้ง "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง ที่มารับหน้าที่กุนซือใหญ่และสามารถคว้าแชมป์ซีเกมส์มาครองได้สำเร็จแบบสะใจแฟนบอลทั้งประเทศ และนี่ก็เป็นยุคเริ่มต้นในการเรียกศรัทธากลับมาอีกครั้ง
 
(ซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง กุนซือใหญ่ทีมชาตืไทย)
 
จุดเริ่มต้นจากการคว้าแชมป์กีฬาซีเกมส์ครั้งล่าสุด ซิโก้ยังได้รับมอบหมายให้ทำทีมต่อเนื่องไปถึงการลงเล่นศึกเอเชียนส์เกมส์ ซึ่งเป็นทัวร์นาเม้นต์ ที่ใหญ่มากขึ้น และจากการเตรียมทีมที่ดีอย่างต่อเนื่องทีมชาติไทยทำผลงานได้ดีที่สุดในอาเซียน แม้วาจะไม่ได้เหรียญรางวัลมาครอง แต่พวกเขาก็คว้าอันดับสี่ในแบบที่ได้หัวใจแฟนบอลทั้งประเทศ
 
สองทรัวนาเม้นต์หลังสุดของทีมชาติไทย เป็นการแข่งขันในระดับอายุไม่เกิน 23 ปี ก็ยังมีหลายคนปรามาสว่า ฟุตบอลเด็กเราเก่งแต่เมื่อถึงทัวร์นาเม้นต์ทีมชาติชุดใหญ่เรามักจะทำได้ไม่ดี โดยเฉพาะทัวร์นาเม้นต์ที่เมื่อก่อนเราได้แชมป์จนเคยชินอย่างอาเซียนคัพที่ไม่ได้มา 12 ปีเต็ม ทำให้ช่วงหลังแฟนบอลอยากเห็นถ้วยนี้กลับมาอยู่ในครอบครองอีกครั้งมากที่สุด
 
และการเตรียมทีมล่าสุดสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย ก็แต่งตั้งซิโก้ เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง เข้ามารับหน้าที่ในทีมชาติชุดใหญ่ ซึ่งจุดนี้สร้างความพอใจให้กับแฟนบอลทั้งประเทศที่ต้องการให้ซิโก้ทำทีมชุดใหญ่ ซึ่งจากเสียชื่นชมแต่พอประกาศรายชื่อชุดสู้ศึกรอบสุดท้ายที่ประเทศสิงคโปร์ สร้างความประหลาดใจให้ใครหลายคน
 
(เกษม จริยวัฒน์วงษ์ ผู้จัดการทีมชาติไทย)
 
นักเตะชื่อดังอย่าง สินทวีชัย หทัยรัตนกุล , ธีราทร บุญมาทัน , จักรพันธ์ แก้วพรม , จักรพันธ์ พรใส และดาวดังเบอร์หนึ่งของไทยอย่าง ธีรศิลป์ แดงดา กลับไม่มีชื่อ แต่ "ซิโก้"ก็ออกมาให้เหตุผลว่าการเรียกตัวครั้งนี้ เพื่อเป็นการวางรากฐานทีมชาติไทยสู่อนาคต ตามนโยบายสมาคมฟุตบอล แต่สิ่งที่จะสามารถกลบเสียงวิจารณ์ออกไปได้หมดมีอย่างเดียว คือคว้าแชมป์มาครอง 
 
ซึ่งทีมชาติไทยชุดลุยศึกอาเซียนคัพเลือกสถานที่ในการเก็บตัวคือ กิเลน วัลเลย์ แคมป์ฝึกซ้อมของสโมสร เอสซีจี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่สร้างขึ้นมาใหม่ และยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการด้วยซ้ำ ซึ่งผมได้มีโอกาสติดตามทีมชาติชุดนี้ไปที่แคมป์ฝึกซ้อมด้วย และก็ต้องบอกว่ามีความพร้อมสมบูรณ์ทุกอย่าง นักเตะและสต๊าฟโค้ชทุกคนพอใจอย่างมาก
 
ในการเดินทางมาเก็บตัวฝึกซ้อมที่จังหวัดนครราชสีมา ทีมชาติไทยมีโปรแกรมลงเล่นเกมอุ่นเครื่องสามแมตช์ โดยเกมแรกเมื่อวันที่ 9 พ.ย. ที่ผ่านมาโชว์ผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม เอาชนะทีมชาติฟิลิปปินส์ ไป 3-0 ส่วนอีกสองแมตช์จะพบกับสโมสร นครราชสีมา มาสด้า เอฟซี วันที่ 12 พ.ย. และปิดท้ายวันที่ 18 พ.ย. พบกับทีมชาตินิวซีแลนด์
 
(อดุล หละโสะ เจ้าของปลอกแขนกัปตันทีมชาติไทยคนปัจจุบัน)
 
หลังจากผ่านเกมแรกทำให้แฟนบอลชาวไทยส่วนใหญ่ มั่นใจว่าทีมชาติไทยไม่น่าพลาดแชมป์อาเซียนคัพแน่นอน แม้จะใช้ผู้เล่นชุดเอเชี่ยนเกมส์ ล่าสุดเป็นส่วนใหญ่ ก็คงต้องมาดูกันว่าอีกสองแมตช์ขุนพลช้างศึกจะทำได้ดีขนาดไหน แต่ถึงจะดีเอาชนะได้ทุกแมตช์ ก็คงไม่สามรถชี้วัดได้ร้อยเปอร์เซ็นว่าเล่นอุ่นเครื่องดีจะเป็นแชมป์
 
จากการสอบถามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวงการฟุตบอลส่วนใหญ่ยังมั่นใจว่าทีมชาติไทยจะสามารถคว้าแชมป์รายการนี้มาครองได้ ขอแค่ผ่านรอบแรกเท่านั้น เพราะเพื่อนร่วมกลุ่มอย่าง สิงคโปร์(เจ้าภาพ) , มาเลเซีย และ เมียนมาร์ ล้วนแต่เป็นทีมที่แข็งทั้งสิ้น และอีกอย่างเป็นการเล่นนอกประเทศอีกด้วยนักเตะอายุน้อยจะมีปัญหาในจุดนี้เรื่องประสบการณ์
 
แต่หากสามารถผ่านรอบแรกได้จะเปลี่ยนมาเล่นในระแบบเหย้าเยือน ซึ่งทีมชาติไทยไม่เสียเปรียบทุกทีมไม่ว่าจะพบกับทีมอะไร ก็ต้องมาดูกันวาทีมชาติไทยยุคซิโก้จะทำผลงานได้ดีขนาดไหน แต่บอกได้เลยว่าหากสามารถคว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จ จะเป็นก้าวแรกสู่ยุคทองของทีมชาติไทยอีกครั้งแน่นอน
 
"พงษ์ศักดิ์ ภิญคุณ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook