สำรวจความคิดในวัย 40 ปี “อำนาจ รื่นเริง” อดีตแชมป์โลกที่กราฟชีวิตขึ้นสุดลงสุด
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/sp/0/ud/215/1078439/sasaz.jpgสำรวจความคิดในวัย 40 ปี “อำนาจ รื่นเริง” อดีตแชมป์โลกที่กราฟชีวิตขึ้นสุดลงสุด

    สำรวจความคิดในวัย 40 ปี “อำนาจ รื่นเริง” อดีตแชมป์โลกที่กราฟชีวิตขึ้นสุดลงสุด

    2020-04-22T11:56:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    อำนาจ รื่นเริง คือชื่อที่แฟนกีฬามวยชาวไทยทุกคนต้องรู้จัก นักชกรุ่นเก๋าวัย 40 ปี ที่ผ่านการต่อสู้มาแล้วทุกรูปแบบ ทั้งมวยไทย, มวยสากลสมัครเล่น, มวยสากลอาชีพ หรือแม้กระทั่ง คิกบ็อกซิง

    ชีวิตของเขาถูกบอกเล่าตามหน้าสื่อหลายครั้ง ทั้งในวันที่รุ่งโรจน์ และวันที่ตกต่ำ… จากเด็กชายที่ไม่มีบัตรประชาชน จนเป็นแชมป์มวยลุมพินี ร่วงหล่นลงมาติดคุกติดตาราง ก่อนพุ่งสูงได้เป็นแทนนักมวยสากลสมัครเล่น ทีมชาติไทย ที่เกือบเหรียญโอลิมปิกมาประดับเกียรติยศ จนสุดท้ายก็มาประสบความสำเร็จบนเวทีมวยอาชีพ ด้วยตำแหน่งแชมป์โลก IBF

    เราเดินทางมาถึงค่ายมวย อโยธยา ไฟต์คลับ ในจังหวัดอยุธยา เพื่อทบทวนเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในชีวิตของ อำนาจ รื่นเริง 

    สิ่งที่คุณจะได้อ่านต่อไปนี้ จึงไม่ใช่การเล่าซ้ำ แต่เป็นความทรงจำและความคิดที่ส่งตรงออกมาจากสมอง ของนักกีฬาที่ชีวิตพลิกผันมากที่สุดคนหนึ่ง ผ่านคำบอกเล่าที่จริงใจและไม่มีกั๊ก เกี่ยวกับชีวิตตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ของชายที่ชื่อว่า อำนาจ รื่นเริง

    เริ่มจากความพ่ายแพ้

    “ตั้งแต่วัยเด็ก ครอบครัวของผมค่อนข้างยากจน คุณยายเป็นคนเลี้ยงผมมา ผมอยู่จังหวัดชลบุรี อำเภอศรีราชา” 

    “โชคดีตรงที่ผมไปเห็นค่ายมวย ก็ได้เข้าไปซ้อม แต่ไปซ้อมวันแรก ผมไม่รู้ว่าตอนเที่ยง พวกรุ่นพี่เขาจะนอนกัน พอเห็นกระสอบก็วิ่งเข้าไปเตะ ก็โดนไล่ออกมาจากค่าย วันรุ่งขึ้นผมกลับไปที่ค่าย เขาถามว่า มึงอยากต่อยมวยไหม ถ้ามึงอยากต่อยมึงก็มา” 

    “วันแรกที่ผมไปซ้อมที่ค่ายมวย เขาให้ผมไปปล้ำ กับรุ่นพี่ที่เคยต่อยมาแล้ว ผมก็ไปปล้ำกับเขา แล้วดันไปเหวี่ยงรุ่นพี่ที่เคยต่อยมาแล้วล้มลงไป หัวเขาแตกเลยนะ”

    “หลังจากนั้นผมต่อยมวยมาตลอด ซ้อมไปเรื่อย  เพราะไปวันแรกผมก็ได้ค่าขนมแล้ว ห้าบาท สิบบาท ลูกพี่เขาบอกว่า ‘มึงอยู่ตรงนี้ ได้เงินกินขนมนะ ดีกว่าไปเร่ร่อน ไปยิงนกเก็บมะม่วง มาอยู่ค่ายมวย มึงได้เงิน ไม่ต้องไปแบบมือขอยาย’”

    “ทั้งที่ความจริง ยายผมกับน้าผมเขาไม่อยากให้ต่อยมวยหรอก เขาเห็นผมไม่ค่อยแข็งแรง ตอนเด็กผมมีโรคประจำตัว เป็นโรคลมชัก เขาไม่อยากให้ผมต่อย แต่ใจผมผมชอบ มันสนุกดี ได้เจอเพื่อนใหม่ ได้เจอรุ่นพี่ที่คอยดูแลเราด้วย”

    “หลังจากเริ่มซ้อมมาประมาณหนึ่งปี ผมได้ขึ้นชกครั้งแรกตอนอายุ 8 ขวบ ไฟต์แรกผมแพ้ให้ วิษณุ อ. บ่อวิน ผมจำได้วันนั้นเป็นวันลอยกระทง ผมโดนน็อคตั้งแต่ยกแรก ผมโดนเขาเตะ เตะท้องแล้วจุก” 

    “หัวเราด้วยความเป็นเด็ก ผมก็ร้องไห้ ในใจผมมันแค้นนะ อยากจะต่อยอีกแต่หัวหน้าค่ายอุ้มลง ยังดีหน่อย ผมได้เงินมา 120 บาท ผมก็ให้ยายผมไป 100 บาท เก็บไว้เอง 20 บาท ยังไม่รวมทิปที่หัวหน้าค่ายให้เพิ่มอีกนะ รวมแล้วไฟต์แรกผมได้เงินประมาณ 200 บาท”

    ไอ้หัวสนิม

    “ผมต่อยมวยไทยมาจนถึงอายุ 14-15 ปี ช่วงนั้นผมฟอร์มดี ผมแก้มือชนะ วิษณุ อ.บ่อวิน หลังจากนั้นมาชนะ นกน้อย ลูกบางพระ จนค่ายส.เพลินจิต ส่งแมวมองมาดูผมต่อย พอผมต่อยดี เขาก็มาถามลูกพี่ว่า เด็กคนนี้ผมขอมาอยู่ค่ายได้ไหม”

    “ตอนนั้นติดปัญหาตรงที่ ยายผมเขาไม่ยอมให้มาอยู่กรุงเทพ แกเป็นคนโบราณคนสมัยก่อน ไม่เข้าใจเรื่องการซื้อขายนักมวย ประกอบกับลูกพี่เก่าไม่พูดตรงๆกับยาย พอยายรู้ความจริง แกก็คิดว่าลูกพี่เก่าจะเอาลูกหลานเขาไปขาย ยายก็ไม่ยอมให้ไป ”

    “ใจผมอยากไปกรุงเทพนะ ผมอยากไปเห็นว่าโลกมันเป็นยังไง สุดท้ายลูกพี่เขาเลยพาผมหนีมา ผมเข้ามาอยู่กรุงเทพได้เกือบปี ตอนนั้นผมทำผลงานดี ตั้งแต่ภาคใต้ยันภาคอีสาน รุ่นเดียวกับผม เขาแพ้ผมหมดทุกคน แสนชัย ส.คําสิงห์ (พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม) ก็แพ้ผม”

    “ผมอยู่กรุงเทพ ได้ค่าตัวจากหลักพันขยับขึ้นมาหลักหมื่น เริ่มส่งเงินให้ทางบ้าน ยายก็ดีใจนะ แต่ยังไม่อยากให้ผมกลับไปชกมวยที่กรุงเทพอยู่ดี ยายเขาเริ่มเป็นห่วงผม เพราะอยู่กรุงเทพผมเริ่มจะดื้อ ผมจึงตัดสินใจกลับมาอยู่กลับยาย เลิกชกมวยไปประมาณ 2 ปี”

    “พอเลิกชกมวย ช่วงนั้นผมกลายเป็นเด็กที่ดื้อกว่าเดิม เริ่มไปเที่ยวเตร่กับเพื่อน ไม่ค่อยอยู่บ้าน ทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย  พูดง่ายๆนะ ตื่นเช้ามา ยายวางเงินให้ 30 บาท กินข้าวเสร็จออกจากบ้านละ ไปอยู่ที่โต๊ะสนุ๊ก อยู่กันจนเที่ยงคืนตีหนึ่ง บางทีก็นอนโต๊ะสนุ๊กเลย”

    “ผมกลับมาชกมวยอีกทีตอนผมไปอยู่วัดดงยวด จัง  หวัดอุดรธานี ก็ไหลไปตามเพื่อนนี่แหละ จำได้วันนั้นผมเห็น ทองไทย ป.บูรพา เขาต่อยถ่ายทอดสดช่อง 5 วันนั้นผมเห็นเพื่อนต่อย มันก็มีไฟอยากกลับมาต่อยอีกครั้ง เราเห็นคนที่เคยกินเคยนอนด้วยกัน ผมขอเงินที่วัด 200 นั่งรถกลับมาหายาย ผมบอกแกว่า ถ้าคราวนี้ผมไม่ดัง ผมไม่กลับมาแล้ว แกก็หัวเราะแล้วก็ถามว่า มึงจะไปไหนอีก ผมก็ตอบว่า ไปต่อยมวยนี่แหละ”

    “หลังจากนั้น ผมก็เขาไปหาตาหิน (ร.อ.พิชิต เกษรมาลา) บอกว่าอยากต่อยมวย แกบอกว่า ถ้ามึงเอาจริง กูก็ให้โอกาสมึง ผมก็ลุย" 

    "กลับมาต่อยลุมพินีครั้งแรก ผมแพ้ มีแต่คนรุมด่า วันนั้นผมหัวทองแบบนี้แหละ คนด่าว่า ไอ้หัวสนิม มึงไปเอาสนิมที่ไหนมาขึ้นหัววะ คืนนั้นผมนอนคิด ทำไมต้องมาว่ากูแบบนี้วะ กลับมาต่อยนัดสอง ผมชนะ หลังจากนั้นผมชนะยาวจนได้แชมป์ลุมพินี ประมาณอายุ 22”

    ตั้งใจไปเข้าคุก

    “ชีวิตมันมีปัญหา ตอนที่ผมกลับไปบ้าน ผมก็ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนอีก ช่วงนั้นผมเริ่มไปยุ่งกับวงการยาเสพติดด้วย มันก็ไปยาวเลย”

    “ตอนที่ผมเป็นแชมป์ ต่อยเสร็จหนึ่งนัด เขาจะให้หยุดประมาณสามสี่วัน ผมจะกลับไปบ้าน เพื่อไปเสพยา แล้วพอกลับไป จิตใจไม่ค่อยอยากจะกลับมาต่อยมวย ไม่อยากจะกลับไปค่ายแล้ว ลูกพี่ก็โทรมาตาม ให้คนไปลากกลับมา”

    “ตอนนั้นผมรู้สึกว่าโดนบังคับจิตใจกันมากไป ผมก็หนีออกจากค่าย ชีวิตตอนนั้นเที่ยวเล่นไปวันๆ พอไม่มีเงินใช้ก็หาฉุดชิงวิ่งราว ได้เงินตกกลางคืนมา ออกจากบ้านขี่มอเตอร์ไซค์ เที่ยวอย่างเดียว”

    “ความคิดตอนนั้น ผมไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้ เงินทอง ชื่อเสียง ไม่เคยคิดเลย ตอนวัยรุ่นได้เงินมาใช้ทันที ไม่เคยคิดว่าจะเก็บ นอกจากแบ่งให้ยายบ้าง ช่วงที่หนีออกจากบ้าน หนีออกจากค่าย ผมอยู่กับเพื่อนตลอด ไปไหนไปกัน กินเหล้า เมา สนุกสนาน”

    “ผมก็เลิกชกมวยไปปีกว่า กว่าจะมีความคิดอยากกลับมาชกมวยอีกครั้ง ก็วันที่โดนจับเข้าคุก ความจริงตอนนั้นผมอยากจะห่างเพื่อน เพราะเริ่มเกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติดมากเกินไป มีเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่เขาผลิตของพวกนี้ พยายามชวนผมไปทำ แต่ผมไม่อยากไป ผมก็เลยไปที่ค่ายป.บูรพา กลับเข้าไปขอต่อยมวยกับลูกพี่ ว่าจะเข้ามาต่อยใหม่”

    “ผมคิดอยู่ตลอดว่าถ้าแกให้โอกาส ผมจะตั้งใจซ้อม ผมไปที่ค่ายตั้งแต่หกโมงเช้า ปกติสิบโมงแกต้องเข้ามาที่ค่ายแล้ว สองชั่วโมงแรกผมก็นอนเล่นรอแก แต่มันนอนไม่หลับหรอก ใจมันรอ ผมนอนอย่างนั้นตั้งแต่เช้า จนถึงบ่ายสาม แกก็ไม่ยอมมา”

    “ผมรู้นะว่าแกไม่ได้ติดธุระอะไร แกแค่ให้ผมนั่งรอ เหมือนจะทำโทษผม เหมือนแกอยากรู้ว่าเราอยากได้โอกาสจริงหรือเปล่า จะรอแกได้นานแค่ไหน แต่ในใจผมมันคิดว่าโดนปฏิเสธไปแล้ว  ความรู้สึกมันเหมือนโดนทิ้ง”

    “วันนั้นผมมีเงินติดตัวอยู่ในกระเป๋าประมาณ 5,000-6,000 บาท ผมให้น้องออกมาส่งหน้าห้างเฉลิมไทย คราวนี้ ผมเห็นผู้หญิงเดินมา ผมก็เข้าไปกระตุกสร้อยเลย แล้วผมวิ่งเข้าไปมอบตัวที่ป้อมตำรวจ ตอนแรกตำรวจเขาก็ไม่เชื่อว่าผมทำ ไม่มีใครเชื่อว่าผมทำ เพราะเขารู้ว่าผมเป็นนักมวย”

    “เขาถามว่าผมทำจริงเปล่า ผมก็บอกผมทำจริง เขาสวนกลับมา มึงอย่าโกหกกู ตำรวจยังด่าผมเลย ผลสุดท้ายผมแบมือให้เห็น ตำรวจพาผมไปโรงพัก ตำรวจก็ถามนะว่า มึงทำไปทำไมวะ”

    “หลังจากนั้น ลูกพี่ผมก็ไปประกันตัวผมด้วยนะ แต่ผมไม่ยอมออกมา แกมาคุยว่าจะต่อยไหม ถ้าต่อยจะโอกาส แต่ผมบอกว่าผมขออยู่ข้างในดีกว่า เพราะความรู้สึกมันเหมือนกับว่า ผมโดนปฏิเสธไปแล้ว ชีวิตผมมันไม่มีอะไรแล้ว ทางบ้านก็ทะเลาะกับยาย ทะเลาะกับน้า มันหาหลักไม่เจอ”

    “ทางเพื่อนเรื่องยาเสพติดมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ถ้าผมไปถลำตรงนั้น ไม่ตายก็คงติดคุกยาว ผมวิ่งเข้าไปหาตำรวจ ในใจผมอยากให้ตำรวจจับผมอย่างเดียว เอาให้มันจบไป ค่ายมวยก็จบ เรื่องเพื่อนก็จบ คิดแค่ว่าเข้าคุกไป ค่อยออกมาก็มาหางานสุจริตทำ”

    “ตอนที่ผมโดนจับ ผมเอามือก่ายหน้าผากนอนคิดอย่างเดียวว่า มันจะเป็นไงก็ช่างมัน ผมไม่คิดอะไรแล้ว ให้มันจบไป จะเป็นอย่างไรก็ปล่อยมันเลย เพราะผมไม่รู้แล้วว่าผมจะไปคว้าหลักตรงไหนได้ ไปตั้งหลักตรงไหน ผมไม่มีเป้าหมายอะไรเลยในชีวิต คิดว่าเข้าคุก เขาจะให้ทำอะไร ก็ยอม คิดแค่นั้นเอง”

    เติบโตจากประสบการณ์

    “ผมโชคดีตรงที่ในเรือนจำมันมีค่ายมวย เป็นค่ายมวยสากลสมัครเล่น เป็นค่ายที่เอานักโทษมาชก ผู้ใหญ่เขารู้ว่าผมเคยต่อยเวทีใหญ่ ผู้ใหญ่ก็ให้โอกาสมา เขาบอกว่า มึงต่อยให้เรือนจำนะ ผมก็รับปากเลย เขาพาผมไปต่อยกีฬาภายในเรือนจำ พาผมไปคัดตัวจังหวัด พาผมไปคัดตัวชิงแชมป์ประเทศไทย ผมชนะนักมวยทหารทั้งหมด ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ”

    “ตอนอยู่ในคุก ผมว่ามันไม่มีแรงกดดันนะ มีแต่เพื่อน ผู้ต้องขังคนร้อยกว่าคนเขามาเชียร์เรา ผมมีแต่ความสุข เพราะมีคนผลักดันเรา มีคนสนับสนุนเรา ก่อนออกมาต่อยชิงแชมป์ประเทศไทย ทุกคนลงขันให้ผมหมด คนละ 20-30 บาท ทุกคนที่เกเรมา ไม่ว่าจะคดีอะไรก็ตาม รวมเงินให้ผม สนับสนุนผมในทางที่ผมถนัด หาเงินมาได้ 7,800 บาท”

    “ผมบอกตัวเองให้ตั้งใจตั้งแต่ได้โอกาสอีกครั้ง ต่อให้เหนื่อยแค่ไหนก็อย่าทิ้งโอกาสนี้ ผมบอกยายผมว่า ผมจะทำให้ได้ ผมบอกพี่น้องผมทุกคนแบบนี้ วันที่ผมออกมาจากคุก พี่น้องผมร้องไห้กันหมด ยายผมก็ร้องไห้ เพราะดีใจที่เห็นผมกลับตัวได้ แล้วได้รับโอกาสให้เข้าไปซ้อมกับทีมชาติไทย”

    “ผมมีความฝันอยากทีมชาติมาตั้งแต่เด็กๆ เริ่มจากวันที่ผมแทงสนุ๊กกับเพื่อนนี่แหละ พี่บาส (สมรักษ์ คำสิงห์) ต่อยวันนั้น ชิงเหรียญทองโอลิมปิก ผมกำลังก้มแทงสนุ๊กนี่แหละ เพลงชาติไทยมันขึ้น ผมก็หันไปมอง ผมขุนลุกขึ้นมาเลย วันนั้นผมเลิกแทงเลย ผมกลับบ้าน แล้วผมก็ไปเล่าให้ยายผมฟัง เมื่อกี้ดูมวยมา ผมขนลุกหมดเลย เหมือนตื่นเต้นไปกับเขาด้วย”

    “เมื่อผมได้เข้าไปในอยู่แคมป์ทีมชาติ ผมผ่านบททดสอบเยอะนะ ผมลดน้ำหนักจาก 60 กิโล เหลือ 48 กิโล เขาลองใจผมทุกอย่าง อยากรู้ว่าผมจะอยู่ได้หรือเปล่า เพราะผมเคยเป็นนักโทษมาก่อน เคยดื้อด้านมาก่อน แต่ผมมีแรงผลักดันในตัวผมเสมอว่า ผมอยากเป็นเหมือนพี่เขา อยากทำให้ได้แบบพี่เขา” 

    “ผมเคยหนีทหาร ผมก็อยากทำอะไรเพื่อประเทศชาติบ้าง ทดแทนที่ผมหนีทหารมา อยากทำตรงนี้ทดแทน ทำอะไรตอบแทนคุณแผ่นดิน พูดง่ายๆ ผมอยากทำตรงนี้ให้กับแผ่นดิน คิดแค่นี้” 

    ฝันสลาย

    “ผมคิดว่าตัวเอง ควรจะได้เหรียญในโอลิมปิก 2008 นะ จนไฟต์ที่ชกกับเขา (เซอร์ดัมบา ปูเรฟดอร์จ) ผมเจอปัญหาเรื่องผู้ตัดสิน ผมมั่นใจว่าตัวเองได้แต้ม แต่กรรมการกลับให้คะแนนเขา เพราะภาพที่คนทั้งโลกดู เขาก็เห็นว่าผมชนะ แต่ในเมื่อผลตัดสินมันออกมาว่าผมแพ้ ผมก็ต้องยอมรับ”

    "มันเป็นวันที่ผมเจ็บ มันเป็นวันที่ผมควรจะได้เหรียญ มันเป็นวันที่ผมควรจะได้เงินหลายสิบล้าน แต่ผมพลาดตรงนั้น ถามว่าผมพลาดเพราะอะไร มันพลาดเพราะผมไปต่อยแลกกับคุณ ถ้าผมต่อยของผมคนเดียว คุณก็โกงผมไม่ได้ พอผมต่อยกับคุณ แลกกันหมัดต่อหมัด ต่อให้หมัดผมถึง หมัดเขาไม่ถึง เขาก็ได้แต้ม มันก็เป็นบทเรียนให้ผม”

    “นักมวยคนไหนที่โดนแบบนี้ ความตั้งใจมันหายไปเกินครึ่ง แต่ผมสู้ต่อ อารมณ์เหมือนว่า มึงยิ่งโกง กูยิ่งชอบ หลังจากนั้น ผมคิดแค่ว่า ถ้าคุณจะโกงผม ผมจะต่อยให้มันขาดเลย ประสบการณ์จากวันนั้นมันทำให้ผมนิ่งขึ้น” 

    “ระฆังดังขึ้นมา ผมระวังตัวเลย ผมจะไม่ต่อยจนกว่าผมจะมั่นใจว่า ยกเว้นเขาช้ากว่าเรา ผมถึงจะออกอาวุธ แต่ถ้าเขาเร็วกว่าเรา ผมก็ไม่ออกหมัด ป้องกันตัวไปเรื่อย เขาหยุด ผมถึงออก มันขึ้นอยู่กับสมาธิ ยิ่งผมทำน้ำหนักได้ดี สมาธิผมก็จะยิ่งนิ่ง”

    “จนผมมาเริ่มไม่นิ่ง ตอนชกเสียแชมป์โลก IBF นี่แหละ คือผมอายุมาก การทำน้ำหนักมันยากมาก วันที่ผมต่อกับ (จอห์น เรียล) คาเซมิโร ที่ผมเสียเข็มขัด เพราะผมทำน้ำหนักไม่ได้ น้ำหนักมันลดไม่ลง ลดยังไงก็ไม่ลง แล้วผมก็ประมาทด้วย เหลือเวลาอีกเดือน เดี๋ยวทำได้ พอเหลือ 15 วันก็ยังคิดว่าทำได้ แค่ 7-8 กิโลฯ”

    “พอเวลาต้องลดน้ำหนัก สมองมันคิดไปหลายเรื่อง กังวลนู่นี่ คิดเรื่องน้ำหนัก คิดเรื่องต่อย กูจะแพ้ไหมวะ ใจเราไม่นิ่งเหมือนเดิม เวลานอนก็นอนไม่หลับ พลิกซ้ายพลิกขวา กว่าจะหลับตีสี่ตีห้า หกโมงต้องตื่นมาวิ่ง ทุกอย่างมันรวนไปหมด ผมเสียเข็มขัดไปตั้งแต่ตกตาชั่ง ผมแพ้เขาตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว”

    “หลังจากนั้น ผมหันไปต่อยคิกบ็อกซิง เพราะมีรุ่นพี่อยากเอาผมไปต่อยญี่ปุ่น เพราะเขาส่งใครไปญี่ปุ่นเขาก็แพ้หมด เขาก็บอกมึงไปลองสิ กูอยากรู้มึงจะชนะญี่ปุ่นไหม ผมลองกลับมาฝึกเตะกระสอบ” 

    “โอโห มันเจ็บมาก เตะหนึ่งที่ขามันปูดขึ้นมาเป็นลูก เหมือนใครเอามะนาวมาวางไว้ แข้งเรามันระบมไปหมด ผมเตะเขา แต่ผมเจ็บเอง เขายืนให้เราเตะ แต่เราเจ็บเอง กระดูกผมมันไม่เหมือนเดิมแล้ว เพราะตอนต่อยมวยสากลอาชีพ ผมทิ้งวิชาการเตะไปเลย มันเจ็บเหมือนใครเอาไม้มาตี มันเหมือนมันจะหัก โคตรเจ็บเลย”

    “วันที่ผมไปชก ยกแรกผมเตะเขา (เทนชิน นาซึกาวะ) แต่ขามันเริ่มปูดขึ้นมานิดนึง เขาก็กลัวผมมากเลยนะ เขาไม่กล้าออกอาวุธเลย ความจริงตอนนั้นผมเจ็บไปหมดแล้ว เราเตะเขา แต่เราเจ็บเอง ผมเจ็บจนผมไม่กล้าอาวุธ สุดท้ายผมโดนอัปเปอร์คัทเข้าที่เก่า ผมลุกไม่ขึ้น น็อกยกสี่ ผมต่อยคิกบ็อกซิงได้สองครั้ง หลังจากนั้นผมไม่เอาเลย เพราะจังหวะเตะเราไม่ได้แล้ว”

    ก้าวต่อไปในวัย 40 ปี

    “ผมตั้งเป้าไว้ว่าจะชกจนอายุ 40 ปี เท่ากับปีนี้คือปีสุดท้ายของผม เพราะกว่าผมจะเริ่มชกมวยสากลอาชีพก็อายุ 36 ปีแล้ว ตอนนั้นผมตั้งใจว่าจะชกสัก 4 ปีก็พอ อยากให้คนเห็นว่า ผมอายุ 40 ผมยังต่อยมวยได้ ออกอาวุธได้ฉาบฉวยเหมือนเดิม” 

    “ผมผ่านมาหมดแล้ว เคยไปจุดสูงสุดแล้ว ไฟต์หน้าที่จะชกอุ่นเครื่องกับ ศรีสะเกษ (นครหลวงโปรโมชั่น) อีกนัด ผมคิดว่าน่าจะพอแล้วละ หลังจากนั้นผมจะทำหน้าที่เป็น ครูมวย เพื่อสอนเด็กรุ่นต่อไปว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จต้องทำอย่างไร อะไรที่ไม่ดี เราต้องบอกเขาอย่าทำ”

    “ผมอยากให้รุ่นน้องเห็นความตั้งใจของผม การฝึกซ้อม การคุมน้ำหนัก ผมก็อยากให้น้องดูผมว่าผมอายุขนาดนี้ ทำไมผมยังต่อยได้ ผมก็บอกพวกเขาว่า ถ้าเอ็งเลือกเส้นทางนี้แล้ว ถ้าเอ็งอยากเป็นแบบพี่ เอ็งต้องมีความมุ่งมั่น มีความตั้งใจ”

    “ผมอยากทำให้น้องตามค่ายดูว่า ผมอายุขนาดนี้ ถ้าผมไม่ซ้อม ผมต่อยไม่ได้ มันไม่ใช่มวยไทยต่อย 3 ยก 5 ยก มวยสากลอาชีพมันต่อยกัน 8 ยกขึ้น ถ้าผมไม่ซ้อม ผมต่อยไม่ได้ ผมต้องซ้อมถึง” 

    “ในฐานะนักมวย ผมมีครบทุกอย่าง ผมมีบ้านหลังละหลายล้าน ผมปลูกเองด้วยน้ำพักน้ำแรงของผม มีรถ มีที่ดิน มีเงินเก็บอยู่บ้าง มีเงินเดือนกินมันก็เลี้ยงครอบครัวได้ อาจจะขาดแค่พ่อ ที่ยังโหยหาเขานะ มันเป็นเรื่องที่อยู่ในใจลึกๆ”

     “แต่ถึงผมจะไม่มีพ่อ ผมยังมียาย ที่เป็นทั้งแม่และพ่ออยู่ในคนเดียวกัน มีพี่น้อง มีน้องๆ ในค่าย ที่ให้ความรัก ความอบอุ่นมาโอบล้อมเราไว้ และเป็นพลังให้เรายังสู้ต่อไปวันข้างหน้า”