มาร์โก มาเตรัซซี่ : แนวรับจอมเถื่อนผู้มีแต่ขาวกับดำในชีวิต

มาร์โก มาเตรัซซี่ : แนวรับจอมเถื่อนผู้มีแต่ขาวกับดำในชีวิต

มาร์โก มาเตรัซซี่ : แนวรับจอมเถื่อนผู้มีแต่ขาวกับดำในชีวิต
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

แม้ว่าฟุตบอลโลก 2006 จบลงด้วยการคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 4 ของทีมชาติอิตาลี แต่ไฮไลต์สำคัญกลับกลายเป็นจังหวะที่ มาร์โก มาเตรัซซี แนวรับอัซซูรี ถูก ซีเนดีน ซีดาน เอาหัวพุ่งโขกใส่ หลังโดนพูดจาดูถูก จนทำให้กัปตันทีมชาติฝรั่งเศสถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม

นั่นทำให้มาเตรัซซี จากเดิมที่มีชื่อเสียงที่ไม่ดีอยู่แล้ว ถูกวิจารณ์จากทั่วสารทิศ เพราะเกมดังกล่าวถือเป็นเกมนัดสุดท้ายในชีวิตนักเตะอาชีพของซีดาน แต่กลับต้องจบลงอย่างที่ไม่มีใครคาดคิด

อย่างไรก็ดี นี่ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ที่แนวรับจากอินเตอร์ ตกเป็นเรื่องอื้อฉาวจากพฤติกรรมในสนาม ซึ่งเขาเองก็ไม่เคยสนใจ และยังคงการเล่นในรูปแบบนี้จนวันสุดท้ายของการค้าแข้ง 

และนี่คือเรื่องราวของนักเตะที่ขึ้นชื่อว่า “สุดเถื่อน” คนหนึ่งของโลก

สร้างชื่อจากเปรูจา 

ด้วยสไตล์การเล่นแบบ “คาเตนัชโช” หรือที่รู้จักกันในชื่อ “ตีหัวเข้าบ้าน” ของอิตาลี ที่โด่งดังมาตั้งแต่ยุค 1960’s ทำให้ลีกของพวกเขากลายเป็นแหล่งบ่มเพาะกองหลังฝีเท้าดีมากมาย และ มาร์โก มาเตรัซซี กองหลังระดับตำนานของ อินเตอร์ มิลาน ก็เป็นหนึ่งในนั้น 


Photo : @ClassicCalcio

เขาอาจจะเป็นนักเตะที่แจ้งเกิดช้าหน่อย เพราะแม้จะเป็นแข้งเยาวชนของ ลาซิโอ แต่ไม่สามารถเบียดขึ้นมาเล่นในทีมชุดใหญ่ ทำให้ต้องหนีไปเล่นในลีกล่างทั้ง เซเรียบี เซเรียซี หรือแม้กระทั่ง เซเรียดี อยู่นานหลายปี 

จนกระทั่งในปี 1995 เปรูจา ได้หยิบยื่นโอกาสสำคัญด้วยการคว้าตัวมาร่วมทีม และมาเตรัซซี ก็ตอบแทนความไว้ใจ เมื่อในอีก 2 ปีหลังจากนั้น เขาได้ก้าวขึ้นมาเป็นแข้งคนสำคัญของทีม ช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นกลับไปเล่นในเซเรียอาหลังเอาชนะ โตริโน ได้ในรอบเพลย์ออฟ โดยลงเล่นไปทั้งสิ้น 33 นัด และทำไปถึง 5 ประตู 

ผลงานดังกล่าวทำให้เขาได้รับความสนใจต่อหลายทีมในลีกสูงสุด แต่เนื่องจาก เปรูจา ไม่อยากให้เขาเป็นหอกข้างแคร่ ที่ย้ายไปเล่นให้กับคู่แข่งร่วมลีก จึงตัดสินใจขายให้ เอฟเวอร์ตัน ในพรีเมียร์ลีกของอังกฤษแทน 


Photo : www.sportskeeda.com

“ดูเหมือนว่าเปรูจา อยากจะขายนักเตะไปต่างประเทศมากกว่าที่จะให้เป็นหนึ่งในคู่แข่งของเขา และเราก็ได้ตัวเขามา” วอลเตอร์ สมิธ กุนซือของเอฟเวอร์ตันในตอนนั้นกล่าว  

“ผมรู้สึกพอใจเพราะเขาเป็นกองหลังที่ดี ดุดัน เล่นลูกกลางอากาศได้ดี และสามารถจ่ายบอลได้ เขาเป็นผู้เล่นที่ต้องจับตามองและผมก็คิดว่าเขาจะรับมือกับพรีเมียร์ชิพได้โดยไม่มีปัญหา” 

แต่มาเตรัซซี ก็ไม่ได้มีผลงานที่โดดเด่นกับทอฟฟีสีน้ำเงิน แม้จะได้ลงสนามไปถึง 27 นัด และทำไปหนึ่งประตู แต่ไม่สามารถช่วยทีมได้มากนัก เมื่อเอฟเวอร์ตันจบในอันดับ 14 ของตาราง ก่อนที่เขาจะคัมแบ็คกลับมาเล่นให้เปรูจาอีกครั้งหลังจบซีซั่นนั้น 

อย่างไรก็ดี แม้จะไม่ได้มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ประสบการณ์ในต่างแดนก็ช่วยให้เขาเติบโตขึ้น มาเตรัซซี ใช้เวลาไม่นานก็กลับมายึดตำแหน่งตัวจริงของทีมได้อีกครั้ง ก่อนที่ในฤดูกาล 2000-2001 เขาจะกลายเป็นผู้เล่นที่ขาดไม่ได้ของทีม เมื่อซัดไปถึง 12 ประตูจาก 30 นัด 

ผลงานดังกล่าวยังทำให้เขาทำลายสถิติกลายเป็นกองหลังที่ยิงประตูได้มากที่สุดในฤดูกาลเดียวในเซเรียอาของ ดาเนียล พาสซาเรลลา แนวรับชาวอาร์เจนตินา ที่ทำไว้ 11 ประตูในสีเสื้อของอินเตอร์เมื่อฤดูกาล 1985-1986 หรือเกือบ 15 ปีก่อน 

ฟอร์มการเล่นของเขา ทำให้เขาได้รับความสนใจจากทีมยักษ์ใหญ่ในลีกอีกครั้ง ก่อนที่ อินเตอร์ จะเป็นผู้ชนะ หลังทุ่มเงิน 10 ล้านยูโร ซึ่งถือว่าไม่น้อยในตำแหน่งกองหลัง คว้าตัวเขาไปร่วมทีมเมื่อปี 2001 
และมันก็ทำให้ชื่อเสียงในความดุดันของเขากลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง 

 

แนวรับสุดเถื่อน 

การย้ายมาสวมเสื้ออินเตอร์ ถือเป็นก้าวที่สำคัญของ มาเตรัซซี เพราะนอกจากจะช่วยขัดเกลาฝีเท้าให้แข็งแกร่งขึ้น ยังทำให้เขาได้รู้จักกับความสำเร็จที่แท้จริง หลังมีส่วนช่วยให้อินเตอร์คว้าแชมป์ถึง 15 รายการ


Photo : nerazzurriale.id

ตลอด 10 ปีที่เล่นให้กับทีมงูใหญ่ มาเตรัซซี สามารถคว้าแชมป์เซเรียอา 5 สมัย โคปปาอิตาเลีย 4 สมัย และยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับสโมสรโลกอีกอย่างละสมัย รวมไปถึงการทำทริปเปิ้ลแชมป์ เซเรียอา โคปปา อิตาเลีย และ UCL ในฤดูกาล 2009-10

แต่นอกจากความสำเร็จ สิ่งหนึ่งที่มาเตรัซซี มักถูกพูดถึงอยู่เสมอในสีเสื้ออินเตอร์คือความดุดันของเขา และเขาก็แสดงให้เห็นตั้งแต่ฤดูกาลแรกกับทีมงูใหญ่ เมื่อได้รับใบเหลืองมากเป็นอันดับ 3 ของทีมถึง 17 ใบ ที่ทำให้ถูกแบนไปถึง 2 ครั้งในฤดูกาลดังกล่าว 

อันที่จริงความดุดันของเขาเป็นมาตั้งแต่ค้าแข้งอยู่เปรูจา เมื่อในฤดูกาล 1997 เขาได้รับใบเหลืองไปถึง 12 ใบ หรือแม้แต่ตอนที่ย้ายไปค้าแข้งในอังกฤษ ก็ยังถูกไล่ออกไปถึง 3 ครั้ง แม้ว่าเขาจะออกมาให้สัมภาษณ์ว่าหนึ่งในนั้นเป็นการโดนไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรมก็ตาม 

“ผมจำได้ว่าผมโดนใบแดง 3 ใบ และหนึ่งในนั้นมันไม่ยุติธรรม โทษแบนรุนแรงมากในพรีเมียร์ลีก ทำให้ฤดูกาลนั้น (1998-99) ผมได้เล่นน้อยมาก” เขากล่าวกับ FourFourTwo 

โดยพื้นฐาน มาเตรัซซี เป็นกองหลังที่เข้าสกัดหนัก ซึ่งไม่แปลกสำหรับกองหลังที่ต้องจัดการคู่แข่งให้อยู่หมัด แต่เขาเหนือกว่านั้นคือทั้งเข้าหนักและเต็มไปด้วยลูกตุกติก  

เขาเป็นผู้เล่นที่เข้าสกัดแบบถึงลูกถึงคน ที่มีทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเสียบจากด้านหลัง กระโดดเสียบขาคู่ เตะทั้งบอลทั้งคน หรือแม้กระทั่งเตะคนอย่างเดียวโดนไม่สนใจบอล   

นอกจากนี้ มาเตรัซซี ยังเป็นนักเตะที่ชอบแถม ทั้งจังหวะชุลมุน หรือจังหวะตามน้ำ ที่ทำให้หลายครั้งแม้บอลหลุดจากการครองบอลไปแล้ว แต่เขาก็ยังใช้จังหวะต่อเนื่องลอบทำร้ายคู่แข่ง ตั้งแต่ธรรมดาอย่างศอก เหยียบหลังคู่แข่ง ถีบยอดอก ไปจนถึงจระเข้ฟาดหาง 

แม้แต่ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช นักเตะที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งของโลก ก็เคยโดนเขาเล่นงานมาแล้ว ซึ่งครั้งนั้นก็ทำให้ดาวยิงสวีดิชถึงกับแค้นมาก และเก็บมันไว้ในใจ ก่อนจะมาเอาคืนในอีก 4 ปีให้หลัง แม้ช่วงเวลาระหว่างนั้น พวกเขาจะเคยอยู่ทีมเดียวกันก็ตาม

“มาเตรัซซี เข้ามาท้าทายผมเหมือนกับนักฆ่าคนหนึ่ง และทำให้ผมเจ็บ เขาเป็นนักเตะที่ก้าวร้าวคนหนึ่ง” ซลาตันกล่าวกับ GQ Magazine

“ผมอยากกลับลงไปในสนามเพื่อแก้แค้นแมทริกซ์ (ฉายาของมาเตรัซซี) ถ้าบางคนทำแบบนั้นกับผม ผมจะไม่ลืมมัน และหลังจากนั้นในอีกสองนาทีต่อมา ผมเจ็บจนเกินจะเล่นไหว และเล่นต่อไปไม่ได้ หลังจากนั้นผมย้ายไปอินเตอร์ บาร์เซโลนา และ มิลาน” 

“เรามาเจอกันอีกครั้ง ในเกมดาร์บีนัดแรกเมื่อฤดูกาล 2010-11 ในครึ่งหลัง แมทริกซ์ เข้ามาหาผมและผมก็เตะเขาด้วยท่าเทควันโด ผมส่งเขาไปโรงพยาบาล สแตนโควิชถามผมว่า ‘ทำไมนายทำอย่างนั้น’ และผมก็ตอบเขากลับไปว่า ‘ผมรอช่วงเวลานี้มา 4 ปี ทำไมผมจะไม่ทำ’”

ไม่เพียงในสนามเท่านั้น นอกสนามมาเตรัซซี ก็พร้อมลุยทุกเมื่อ ในปี 2004 เขาต้องโดนแบนถึง 2 เดือน จากการไปต่อยกับ บรูโน ชีริลโญ กองหลังของ เซียนา จนปากฉีกในอุโมงค์เดินเข้าสนาม หลังจากมีเรื่องโต้เถียงกัน ทั้งที่เกมวันนั้นเขาไม่ได้ลงสนามด้วยซ้ำ 

ทำให้ ตลอดชีวิตนักเตะอาชีพกว่า 20 ปี มาเตรัซซี และกรรมการแทบจะเป็นไม้เบื่อไม้เบา เมื่อเขาได้รับใบแดงไปถึง 15 ใบ (บางข้อมูลว่ากันว่าสูงถึง 25 ใบ) และเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลสุดโหดจากการจัดอันดับของนิตยสาร Time

“มาเตรัซซี โชคดีที่ยุคซึ่งเขาลงเล่นไม่ได้มีกล้องโทรทัศน์มากมายเหมือนทุกวันนี้ เพราะเขาทำในสิ่งที่บางทีก็ถกเถียงว่าผิดกติกาหรือไม่กันไม่ได้เลย เขาไม่ใช่นักฟุตบอลด้วยซ้ำ” จิจิ เลนตินี อดีตกองหน้า โตริโน และ เอซี มิลาน กล่าวกับ Football Italia 

อย่างไรก็ดี ความเถื่อนของเขาไม่ใช่แค่การกระทำเท่านั้น

แข้งฝีปากกล้า 

ฟุตบอลเป็นเกมที่เข้าปะทะกันอยู่เสมอ ทำให้กองหลังบางคน แม้จะเล่นหนักในเกม แต่นอกเกมอาจจะมีน้ำใจนักกีฬา เคารพคู่แข่ง หรือเป็นเพื่อนกันได้ตามปกติ แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับมาเตรัซซี 


Photo : www.infobae.com

เพราะไม่เพียงแต่เป็นกองหลังที่เล่นหนักที่ค่อนไปทางสกปรกเท่านั้น มาเตรัซซี ยังเป็นผู้เล่นที่มีฝีปากไม่ยอมใคร เขามักจะปะทะคารมกับคนอื่นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะทั้งในหรือนอกสนาม

ในปี 2002 อินเตอร์ ที่นำเป็นจ่าฝูงมาเกือบทั้งฤดูกาล พ่ายให้กับ ลาซิโอ ในนัดส่งท้ายจนเสียแชมป์ เซเรียอา ให้ ยูเวนตุส ความเจ็บปวดและความเดือดดาลทำให้ มาเตรัซซี เข้าไปหาเรื่องนักเตะคู่แข่งหลังจบเกม โดยกล้องจับได้ว่า เขาตะโกนใส่หน้า อเลสซานโดร เนสตา ของลาซิโอว่า “ฉันทำให้นายคว้าแชมป์” 

มันคือการพูดถึงปี 2000 ที่เปรูจา ต้นสังกัดเขาในตอนนั้น เอาชนะยูเวนตุสได้ในนัดส่งท้าย และทำให้ลาซิโอ ต้นสังกัดของเนสตาแซงขึ้นไปคว้าแชมป์ได้สำเร็จ ซึ่งจริงๆ มันแทบไม่มีความจำเป็นต้องพูดเลย แต่เขาก็ต้องพูดออกมาให้ได้เพื่อความสะใจ  

หรือในเกมนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลก 2006 ซึ่งถือว่าเป็นช็อตที่ถูกพูดถึงมากที่สุด เมื่อเขาเป็นคนทำให้ ซีดาน ถูกใบแดงไล่ออกจากสนาม ก่อนหมดเวลาในช่วงต่อเวลาพิเศษ 10 นาที หลังกัปตันทีมชาติฝรั่งเศสเอาหัวพุ่งโหม่งใส่เขา

มาเตรัซซี ออกมาเผยเรื่องนี้ในตอนหลังว่า สิ่งที่เขาทำให้เตะชาวฝรั่งเศสฟิวส์ขาดเป็นเพราะเขาพูดจากดูถูกน้องสาวของคู่แข่ง ไม่ใช่เรื่องแม่อย่างที่ลือกันมาก่อนหน้านี้ 

“คำพูดของผมอาจจะดูโง่ไปหน่อย แต่ผมก็ไม่ควรถูกทำแบบนั้น แถวโรม, เนเปิลส์, ตูริน มิลาน ปารีส ผมได้ยินอะไรหนักกว่านี้” มาเตรัซซีกล่าว  

“ผมพูดเกี่ยวกับน้องสาวของเขา ไม่ใช่แม่อย่างที่เคยอ่านในหนังสือพิมพ์ แม่ของผมตายตั้งแต่ผมวัยรุ่น ผมไม่มีทางดูถูกเขาเรื่องนั้นหรอก” 

แม้จะยอมรับว่าได้กล่าวคำที่ไม่เหมาะสมออกไป แต่ใช่ว่ามาเตรัซซี จะรู้สึกผิด กลับกันเขายังรู้สึกขอบคุณซีดาน ที่หลงเหลี่ยมจนถูกไล่ออก และทำให้อิตาลีเล่นง่ายขึ้น ก่อนจะก้าวขึ้นไปคว้าแชมป์โลก ด้วยการเอาชนะไปได้ในการดวลจุดโทษ

“ผมไม่เกลียดซีดาน ผมรักเขา ไม่ใช่เพราะเขาเอาหัวโหม่งใส่ผม แต่เพราะเขาทำให้ผมได้แชมป์ฟุตบอลโลก” มาเตรัซซีกล่าวกับ Forza Italian Football

เขายังมักจะฟาดปากหรือแซะคนอื่นผ่านสื่ออยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นการวิจารณ์นายเก่าอย่าง ราฟาเอล เบนิเนซ ว่าเป็นคนไม่เก่ง หรือตอกกลับซลาตัน หลังอิบราเผยเหตุการณ์ถอนแค้นเขา ด้วยการบอกว่าขอบคุณที่ย้ายทีมออกไป จนทำให้ทีมประสบความสำเร็จ 


Photo : www.zimbio.com

เรื่องดังกล่าวต้องย้อนไปถึงตอนที่ ซลาตัน ย้ายออกจากอินเตอร์ ไปบาร์เซโลนาเมื่อปี 2009 โดยแลกตัวกับ ซามูเอล เอโต และดาวเตะชาวแคเมอรูน กลายเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้งูใหญ่คว้า 3 แชมป์มาครองได้อย่างยิ่งใหญ่ภายใต้การคุมทัพของ มูรินโญ หลังจากนั้นทันควัน

“ฉันมา ฉันเห็น ฉันพิชิต ตลอดไปและไม่ว่ากรณีไหน ขอบคุณอิบราฮิโมวิช ไม่มีแกเราคงไม่คว้าแชมป์” มาเตรัซซี โพสต์ข้อความพร้อมรูปการคว้าสามแชมป์ของอินเตอร์ในฤดูกาล 2009-10 

แน่นอนว่าด้วยพฤติกรรมเช่นนี้ ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีคนเกลียดมากที่สุดอันดับต้นๆ ของโลก และเข้าป้ายเป็นอันดับ 1 โดยการจัดอันดับฟรองซ์ฟุตบอลเมื่อปี 2016

แต่ใช่ว่ามาเตรัซซี จะสนใจ

 

มันคือสไตล์

จริงอยู่ มาเตรัซซี จะขึ้นชื่อในฐานะกองหลังจอมสกปรก และพฤติกรรมสุดห่ามทั้งในและนอกสนาม แต่ต้องยอมรับว่ามันคือส่วนสำคัญที่ทำให้เขาสามารถยืนหยัดอยู่ในลีกระดับท็อปของยุโรปอย่างเซเรียอามาได้นับ 10 ปี 


Photo : colgadosporelfutbol.com

เพราะที่จริง เขาอาจจะไม่ใช่กองหลังจอมเทคนิคอย่าง คันนาวาโร หรือเนสตา แต่มันก็ทดแทนด้วยสไตล์การเล่นที่เด็ดขาดแบบถึงลูกถึงคน ที่ทำให้คู่แข่งต้องผวา และกลายเป็นคุณสมบัติเฉพาะตัวที่ยากจะเลียนแบบ 

“เขาเป็นคนพิเศษนอกสนาม และตอนที่เขาอยู่ในสนาม เขาเป็นนักเตะที่แข็งมากหากต้องเจอ” อิวาน ซาโมราโน กล่าวกับ Televisa Deportes 

เพราะเดิมที มาเตรัซซี เป็นนักเตะที่มีความสามารถอยู่แล้ว ด้วยส่วนสูงที่สูงถึง 192 เซ็นติเมตร ที่สามารถเล่นลูกกลางอากาศได้ดี แถมยังมีจุดเด่นในลูกฟรีคิกและจุดโทษ เมื่อผสานกับความดุดัน ทำให้เขากลายเป็นกองหลังที่ผ่านยากคนหนึ่งของลีก 

“มาเตรัซซี เป็นคนที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง เชื่อผมเถอะ” มาร์โก เนกรี อดีตกองหน้าชาวอิตาลี กล่าวกับ Ranger TV  

“ตอนที่ผมเล่นกับเขาที่เปรูจา ในการฝึกซ้อมเราต้องเล่นมินิเกม ผมมักจะได้เล่นกับเขาเสมอ” 

“ไม่ว่าใครจะว่าอะไรก็ตาม แต่สิ่งสำคัญคือการได้อยู่ทีมเดียวกับเขา เพราะว่าเขาแข็งแกร่งมากๆ” 

มันอาจจะเป็นสองขั้วของด้านบวกและด้านลบที่มาเจอกัน เพราะในมุมหนึ่งเขาอาจจะเป็นนักเตะที่ถูกมองว่านิสัยไม่ดี เขาก็ใช้สิ่งที่คนมองว่าไม่ดีในการยกระดับตัวเองขึ้นมาเป็นนักเตะระดับโลก


Photo : sempreinter.com

“เขาเป็นคนที่มีความมุ่งมั่นมากๆ เพราะว่าผมไม่คิดว่าเขาจะมีพรสวรรค์หรือเทคนิคอะไร แต่เขาโฟกัสไปที่เป้าหมาย เป้าหมายที่จะเป็นนักเตะที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่ง” เนกรีกล่าวต่อ

ทำให้แม้ว่ามาเตรัซซี จะถูกวิจารณ์มากแค่ไหน แต่เขาก็ยังจำเป็นสำหรับสโมสรและทีมชาติ และผลงาน 16 โทรฟี ตอนที่มีเขาอยู่ในทีมคือเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี 

“เขาประสบความสำเร็จในทุกอย่าง เขาคว้า 3 แชมป์กับอินเตอร์ คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกกับอิตาลี เป็นผู้ชนะที่แข็งแกร่งจริงๆ และผมดีใจที่ได้เล่นกับเขา โดยไม่ต้องสู้กับเขา” 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook