ระเบิดเวลาของบอลเยอรมัน : ทำไมแฟนบาเยิร์นเรียกประธานฮอฟเฟนไฮม์ว่า "ลูกโสเภณี"?

ระเบิดเวลาของบอลเยอรมัน : ทำไมแฟนบาเยิร์นเรียกประธานฮอฟเฟนไฮม์ว่า "ลูกโสเภณี"?

ระเบิดเวลาของบอลเยอรมัน : ทำไมแฟนบาเยิร์นเรียกประธานฮอฟเฟนไฮม์ว่า "ลูกโสเภณี"?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ดีตมาร์ ฮ็อปป์ มึงมันไอ้ลูกกะ***”

แฟนบอลกลุ่มหนึ่งของสโมสร บาเยิร์น มิวนิค ชูป้ายแบนเนอร์ที่เขียนประโยคนี้ ณ สนาม พรีซีโร่ อารีนา รังเหย้าของสโมสร ฮอฟเฟนไฮม์ และชื่อของ ดีตมาร์ ฮ็อปป์ ผู้ที่ถูกด่าก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากประธานสโมสรของฮอฟเฟนไฮม์

ป้ายนี้เพียงป้ายเดียวนำมาสู่เหตุการณ์ความวุ่นวาย ในเกมระหว่าง ฮอฟเฟนไฮม์ กับ บาเยิร์น มิวนิค ในเกมลีก บุนเดสลีกา ชนิดที่เรียกว่านักพากย์ของเกมนี้กล่าวว่า “เขาไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนในชีวิต”

ทุกอย่างย่อมมีเหตุมีผล แฟนบาเยิร์นไม่ได้ชูป้ายนี้เพื่อด่าเจ้าของฮอฟเฟนไฮม์ เอาสนุกปาก แต่จุดเริ่มต้นเรื่องราวนี้ ไม่ได้มาจากเรื่องราวที่เกียวข้องกับบาเยิร์นด้วยซ้ำ

50+1

ก่อนจะไปรับรู้เรื่องราวทั้งหมดว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เราต้องพาผู้อ่านไปรู้จักกับกฎ 50+1 กฎที่เราสามารถพูดได้ว่า เป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล


Photo : www.indexjournal.com

กฎ 50+1 คือกฎอันเป็นเอกลักษณ์ของฟุตบอลเยอรมัน ที่กำหนดให้แฟนบอลต้องเป็นเจ้าของสโมสร ด้วยการถือหุ้นอย่างน้อย 51 เปอร์เซนต์ เพื่อเป็นการรับประกันว่า สโมสรจะไม่อยู่ในเงื้อมมือของนายทุน ที่จะเข้ามาเทคโอเวอร์ และนำสโมสรฟุตบอล ไปทำอะไรก็ได้ตามใจฉัน

กฎ 50+1 เกิดขึ้นในปี 1998 เนื่องจากตอนนั้น หลายสโมสรในเยอรมันเริ่มใช้เงินกันจนมือเติบ หลายทีมโดนธนาคารเข้าควบคุม จนทำให้ทางสหพันธ์ฟุตบอลเยอรมัน หรือ DFB ต้องหาทางออกขึ้นมาเป็นกฎนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้ลีกบุนเดสลีกา พังพินาศลงไปกับตา

แน่นอนว่า ทุกสโมสรต้องปฏิบัติตามกฎนี้อย่างเคร่งครัด แต่ DFB ได้ละเว้นกฎนี้ให้กับบางสโมสร ที่มีกลุ่มทุนสนับสนุนทีมมายาวนาน เกิน 20 ปี (ณ ช่วงเวลาปี 1998) ก็จะได้รับสิทธิ์เป็นเจ้าของทีมต่อไป โดยไม่ต้องเอาแฟนบอลมาเป็นเจ้าของแบบทีมอื่น

2 ทีมแรกที่ได้รับสิทธิ์ หนึ่งคือ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน (Bayer 04 Leverkusen) ที่ถูกตั้งโดยบริษัทเวชภัณฑ์ ไบเออร์ (Bayer) และ โวลฟส์บวร์ก (VfL Wolfsburg) ที่ถูกก่อตั้งโดยบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ โฟล์คสวาเกน (Volkswagen)


Photo : www.vfl-wolfsburg.de

หนึ่งในทีมที่ได้ละเว้นสิทธิ์นี้หลังจากนั้น คือ ฮอฟเฟนไฮม์ (Hoffenheim) แต่ฮอฟเฟนไฮม์ไม่ได้รับการยกเว้นละเว้นกฎแบบเดียวกับสองทีมข้างต้นเสียทีเดียว

เพราะก่อนหน้านี้ ดีตมาร์ ฮ็อปป์ เศรษฐีนักธุรกิจด้านซอฟท์แวร์ ไม่ได้เป็นเจ้าของสโมสรมายาวนานเกิน 20 ปี เขาเป็นเพียงแค่สปอนเซอร์รายหนึ่ง ที่ให้สนับสนุนสโมสรแห่งนี้ โดยที่เขาเคยเป็นผู้เล่นเยาวชนของทีมมาก่อน เมื่อครั้งสมัยยังเป็นวัยรุ่น

แต่เมื่อปี 2000 สโมสรฮอฟเฟนไฮม์กำลังจะล้มละลาย ด้วยปัญหาด้านการเงิน ฮ็อปป์จึงเข้ามาเป็นพระเอกขี่ม้าขาว อัดเงินก้อนโตให้สโมสร จนพาทีมรอดพ้นวิกฤติครั้งนั้นมาได้

หลังจากนั้นฮ็อปป์ได้เข้ามาเป็นผู้ดูแลทางการเงินของสโมสร นับตั้งแต่ปี 2000 ก่อนที่เขาจะเข้ามาถือครองสโมสรนี้ในเวลาต่อมา 


Photo : www.muensterschezeitung.de

และฮ็อปป์ได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เขาไม่ได้เข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากสโมสรแห่งนี้ แต่เขาเข้ามาพัฒนาสโมสรแห่งนี้ เขาสร้างสนามใหม่ให้กับทีม พาทีมเลื่อนชั้นสู่บุนเดสลีกา เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์สโมสร พาทีมที่เป็นทีมประจำหมู่บ้าน ซึ่งมีประชากรไม่ถึง 4,000 คน ให้เป็นที่รู้จักของแฟนฟุตบอลทั่วโลก รวมถึงไปเล่นในศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก อีกด้วย

ด้วยคุณงามความดีของฮ็อปป์ ทำให้ทาง DFB ยอมแหกกฎที่ตัวเองตั้ง และอนุญาตให้ฮ็อปป์เป็นเจ้าของสโมสรนี้ได้ ด้วยการถือหุ้นใหญ่เหนือแฟนบอล

แน่นอนว่าสำหรับคนเยอรมัน ที่ยึดมั่นในกฎระเบียบส่วนรวม ย่อมไม่พอใจที่ได้เห็นสโมสรฟุตบอล ได้สิทธิพิเศษเหนือทีมอื่น ทำให้ในสายตาของแฟนบอลเยอรมันจำนวนมาก ฮอฟเฟนไฮม์คือทีมตัวโกงที่แหกกฎหมู่ ไม่ต่างอะไรกับ โวลฟส์บวร์ก หรือ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซน และเป้าหมายที่แฟนบอลคอยโจมตีสโมสรแห่งนี้ คือ ดีตมาร์ ฮ็อปป์

เราไม่เอาพวกแหกกฎ

คนเยอรมันมีความคิดฝังใจว่า สโมสรฟุตบอลต้องเป็นของแฟนบอลเท่านั้น เพราะสำหรับคนเยอรมัน การที่สโมสรฟุตบอลเป็นของพวกเขา ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าของคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เม็ดเงินหรือถ้วยแชมป์ ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าการได้มีชื่อเป็นเจ้าของสโมสร


Photo : @borussia_en

ยิ่งแฟนบอลเยอรมัน ได้เห็นสิ่งที่เจ้าของสโมสรในอังกฤษ, อิตาลี หรือสเปน เข้ามากอบโกยผลประโยชน์จากทีมฟุตบอล ยิ่งทำให้พวกเขาเชื่อว่า เหล่ามหาเศรษฐีไม่ได้คิดอะไรกับทีมฟุตบอล นอกจากมองเป็นธุรกิจเพื่อหาประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างผลกำไร หรือการโปรโมตแบรนด์ แบบที่เลเวอร์คูเซน หรือโวลฟส์บวร์กทำอยู่ก็ดี

ดังนั้นความคิดในการต่อต้าน สโมสรฟุตบอลที่ไม่ได้เป็นไปตามกฎ 50+1 ไม่ใช่เรื่องที่แปลกใหม่ แต่การเคลื่อนไหวที่แฟนบอลเยอรมันทำมาอย่างต่อเนื่อง ยาวนานมาเป็นสิบปี และเป็นประเด็นในวงการฟุตบอลเยอรมันกันอยู่แทบทุกปี

ยกตัวอย่างเช่น การที่แฟนบอลเยอรมัน เรียกการแข่งขันระหว่างไบเออร์ เลเวอร์คูเซน กับโวลฟส์บวร์กว่า “เอล พลาสติคโก” (El Plastico) เพื่อเป็นการล้อเลียนว่า ทั้งสองสโมสรเป็นสโมสรที่เปลือกปลอม ไม่ต่างอะไรจากพลาสติก เนื่องจากว่าไม่ได้มีเจ้าของเป็นแฟนบอล

ทีมที่โดนหนักที่สุด คือ แอร์เบ ไลป์ซิก (RB Leipzig) ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทเครื่องดื่มชูกำลัง เรดบูล (Red Bull) ซึ่งอาศัยช่องว่างของกฎ 50+1 เข้ามาถือครองสโมสรฟุตบอล และอัดฉีดเงินจำนวนมากเข้าสู่สโมสร จนกลายเป็นทีมชั้นนำอย่างรวดเร็ว


Photo : www.the42.ie

ถ้าถามว่าไลป์ซิกโดนต่อต้านอย่างไรบ้าง เรามีตัวอย่างทั้ง การที่สโมสรอื่นในเยอรมันจะไม่เรียกชื่อของสโมสรตรงๆ เพื่อสื่อถึงการไม่ยอมรับต่อสโมสร, ไม่โพสต์โลโก้ของสโมสรไลป์ซิกในทุกช่องทาง, แบนแฟนบอลไม่ตามไปเชียร์ทีมรักที่ไลป์ซิก, ตะโกนด่าทอ หรือทำร้ายร่างกายแฟนบอลไลป์ซิกในเกมเยือน, เขียนป้ายด่าสโมสรไลป์ซิก หรือที่โด่งดังที่สุดคือโยนหัวกระทิง อันเป็นสัญลักษณ์ของทีมไลป์ซิก ลงสนามฟุตบอลก็ทำมาแล้ว

สำหรับฮอฟเฟนไฮม์ การเขียนป้ายด่า ดีตมาร์ ฮ็อปป์ คือเรื่องปกติที่สโมสรนี้ต้องเจอ นับตั้งแต่พวกเขาเลื่อนชั้นขึ้นสู่บุนเดสลีกา ในปี 2008 โดยมีแกนนำเป็นกลุ่มแฟนบอลอุลตราส (Ultras) ของสโมสร โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (Borussia Dortmund) สโมสรที่สามารถพูดได้ว่า ให้ความสำคัญกับแฟนบอลมากที่สุดในโลก

ในปี 2015 แฟนบอลของดอร์ทมุนด์เคยประกาศ ไม่ตามไปเชียร์ทีมรัก ในเกมเยือนที่ฮอฟเฟนไฮม์ ด้วยการให้เหตุผลว่า ไม่อยากเสียเงินให้กับพวกทีมมหาเศรษฐี 


Photo : www.rtl.de

หลังจากนั้นในปี 2017 แฟนบอลของดอร์ทมุนด์ได้เปลี่ยนรูปแบบการเคลื่อนไหว มาเขียนป้ายด่า ดีตมาร์ ฮ็อปป์ ถึงสนามเหย้าของฮอฟเฟนไฮม์ จนทำให้แฟนบอลดอร์ทมุนด์จำนวน 33 คน ถูกสั่งแบนจากเกมเยือน ที่ทัพเสือเหลือง จะบุกมาเยือนฮอฟเฟนไฮม์ ในฤดูกาล 2018/19

“เราต้องหยุดเรื่องนี้กันได้แล้ว ทุกอย่างมันกำลังแย่ และแย่ลงเรื่อยๆ” ทนายความของดีตมาร์ ฮ็อปป์ ให้สัมภาษณ์กับ BILD หลังจากการสั่งแบนแฟนบอลในครั้งนั้น และเขาพูดไม่ผิดแม้แต่นิดเดียว

Ultras vs. Dietmar Hopp

ความขัดแย้งระหว่างแฟนบอลกลุ่มอุลตราส กับสโมสรที่ไม่ได้อยู่ภายใต้กฎ 50+1 เป็นเหมือนระเบิดเวลา การด่าทอของแฟนบอลกับทีมเหล่านี้ มีกรณีร้ายแรงให้เห็นอยู่ตลอด เพียงแต่ก่อนหน้านี้ มันไม่เคยระเบิดออกมาให้เราเห็นเท่านั้นเอง


Photo : www.n-tv.de

กลุ่มอุลตราส ที่ขึ้นชื่อในการต่อต้านสโมสรที่แหกกฎ 50+1 อย่างมาก คือกลุ่มแฟนบอลของโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ... พวกเขาไม่เคยคิดจะหยุดการกระทำพวกนี้ แม้ว่าบางครั้งมันจะเป็นการล้ำเส้น เรื่องราวที่สวยงาม ของโลกฟุตบอล กลายเป็นการด่าพ่อล้อแม่ บุพการี จนทำให้สโมสรถูกสั่งปรับ มาแล้วหลายต่อหลายครั้ง

วันที่ 21 ธันวาคม 2019 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ มีโปรแกรมบุกเยือนฮอฟเฟนไฮม์ และกลุ่มอุลตราสของทีมเสือเหลือง ก็ตามไปให้กำลังใจทีมรักกันอย่างเนืองแน่น ซึ่งนอกจากร้องเพลงเชียร์ส่งเสียงให้กำลังใจทีมรักแล้ว พวกเขาก็ได้ตะโกนด่าพ่อล้อแม่ ดีตมาร์ ฮ็อปป์ ด้วยภาษาที่หยาบคาย อย่างที่เคยทำมาโดยตลอด

แต่เรื่องราวไม่ได้จบลงแค่นั้น เมื่อทาง DFB รู้สึกสุดจะทนกับพฤติกรรมเหล่านี้ จึงมีการสั่งแบนแฟนดอร์ทมุนด์ ห้ามมาชมเกมเยือนที่ฮอฟเฟนไฮม์ ถึง 2 ปี

“หลังจากได้เห็นการใช้คำหยาบคายโจมตี ดีตมาร์ ฮ็อปป์ อย่างต่อเนื่อง ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องมีบทลงโทษอย่างจริงจัง เพราะตลอดหลายปีที่ผ่านมา เราไม่เคยมีการลงโทษ กับพฤติกรรมฉาวเหล่านี้เลย นอกจากการปรับเงิน”

“เรารู้ว่า การแบนแฟนบอลคือเรื่องใหญ่ แต่พฤติกรรมนี้คือสิ่งที่รับไม่ได้ และเราต้องการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของเรื่องนี้” DFB ออกแถลงการณ์ถึงเหตุผลของการลงโทษแฟนบอลของสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา


Photo : www.mopo.de

อย่างไรก็ตาม บทลงโทษนี้ กลายเป็นการราดน้ำมันลงบนกองเพลิง เหล่าแฟนบอลอุลตราสทั่วเยอรมันออกมาต่อต้าน การลงโทษนี้ พวกเขามองว่า DFB หันไปเข้าข้าง ดีตมาร์ ฮ็อปป์ แทนที่จะรับฟังเสียงของพวกเขา และหันมาให้ความสำคัญกับการใช้กฎ 50+1 กับทุกสโมสร แบบที่แฟนบอลกลุ่มอุลตราสต้องการมาโดยตลอด

เพียงแค่หนึ่งวันถัดมา หลังจากมีบทลงโทษแฟนบอลดอร์ทมุนด์ ... ฮอฟเฟนไฮม์มีโปรแกรมต้องไปเยือน โบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค (Borussia Mönchengladbach) และแฟนบอลของกลัดบัค ได้แสดงการต่อต้านครั้งนี้ ด้วยการชูป้ายแบนเนอร์ขนาดใหญ่ ที่เป็นรูปเป้าปืนเล็งไปที่ศีรษะของ ดีตมาร์ ฮ็อปป์ 

ป้ายที่มีเนื้อหารุนแรงขนาดนี้ ทำให้ผู้ตัดสินในเกมนั้นต้องสั่งยุติเกมชั่วคราว และให้ทั้งผู้บริหาร ทีมงานสตาฟฟ์โค้ช ไปจนถึงนักเตะ เข้าไปพูดคุยกับกลุ่มแฟนบอลอุลตราสของกลัดบัค ให้หยุดการชูป้ายนี้ในทันที ไม่เช่นนั้นเกมจะถูกยกเลิก


Photo : www.gladbachlive.de

“มันน่าอับอายมาก ที่มีคนชูป้ายเป้าปืนแบบนั้น นี่ไม่ใช่สโมสรโบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค มันตรงข้ามกับจุดยืนของสโมสรเรา ผมไม่ต้องการคนแบบนั้นในสโมสรของเรา” มักซ์ อีเบิร์ล (Max Eberl) ผู้อำนวยการสโมสรโบรุสเซีย มึนเชนกลัดบัค ออกโรงจัดหนักใส่แฟนบอลที่ทำพฤติกรรมน่าละอายครั้งนี้

วันที่มืดหม่นของฟุตบอลเยอรมัน

7 วันถัดมาหลังจากเกมนัดนั้น ฮอฟเฟนไฮม์กลับมาเปิดรังเหย้าของตัวเอง เจอกับจ่าฝูง บาเยิร์น มิวนิค (Bayern Munich) และ ดีตมาร์ ฮ็อปป์ ประธานสโมสรอันเป็นที่รักของชาวฮอฟเฟนไฮม์ ได้เข้ามาชมเกมนี้ด้วย


Photo : www.the-sun.com

เมื่อการแข่งขันครึ่งแรกจบลง บาเยิร์นออกนำทีมเจ้าบ้านไปถึง 4-0 ทำให้แฟนบอลอุลตราสของทัพเสือใต้ เปลี่ยนความสนใจจากการร้องเพลงเชียร์ทีมรัก มาเป็นการโจมตีใส่ ดีตมาร์ ฮ็อปป์ 

“ดีตมาร์ ฮ็อปป์ แม่มึงเป็นกะ***”

แฟนบอลบาเยิร์นชูป้ายนี้ขึ้นมา เพื่อโจมตี ดีตมาร์ ฮ็อปป์ อย่างรุนแรง จนเกมต้องยุติลงในช่วงก่อนเริ่มเกมครึ่งหลัง เดือดร้อน ฮานชี ฟลิค (Hansi Flick) กุนซือของทัพเสือใต้ ต้องมาห้ามปรามแฟนบอลให้เอาป้ายลง เพื่อไม่ให้ส่งผลต่อเกมการแข่งขัน

แต่แฟนบอลบาเยิร์น กลับชูป้ายนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเกมดำเนินในนาทีที่ 76 ... ทันทีที่ผู้ตัดสินเห็นป้ายนี้ชูขึ้นมาเป็นครั้งที่ 2 เขาสั่งยุติเกมในทันที และเดินกลับเข้าห้องแต่งตัว พร้อมกับเรียกให้สโมสรบาเยิร์น จัดการกับเรื่องนี้

นักฟุตบอล สตาฟฟ์โค้ช และทีมงานผู้บริหาร ต้องรีบวิ่งไปเจรจาเพื่อให้แฟนบอลบาเยิร์นเอาป้ายลง แต่ทุกอย่างสายเกินแก้เสียแล้ว ผู้ตัดสินสั่งยุติเกมนี้เป็นการชั่วคราว และขอพูดคุยกับทั้งสองทีมเพื่อหาข้อสรุป

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฟุตบอลควรจะเป็น” ผู้บรรยายภาษาอังกฤษของเกมวันนี้ พูดขึ้นหลังเห็นความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และเกมต้องหยุดการแข่งขัน ยาวนานกว่า 20 นาที เพราะทางฮอฟเฟนไฮม์ ไม่ต้องการกลับไปลงสนาม หากแฟนบอลผู้มาเยือน ไม่ให้ความเคารพแก่สโมสรพวกเขา

ภายหลังการพูดคุยกันจากฝ่ายจัดการแข่งขัน และผู้บริหารของทั้งสองทีม เกมการแข่งขันถูกสั่งให้เป็น “โมฆะชั่วคราว” นั่นคือจะต้องมีการประชุมในภายหลังเพื่อหาทางออก ส่วนเกมการแข่งขันที่เหลือ นักฟุตบอลทั้งสองฝ่ายทำได้เพียงแค่เคาะบอลไปมาในสนาม เพราะการแข่งขันนี้ไม่มีความหมายอีกต่อไปแล้ว

6 ประตูที่บาเยิร์น ยิงใส่ฮอฟเฟนไฮม์ มีค่ากลายเป็น 0 ... เพราะในตอนนั้นผลการแข่งขันไม่ใช่สิ่งที่มีค่า เท่ากับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แฟนบอลฮอฟเฟนไฮม์จำนวนมาก เดินออกจากสนาม เพราะรับไม่ได้กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น 


Photo : footballace.org

ขณะที่ทีมงานของสโมสรบาเยิร์น ตั้งแต่นักเตะจนถึงผู้บริหาร ได้ยืนปรบมือ เพื่อแสดงถึงการเคารพต่อ ดีตมาร์ ฮ็อปป์ เป็นการขอโทษเพียงเล็กน้อยที่พวกเขาจะสามารถทำได้

“เป็นพฤติกรรมที่น่าละอายอย่างถึงที่สุด โดยกลุ่มคนพวกนี้ เป็นพฤติกรรมที่แย่เกินกว่าจะรับได้ เป็นภาพที่น่าละอายของวงการฟุตบอล”

“ผมต้องขอโทษดีตมาร์ ฮ็อปป์จากใจจริง และแฟนบอลที่ทำเรื่องเหล่านี้ จะต้องได้รับการลงโทษ” คาร์ล ไฮนซ์ รุมมินิกเก (Karl-Heinz Rummenigge) ประธานสโมสรบาเยิร์นกล่าวหลังจบเกมนัดนี้

สุดท้ายแล้ว บุนเดสลีกายืนยันผลการแข่งขันในนัดนี้ ให้บาเยิร์นเป็นฝ่ายชนะ 6-0 ตามผลที่ออกมา แต่สิ่งที่ยังไม่จบลง คือความขัดแย้งระหว่าง ดีตมาร์ ฮ็อปป์ กับเหล่าแฟนบอลอุลตราส เพราะในเกมระหว่าง เอฟซี โคโลญจน์ กับ ชาลเก้ 04 ที่เตะในวันเดียวกัน และไม่ได้เกี่ยวข้องกับฮอฟเฟนไฮม์แม้แต่น้อย ... แฟนบอลของทีมโคโลญจน์ได้มีการชูป้ายที่มีเนื้อหาด่าทอ ดีตมาร์ ฮ็อปป์ จนทำให้เกมในคู่นี้ต้องหยุดเล่นชั่วคราวเช่นกัน 

ฟุตบอลควรจะเป็นกีฬาที่นำมาซึ่งความสุข ความสนุก แม้แต่ในวันที่แพ้ก็ยังยิ้มได้ กับการได้เห็นทีมรักลงสนาม ... แต่เหตุการณ์ครั้งนี้ ไม่มีใครเป็นผู้ชนะ ทุกฝ่ายในโลกฟุตบอลคือผู้แพ้ และเป็นเหตุการณ์ที่จะเตือนสติแฟนบอลทุกคนว่า สุดท้ายเกมฟุตบอลมีไว้เพื่อสิ่งใดกันแน่

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook