[OPINION] : 5 เหตุผลที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ หมดลุ้นแชมป์อย่างไวในฤดูกาลนี้

[OPINION] : 5 เหตุผลที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ หมดลุ้นแชมป์อย่างไวในฤดูกาลนี้

[OPINION] : 5 เหตุผลที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ หมดลุ้นแชมป์อย่างไวในฤดูกาลนี้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จนถึงตอนนี้ เกมการแข่งขันฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ฤดูกาล 2019-20 ได้ผ่านพ้นไปครึ่งทางแล้ว ซึ่งหากมองภาพรวม หลายคนอาจคิดล่วงหน้ากันว่า ลิเวอร์พูล น่าจะนำโด่งแบบม้วนเดียวจบไปคว้าแชมป์ได้ค่อนข้างชัวร์

ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า ทัพหงส์แดงของ เจอร์เกน คล็อปป์ โกยแต้มนำห่างทีมอันดับ 2 อย่าง เลสเตอร์ ซิตี้ อยู่ที่ 13 คะแนน และทิ้งอันดับ 3 อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ มากถึง 14 คะแนน แถมยังลงแข่งน้อยกว่า 1 นัด

สิ่งที่เหนือความคาดหมายไปไกลลิบโลดนอกจากการเห็นทัพจิ้งจอกสีน้ำเงิน โดดขึ้นมารั้งอันดับ 2 ได้อย่างเหนียวแน่นก็คือแชมป์เก่าที่เคยแข็งแกร่งในระดับโอเวอร์ตลอด 2 ปีหลังสุดทำแต้มหล่นเป็นว่าเล่นจนหมดลุ้นครองบัลลังก์ 3 สมัยซ้อนไปแทบจะ 100% หลังผ่านไปเพียง 20 นัดนั่นเอง

คำถามคือ แล้วอะไรที่ทำให้สถานการณ์ของทัพเรือใบสีฟ้าที่มียอดกุนซืออย่าง เป๊ป กวาร์ดิโอลา กุมบังเหียนต้องตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ? เรามาลองวิเคราะห์กัน !!


1. เสีย กอมปานี ไปโดยไม่มีการหาตัวแทนVincent KompanyAlex Livesey/GettyImages

ในช่วงซัมเมอร์กัปตันทีมระดับตำนานอย่าง แวงซองต์ กอมปานี ประกาศอำลาทัพเรือใบสีฟ้าไปหาประสบการณ์ใหม่ในลีกบ้านเกิดกับ อันเดอร์เลชท์ ซึ่งนั่นตามมาด้วยการทิ้งรูโหว่เอาไว้ในเกมรับที่ส่งผลเสียมาจนถึงปัจจุบัน

กอมปานี คือกองหลังที่แข็งแกร่งสุด มีความเป็นผู้นำสูงสุดในระดับที่ไม่สามารถหาใครมาทดแทนได้ แม้จะส่งมอบปลอกแขนต่อไปให้อีกหนึ่งว่าที่ตำนานอย่าง ดาบิด ซิลบา แล้วก็ตาม"

นั่นยังไม่เท่่าไหร่เมื่อเทียบกับความผิดพลาดที่ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ย่ามใจจนไม่คิดซื้อกองหลังระดับโลกเบอร์ใหม่เข้ามาทดแทน โดยฝากความหวังไว้กับคนที่เหลืออยู่อย่าง จอห์น สโตนส์, ไอเมอริค ลาปอร์ก รวมถึง นิโคลาส โอตาเมนดี โดยเฉพาะรายหลังนั้นเรียกว่าเป็นปีที่พังอย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้

2. แข้งตัวหลักบาดเจ็บกันรัวจนผิดปกติFBL-ENG-PR-MAN CITY-BRIGHTONOLI SCARFF/GettyImages

อย่างที่บอกไปข้างต้นว่า เป๊ป ตัดสินใจใช้งานผู้เล่นกองหลังเท่าที่มีอยู่โดยไม่ซื้อคนใหม่เพิ่ม ฉะนั้นแผนทุกอย่างจึงพังทลายลงไปทันทีเมื่อ ไอเมอริค ลาปอร์ก คนที่ไว้ใจได้มากสุดบาดเจ็บรุนแรงตั้งแต่ต้นซีซั่นจนต้องพักยาวหลายเดือน

ซ้ำร้ายกว่านั้นคือ จอห์น สโตนส์ ก็เดี้ยงรอตั้งแต่ช่วงปิดซีซั่นจนถึงขนาดที่ว่าหายกลับมาแล้วยังไม่สามารถเค้นฟอร์มเก่งคืนได้เลยจนถึงทุกวันนี้ ทำให้ เป๊ป ตัดสินใจขยับเอา แฟร์นานดินโญ ที่เป็นกลางรับธรรมชาติลงมายืนเป็นเซ็นเตอร์ตัวหลักเลยทีเดียว

หลาย ๆ ครั้งกุนซือเรือใบจะพยายามให้สัมภาษณ์ว่ามั่นใจในทักษะการเล่นเกมรับของ แข้งจอมเก๋าชาวบราซิล แต่ข้อเท็จจริงที่คนทั้งโลกทราบดีคือ ยังไงก็ไม่มีทางแน่นเท่ากับเซ็นเตอร์แบ็คมืออาชีพมายืนเองอยู่แล้ว

และการเสียประตูง่าย ๆ บ่อยครั้งไม่ว่าจะเจอกับทีมเล็กหรือทีมใหญ่คือคำตอบที่ชัดเจนสุด ๆ

นอกจากแนวรับแล้ว การขาดหายไปของปีกตัวจี๊ดที่ฝากฝังได้อย่าง เลรอย ซาเน เองก็ส่งผลกระทบสุด ๆ ไม่แพ้กัน เพราะถึงแม้ ราฮีม สเตอร์ลิง จะยิงได้ต่อเนื่องแต่ก็แบกทีมไว้คนเดียวไม่ได้แน่นอน

นอกจากนี้ยังมีตัวอื่น ๆ ที่สำคัญเจ็บสลับกันไปมาเรื่อย ๆ เช่น เซร์คิโอ อเกวโร (กองหน้า), โอเล็คซานเดอร์ ซินเชนโก้ (แบ็คซ้าย), ดาบิด ซิลบา (กลางรุก) รวมถึง เอแดร์สัน (ผู้รักษาประตู) ด้วยเช่นกัน ทำให้พอกลับมาลงสนามจึงขาดความต่อเนื่องในเรื่องฟอร์มการเล่น

3. มาตรฐานที่เคยสูงส่ง คือตัวสร้างแรงกดดันชั้นดีFBL-ENG-PR-MAN CITY-SHEFFIELD UTDLINDSEY PARNABY/GettyImages

ตลอดสองปีที่ผ่านมา แมนฯ ซิตี้ คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองด้วยฟอร์มการเล่นยอดเยี่ยมขั้นสุดจนเรียกว่าไม่น่ามีทีมไหนในเกาะอังกฤษสามารถยกระดับขึ้นมาเทียบเคียงได้อีกแล้ว

เพราะขนาดซีซั่นก่อน ลิเวอร์พูล ทำได้มากถึง 97 แต้มซึ่งสูงเป็นประวัติศาสตร์สโมสรยังไม่สามารถกระชากแชมป์ออกไปจากถิ่นเอติฮัด ได้เลย ฉะนั้นจึงไม่ต้องสงสัยว่า เป๊ป กวาร์ดิโอลา ได้สร้างมาตรฐานที่สูงส่งเกินกว่ามนุษย์ปกติจะจินตนาการออกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

แต่สิ่งที่ผิดความคาดหมายไปก็คือ พอเข้าสู่ฤดูกาลที่สาม ซึ่งหากดูจากแนวโน้มการสร้างทีมของกุนซือระดับนี้แล้วน่าจะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิมอีก แต่ความเป็นจริงดันแย่ลงไปมากจนน่าใจหาย

นั่นอาจเป็นเพราะธรรมชาติของโลกแห่งฟุตบอล จะไม่มีวันปล่อยให้ทีมไหนสร้างผลงานโอเวอร์ติดต่อกันนานเกินไปนัก สักวันหนึ่งก็ต้องดร็อปลง ถดถอยลงไปตามกาลเวลา ส่วนจะมาก-จะน้อยนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง

และด้วยความที่ แมนฯ ซิตี้ ได้สร้างมาตรฐานอันสูงส่งเอาไว้แล้ว ทีนี้พออะไรหลาย ๆ อย่างเริ่มไม่เป็นใจ เริ่มต่ำกว่าเส้นที่พวกเขาขีดไว้ให้ตัวเอง ย่อมส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจมากพอสมควร ถึงจะไม่พูดออกมาจากปาก แต่ผลงานในสนามคือคำตอบที่ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ

4. VAR คือก้างชิ้นโตKevin De BruyneMichael Regan/GettyImages

ในฤดูกาลที่เทคโนโลยี VAR ถูกนำมาช่วยในการตัดสินอย่างเต็มรูปแบบ แน่นอนว่าต้องมีฝ่ายได้รับและเสียผลประโยชน์เกิดขึ้นในทุก ๆ สัปดาห์แน่นอน และ เป๊ป กวาร์ดิโอลา ก็เชื่อว่าตนเป็นผู้รู้สึกเสียใจกับเรื่องนี้มากกว่าทีมอื่น ๆ

หลาย ๆ ครั้ง แมนฯ ซิตี้ โดนริบประตูคืนหลังส่งลูกซุกก้นตาข่ายไปเรียบร้อยแล้ว หลาย ๆ ครั้งพวกเขาไม่ได้จุดโทษจากการทำฟาวล์หรือแฮนด์บอลของผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ซึ่งนั่นทำให้อดีตกุนซือบาร์ซาหัวเสียเป็นอย่างมาก

แต่ถึงกระนั้น การตัดสินด้วย VAR ก็ถือว่าค่อนข้างแม่นยำ เพราะมีการเช็คจากภาพช้าโดยละเอียดจนไม่รู้จะเถียงยังไง ที่เหลือคือตัวของกรรมการเองนั่นแหละที่จะเลือกเป่าให้ออกมาเป็นเช่นไร

เพราะหากว่ากันแบบไม่ลำเอียงแล้ว แมนฯ ซิตี้ ก็ได้รับผลประโยชน์จาก VAR มามากพอสมควรเหมือนกัน

5. แข้งใหม่ยังโชว์ฟอร์มได้ไม่น่าประทับใจRodriVisionhaus/GettyImages

ฤดูกาลนี้ เป๊ป ทุ่มเงินเกือบ 100 ล้านปอนด์เพื่อซื้อผู้เล่นใหม่เข้ามาเสริมทัพ 3 ราย นั่นก็คือ โรดรี, คันเซโล และ อันเจลิโน โดยคาดหวังว่าจะเป็นตัวเสริมขุมกำลังที่เคยใหญ่, ยาว, ลึก อยู่แล้วแกร่งแน่นขึ้นไปอีก

แต่น่าเสียดายที่ความคาดหวังกับความจริงผลมันออกมาแทบจะตรงกันข้ามกันไปค่อนข้างเยอะเพราะทาง โรดรี นั้นถึงแม้จะไม่ได้แย่อะไร แต่ก็ไม่ถือว่าโดดเด่นเท่ากับระดับค่าตัวที่สูงถึง 62.8 ล้านปอนด์จาก แอตเลติโก มาดริด

ซีซั่นก่อน ดาวเตะเลือดกระทิงวัย 23 ปีคนนี้ถูกสื่อสเปนยกย่องว่ามีพรสวรรค์สูงเทียบเท่า เซร์คิโอ บุสเก็ตส์ จาก บาร์เซโลนา โน่นเลย แต่พอเอาเข้าจริง ๆ แล้วยังไม่เห็นถึงทักษะระดับนั้นเลยหลังผ่านไปครึ่งฤดูกาลใน พรีเมียร์ลีก อังกฤษ

ขณะที่ คันเซโล กับ อันเจลิโน คู่หูฟูลแบ็คซ้าย-ขวา ทำได้แค่ประคองตัวไปในแต่ละนัดยามได้รับโอกาส ไม่มีความโดดเด่นอะไรให้เห็นสำหรับปีแรก ฉะนั้นนั่นจึงหมายความ เป๊ป กวาร์ดิโอลา อาจต้องรอให้สามคนนี้บ่มเพราะตัวเองจนสุกงอมขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งอาจจะไม่ทันไล่ตาม ลิเวอร์พูล แล้วนั่นเอง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook