แกไม่ยอม...พ่อก็ไม่ยอม : จิม และ ดีเร็ค 2 พ่อลูกผู้สร้างชัยชนะของมนุษยชาติ
น้ำหนักมีหน่วยวัดเป็นกิโลกรัม ความเร็วมีหน่วยวัดเป็นวินาที ระยะทางถูกวัดเป็นเมตร แล้วความกล้าหาญล่ะ? ... เราใช้อะไรวัด
นี่คือเรื่องราวของ ดีเร็ค เรดมอนด์ หนึ่งในนักวิ่งระยะกลางที่ดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่สหราชอาณาจักรเคยมี เขาคือตัวแทนที่หวังไปถึงเหรียญทองในโอลิมปิกปี 1992
แต่เมื่อเขาเริ่มวิ่ง เขารู้สึกว่าตัวเองเหมือนถูกยิงดังเปรี้ยงที่ขา ... และคนที่เข้ามาอยู่ข้างเขาเป็นคนแรกคือ จิม ผู้เป็นพ่อ
อีกไม่กี่เมตรก็จะถึงเส้นชัยแล้ว และพวกตัดสินใจจะสร้างชัยชนะของมนุษยชาติ ด้วยความกล้าหาญของ 2 พ่อลูกที่กลายเป็นตำนานของโอลิมปิกจนถึงทุกวันนี้
พ่อและลูกชาย
มีหลายเหตุผลที่ลูกชายจะไม่สนิทกับพ่อเท่าไรนัก ทุกครั้งที่เกิดปัญหาเล็กๆ เช่นการหาของไม่เจอ, หิวข้าว หรืออะไรก็ตาม เรามักจะเรียกแม่ก่อนเสมอ
Photo : www.dunmowbroadcast.co.uk
อย่างไรก็ตามทุกคนนั้นมีหน้าที่แตกต่างกัน พ่ออาจจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ ตลอดเวลา แต่ทุกครั้งที่มีปัญหาใหญ่ หรือเรื่องที่ต้องตัดสินใจแบบลูกผู้ชาย พ่อมักจะเป็นตัวเลือกที่พึ่งพาได้เสมอ
เรื่องราวของ ดีเร็ค เรดมอนด์ เองก็คงไม่ต่างกัน เด็กหนุ่มจากนอร์ธแฮมป์เชียร์ มีวัยเด็กที่ค่อนข้างเป็นความลับ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเว็บไซต์เก็บข้อมูลต่างๆ แทบไม่ปรากฎข้อมูลครอบครัวของเขาเลยว่ามีพี่น้องกี่คน คนเดียวในครอบครัวที่ปรากฎคือ จิม เรดมอนด์ ผู้เป็นพ่อของเขาเท่านั้นเอง
ดีเร็ค ถือเป็นเด็กที่เก่งด้านกีฬาตั้งแต่ไหนแต่ไร เขาเป็นนักกีฬาตัวโรงเรียนตั้งแต่สมัยเรียนที่ Roade School เขาเล่นมันแทบทุกชนิดกีฬา และชื่นชอบฟุตบอลเป็นพิเศษโดยเฉพาะทีม นิวคาสเซิล ที่เป็นทีมขวัญใจของเขา
อย่างไรก็ตาม พรสวรรค์ที่แท้จริงที่อยู่ในตัวของเขาคือความเร็ว ดีเร็ค เป็นคนที่วิ่งเร็วตั้งแต่เด็ก เรื่องนี้พ่อของเขาก็รู้ดีและผลักดันมาตลอด จนกระทั่งลูกชายเลือกจะเอาดีทางด้านการวิ่งจริง จึงได้เข้าชมรมกรีฑา และหลังจากนั้นก็กลายเป็นผู้เล่นระดับเยาวชนของทีมชาติอังกฤษ ซึ่งแน่นอนว่า จิม คือคนที่ผลักดันเรื่องการวิ่งให้กับลูกชายของเขาอย่างเต็มที่
"พ่อผมกับผมสนิทกันมาก พ่อสนับสนุนผมให้เริ่มเป็นนักวิ่งตั้งแต่อายุ 7 ขวบ" เขาบอกถึงความสัมพันธ์ 1 เดียวที่ปรากฎ
ในปี 1985 ดีเร็ค เรดมอนด์ ในวัย 20 ปี พัฒนาตัวเองขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ด้วยการทำลายสถิติวิ่ง 400 เมตรของประเทศอังกฤษได้ด้วยระยะเวลาเพียง 44.82 วินาทีเท่านั้น และสถิติดังกล่าวทำให้เขาถูกมองว่าเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่มีถูกคาดหมายว่าจะกลายเป็นอนาคตเหรียญทองอย่างแน่นอน
ดีเร็ค เริ่มมีเวทีเก็บชั่วโมงบินกับการแข่งขันชิงแชมป์โลกในปี 1991 นั่นถือเป็นรายการแจ้งเกิดของแท้เนื่องจากเขาลงวิ่งในรายการ 4x400 ให้กับทีมสหราชอาณาจักร และเอาชนะตัวเต็งอย่างสหรัฐอเมริกาได้ ... และแชมป์นี้ทำให้ตัวของ ดีเร็ค หมายมั่นปั้นมือว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการต่อยอดไปยังโอลิมปิกครั้งแรกของเขา
กว่าจะถึงวันนี้
อีกปีเดียวเท่านั้นโอลิมปิก 1992 ที่ บาร์เซโลน่า จะเริ่มขึ้น ดีเร็ค ยิ่งเอาจริงเอาจังกับการซ้อมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นในระ 400 เมตร หรือ 4x400 เมตร เหตุผลที่เขาตั้งใจเป็นพิเศษ เพราะว่าความจริงเขานั้นถูกวางให้เป็น 1 ในทีมนักวิ่ง 4x400 ในโอลิมปิกปี 1988 ที่กรุงโซลเป็นเจ้าภาพแล้ว ทว่าฝันของเขาสลายไปกับตาหลังจากมีอาการบาดเจ็บที่เอ็นร้อยหวาย จนทำให้เขาต้องรอต่อไปอีก 4 ปี
Photo : olympic-speakers.com
ดีเร็ค เริ่มวิ่งที่รอบแรกและทำเวลาได้เร็วที่สุดในบรรดานักวิ่งทั้งหมด และยังเข้าเส้นชัยเป็นที่ 1 ในรอบควอเตอร์ไฟนัลอีก จนมาถึงรอบเซมิไฟนอล ... อีกก้าวเดียวก็จะถึงรอบไฟนอล ชิงเหรียญรางวัลที่เขารอมาโดยตลอด
"รอบนี้ผมมั่นใจมาก ผมไม่มีอาการบาดเจ็บเลยในระยะหลัง ผมวิ่ง 2 รอบแรกและชนะด้วยเหงื่อที่ยังไม่ออกเลยด้วยซ้ำ ผมเร่าร้อนสุดๆ ขอแค่เสียงปืนดังผมก็พร้อมจะสตาร์ทแบบติดจรวด" เขาว่าถึงความรู้สึกในตอนนั้น
ก่อนที่ ดีเร็ค จะวิ่งในรอบดังกล่าว จิม ก็บินตรงมาจากอังกฤษเพื่อมาชมลูกชายของเขาโดยเฉพาะ แน่นอนว่าเขาเองก็มั่นใจไม่ต่างกันว่าหนนี้เหรียญทองมีโอกาสเป็นของ ดีเร็ค ไม่น้อย เนื่องจาก จิม ได้เห็นความทุ่มเทในการฝึกซ้อมของลูกชายมาโดยตลอด ดังนั้นจะเรียกได้ว่าเขานั่งอยู่บนสแตนด์อย่างสบายใจก็คงไม่ผิดนัก
ปั้ง! เสียงปืนปล่อยตัวดังขึ้น ดีเร็ค ก็สปรินท์ไปด้วยความเร็วตามที่ซ้อมไว้ไม่มีผิดเพี้ยน ทว่าเมื่อมาได้ไม่ถึงครึ่งทางเขาได้เสียง "เปรี๊ยะ" และเป็นเสียงที่ดังขึ้นจากร่างกายของเขาเอง ตอนนั้นเขารู้ทันทีว่าหายนะกำลังมาเยือน
"ผมวิ่งแบบสบายใจมากในตอนแรก แต่พอเสียงเปรี๊ยะดังขึ้น ผมเอะใจขึ้นมาแล้ว เมื่อลองได้วิ่งไปอีก 2-3 ก้าว ผมปวดจี๊ดขึ้นมาเหมือนกับโดนยิง ผมจำความเจ็บนี้ได้แม่นเลย แฮมสตริงมันเล่นผมอีกแล้ว" ดีเร็ค เล่าถึงวินาทีฝันสลาย
"เจ็บปวดอย่างที่สุด เหมือนมีคนเอามีดร้อนๆ มาคว้านที่หัวเข่าของคุณและบิดมันนั่นแหละ ผมเอามือจับที่ขาหลังดูแล้วเริ่มสบถให้ท้องฟ้าฟัง มันจบแล้ว"
Photo : www.daveburchett.com
ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่รู้สึก จิม ที่อยู่บนสแตนด์เองก็รับรู้เช่นกัน อาการนี้มันเคยเกิดขึ้นกับลูกชายของเขามาแล้ว และถ้ามันเกิดขึ้นไม่มีทางที่ร่างกายของ ดีเร็ค จะฝืนได้ ... ลูกชายของเขารอเวลานี้มา 4 ปีเต็มๆ แต่สุดท้ายก็กลายเป็น 4 ปีที่ว่างเปล่าไปโดยปริยาย
"พอเถอะลูกรอบหน้ายังมีโอกาสอีก" นี่คงเป็นสิ่งที่ จิม อยากจะบอก เขาลุกยืนและมองลูกชายด้วยความเสียดาย เขาหวังว่าจะได้เห็น ดีเร็ค ยกมือขอถอนตัวจากการแข่ง และทิ้งตัวนอกลู่วิ่งเพื่อปฐมพยาบาล ... แต่มันกลับตรงกันข้าม ดีเร็ค ทำหน้าเหยเกบูดเบี้ยวซึ่งเกิดจากความเจ็บปวด นั่นก็เพราะว่าเขายังไม่หยุด เขาเลือกที่จะไปต่อทั้งๆ ที่สภาพร่างกายบอกเขาว่า "ไม่มีวัน"
ไม่ยอมโว้ย
"ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอะไรบัดซบแบบนี้มันจะเกิดขึ้น ผมฝึกหนักรากเลือดมาหลายปี ผมวิ่งไม่ไหวแล้วแต่เมื่อผมมองไปรอบๆ ผมเห็นว่าเหลืออีก 100 เมตรเท่านั้นจะถึงเส้นชัย ผมคิดว่าถ้าผมลุกขึ้น ผมสามารถจบการวิ่งครั้งนี้ได้" ดีเร็ค เล่าถึงบรรยากาศ
Photo : www.abc.es
แม้จะวิ่งไม่ไหว เขาก็เดินไปทีละก้าวอย่างช้าๆ ไปข้างหน้าสัก 50 เมตร จนกระทั่งเห็นเครื่องหมายมาร์กว่าผ่านมาแล้ว 200 เมตร เขาเลยเงยหน้ามองและพบว่าคนอื่นเข้าเส้นชัยไปหมดแล้ว ...
"ทีมช่วยเหลือเพียบเลยที่เข้ามารอรักษาผมหากผมล้มลง พวกตะโกนบอกพอได้แล้วๆ แต่ผมไม่ฟัง" ดีเร็ค เล่าต่อ
จิม เห็นดังนั้นเขาจึงทำในสิ่งที่ผิดกฎการแข่งขัน นั่นคือการกระโดดลงมาในสนามแข่งขัน และแหวกฝูงทีมช่วยเหลือและแพทย์เพื่อเข้ามาหาลูกชายของเขา เพื่อบอกให้ ดีเร็ค รู้ว่า "พอเถอะ'"
"ผมเห็นลูกชายผมในสภาพแย่มาก และถ้าไม่ใช่หน้าที่ของพ่อมันจะเป็นใครล่ะที่ต้องช่วยเหลือเขา?" จิม เล่าถึงวินาทีทำผิดกฎการแข่งกันด้วยการลงไปยุ่มย่ามในลู่วิ่ง "ผมพยายามจะหยุดเขาให้เลิกดึงดันเสียไม่งั้นเขาจะพังทลายร่างกายตัวเองแน่นอน ผมบอกเขา ดีเร็คเอ้ย ลูกไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้หรอกเชื่อพ่อสิ แกน่ะแชมเปี้ยนตัวจริง ไม่มีอะไรต้องพิสูจน์แล้วไอ้ลูกชาย" นั่นคือสิ่งที่เขาพยายามบอก แต่ไม่ทันไร ดีเร็ค ก็สวนทันที
"พ่อเงียบเลย ผมจะต้องการจะจบการแข่งขันนี้ด้วยตัวเอง ผมจะกลับไปแข่งต่อในรอบรองชนะเลิศให้จบ" ดีเร็ค ไม่ยอมแม้พ่อจะมาขวาง และ จิม ที่เห็นสายตาแบบนี้มาตั้งแต่ 7 ขวบ ในวันที่เขาพาลูกชายไปวิ่งครั้งแรก ก็รู้ทันทีว่าไม่มีใครหยุดดีเร็คได้แล้ว
"โอเค ถ้าอย่างนั้นเราไปเข้าเส้นชัยพร้อมๆ กัน" จิม บอกกับ ดีเร็ค แบบนั้น จากนั้นเขาก็เริ่มเอาไหล่ให้ลูกชายประคอง
แน่นอนว่ามันผิดกฎ การช่วยเหลือแบบนี้ ดีเร็ค จะถูกตัดสิทธิ์แพ้ฟาวล์ และไม่ถูกนับว่าเข้าเส้นชัย แต่นั่นมันทางทฤษฎีเท่านั้น จิม ไม่สนเรื่องพวกนี้ เขาเชื่อว่าหากเขาพาลูกชายไปถึงเส้นชัยได้ นั่นคือการเข้าเส้นชัยในทางปฎิบัติ และที่สำคัญคือลูกชายเขาจะไม่เสี่ยงที่จะเจ็บปวดลุกลามกว่านี้
ภาพของพ่อประคองลูกชายและค่อยๆ เดินไปทีละก้าว ได้ประจักษ์แก่สายตาของคนดูกว่า 65,000 คน เริ่มมี่คนปรบมือจากหลักสิบ เป็นหลักร้อย จากหลักพัน เป็นหลักหมื่น สุดท้ายเสียงปรบมือก็ดังมาจากทั่วมุมของสนาม
ภาพดังกล่าวสร้างความประทับใจไปทั่วโลก สำนักข่าว อินดีเพนเดนท์ ของอังกฤษถึงกับใช้พาดหัวข่าววา "ชัยชนะของมนุษยชาติ" เลยทีเดียว ... แม้จะโดนยกย่องขนาดนั้นแต่มันไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับ ดีเร็ค เลย เพราะหลังจากการล้มเหลวในการชิงเหรียญทองครั้งนั้น เขาก็ถูกวินิจฉัยว่าไม่สามารถกลับมาเล่นกีฬาได้อีก ... แต่เรื่องมันก็ยังไม่จบอยู่ดี ชีวิตของ ดีเร็ค ผิดพลาดมาแล้ว 2 ครั้ง นั่นคือครั้งแล้วกับครั้งเล่า จาก โซล สู่ บาร์เซโลน่า แต่สิ่งที่เขาตอบกลับเหมือนกันทุกครั้งคือ เขาลุกขึ้นสู้ใหม่เสมอ
อีกครั้งในตอนจบ
ดีเร็ค ไม่สามารถกลับมาวิ่งสปีดและใช้ความเร็วระดับแข่งขันได้แล้ว และนั่นทำให้เขารู้สึกแย่ไปสักพักใหญ่ๆ ซึ่งคนที่ดึงเขาออกจากช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้ไม่ใช่ใคร เป็นอีกครั้งที่ จิม อยู่ที่เดิมเสมอเมื่อ ดีเร็ค มองไม่เห็นใคร
Photo : bolastylo.bolasport.com
จิม พา ดีเร็ค ไปทำในหลายสิ่งทั้งการเข้ารักษา กายภาพบำบัดเพื่อให้กลับมาออกกำลังกายให้ได้อีกครั้ง ภาพที่ผู้คนแถวนั้นเห็นประจำคือ จิม พา ดีเร็ค ในวัยใกล้ๆ 30 มาหัดวิ่งอีกครั้ง แม้มันจะแปลกไปสักหน่อย แต่อย่างน้อยๆ จิม ก็คิดเสียว่าเขาได้ย้อนเวลากลับไปตอนที่ลูกยังเป็นเด็กและมาหัดเดินในสวนสาธารณะแบบนี้
ไม่นานนัก ดีเร็ค ก็ฝืนบัญชาสวรรค์ (คำสั่งแพทย์) ได้สำเร็จอีกครั้ง เขากลับมาเล่นกีฬาได้ แถมยังเป็นกีฬาบาสเกตบอลจนถึงขั้นไปเล่นให้ทีมที่ชื่อว่า เบอร์มิงแฮม บุลเล็ตส์ และก้าวไปติดทีมชาติอังกฤษลงแข่งขันในระดับยุโรปเลยทีเดียว นอกจากนี้เขายังมีประสบการณ์ในการเล่นกีฬาประเภทมอเตอร์สปอร์ตแข่งระดับประเทศอีกด้วย
"ตอนนี้ผมไม่ได้โกรธอะไรแล้ว แม้จะมีหงุดหงิดอยู่บ้างกับเรื่องที่ผ่านมาๆ แต่ก็เจ๋งดี วีดีโอของผมถูกใช้ในโฆษณาของ VISA และ NIKE รวมถึงใช้ในการโปรโมตโอลิมปิกด้วย ผมไม่ได้เจ็บปวดแล้วที่ได้เห็นภาพเหล่านั้น"
"หากผมไม่เจ็บที่แฮมสตริง ผมคงได้เหรียญรางวัลในโอลิมปิกไปแล้ว แต่ช่างปะไร ตอนนี้ผมก็มีความสุขดี ผมใช้เวลาเป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ ไปแข่งขันบาสหรือกีฬาอื่นๆ โน่นนี่นั่นมากมาย คิดดูแล้วกันขนาดพ่อของผมยังถูกเชิญไปถือคบเพลิงเปิดงานโอลิมปิกที่ลอนดอนเลย" ดีเร็ค เล่าถึงความเจ็บช้ำครั้งเก่าอย่างอารมณ์ดี
Photo : www.athleticsweekly.com
ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ ดีเร็ค ลุกขึ้นสู้กับความจริงที่โหดร้ายได้สำเร็จ โดยมีจุดเริ่มต้นจากมือของ จิม ที่พยายามดึงเขาขึ้นมาไม่ให้ยอมแพ้ และเมื่อ 2 พ่อลูกทำมันบ่อยๆ เข้า มันจึงติดเป็นนิสัยประจำตระกูลที่ไม่ยอมอะไรง่ายๆ
มาถึงตรงนี้ผู้เขียนได้ลองพยายามหาคำพูดของ ดีเร็ค ที่พูดว่า "พ่อครับผมรักพ่อ" เพื่อมาปิดบทความนี้ให้สวยๆ แต่พลิกหาทั่วโลกอินเตอร์เน็ตก็ไม่ยักกะเจอ
เอาเถอะบางครั้งลูกผู้ชายก็อายเกินกว่าจะบอกคำว่า "พ่อครับผมรักพ่อ" ให้กับพ่อหรือต่อหน้าสาธารณะให้คนอื่นๆ ได้ยิน ... ไม่เป็นไรหรอก สำหรับลูกผู้ชายแบบเราๆ การกระทำสำคัญกว่าคำพูดอยู่แล้ว เชื่อว่าเรื่องนี้ จิม เรดมอนด์ รู้ดีว่าลูกชายเองก็รักและขอบคุณเขามากขนาดไหนกับทุกสิ่งที่ผู้เป็นพ่อมอบให้เสมอมา