เรื่องที่โลกฟุตบอลเสียดาย : วันที่ "ซลาตัน" และ "อาเดรียโน่" เป็นเพื่อนร่วมทีมกัน

เรื่องที่โลกฟุตบอลเสียดาย : วันที่ "ซลาตัน" และ "อาเดรียโน่" เป็นเพื่อนร่วมทีมกัน

เรื่องที่โลกฟุตบอลเสียดาย : วันที่ "ซลาตัน" และ "อาเดรียโน่" เป็นเพื่อนร่วมทีมกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อินเตอร์ มิลาน คว้าตัว ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ดาวยิงจาก ยูเวนตุส ที่โดนปรับตกชั้น มาร่วมทีมในปี 2006 ด้วยค่าตัว 30 ล้านยูโร สร้างแรงสั่นสะเทือนกับวงการฟุตบอลอิตาเลียนเป็นอย่างมาก มันคือการยื่นดาบให้ศัตรู และเป็นการส่งคู่แข่งอันดับ 1 ให้รับไม้ต่อครองความยิ่งใหญ่ในประเทศแทน

ไม่ใช่แค่แฟนอินเตอร์เท่านั้นที่ดีใจกับการมาของดาวยิงคนใหม่ การย้ายทีมครั้งนั้นคือสิ่งที่แฟนบอลทั้งโลกอยากเห็น เพราะจะเป็นการอยู่ร่วมกันของ ซลาตัน ผู้เรียกตัวเองว่า "พระเจ้า" และ อาเดรียโน่ ดาวยิงชาวบราซิเลี่ยน ที่ได้ฉายาว่า "จักรพรรดิ" นั่นเอง 

 

ทุกคนอยากจะเห็น 2 ดาวยิงที่มีคาแร็คเตอร์ดุดัน แข็งแกร่ง และเฉียบคมผสานงานกันและอยากจะรู้ว่าหากได้จับคู่ อาเดรียโน่ และ ซลาตัน จะโหดขนาดไหน? และในวัย 24 ปี ทั้ง 2 คนกำลังขึ้นรุ่นอย่างพอดิบพอดี 

ทว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมการจับคู่ครั้งนี้จึงไม่กลายเป็นตำนานและน่าจดจำ?... ติดตามได้ที่นี่

2004-05 กำเนิด 2 ว่าที่แข้งระดับโลก

หน้าที่ของกองหน้าคือยิงประตูก็จริง แต่หน้าที่ของกองหน้าระดับโลกคือการมีอิทธิพลกับเกมรุกของทีมตลอดเวลา แม้บางครั้งพวกเขาเหล่านั้นจะไม่มีสกอร์ก็ตาม ซึ่ง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช และ อาเดรียโน่ เป็นดาวยิงประเภทนั้น และเป็นตั้งแต่อายุยังน้อยเลยด้วยซ้ำ

 1

ซลาตัน แจ้งเกิดสุดๆ กับ อาหยักซ์ อัมสเตอร์ดัม หลังจากย้ายมาร่วมทีมในปี 2001 เขายิงให้ อาหยักซ์ เยอะทุกฤดูกาลตั้งแต่อายุ 20 ปี แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือการไล่ยิงทีมในลีกดัตช์นั้นสามารถพิสูจน์อะไรได้บ้าง? 

คำถามนี้ได้คำตอบเอาเมื่อฤดูกาล 2004-05 เมื่อ ยูเวนตุส ยื่นข้อเสนอซื้อตัวเขา 16 ล้านยูโร หลังจากที่ ดาวิด เทรเซเก้ต์ มีปัญหาบาดเจ็บในช่วงต้นฤดูกาล ซึ่งการมาของ ซลาตัน สร้างอิทธิพลต่อทีมได้มากกว่าแค่ฐานะตัวแทน เพราะเขาสามารถเล่นกับเพื่อนร่วมทีมระดับโลกอย่าง พาเวล เนดเวด, อเลสซานโดร เดล ปิเอโร่ และ เมาโร คาโมราเนซี่ ได้สบายๆ 

ไม่เพียงเท่านั้น เขายังทำหน้าที่หลักได้ตามเป้าด้วยการยิงไป 16 ประตูใน เซเรีย อา ผลงานดังกล่าวทำให้เขากลายเป็นนักเตะต่างชาติยอดเยี่ยมของลีกในฤดูกาล 2004-05 อีกด้วย และนั่นคือการพิสูจน์ตัวเองว่าเขา "ไม่ใช่ของปลอมทำเหมือน"... คนอย่าง ซลาตัน เล่นที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น

"ตอนแรกผมไม่ได้โตมากับการฝึกเพื่อเป็นดาวยิงอะไรนักหรอก ผมเป็นพวกจอมเทคนิคมากกว่า อยู่อาหยักซ์เน้นพริ้วๆ เล่นสวยงาม แต่การมาเล่นที่ยูเวนตุสนั้นเปลี่ยนผมไปเลย ความกดดันสูง และมันทำให้ผมต้องทำงานหนักขึ้น ซ้อมยิงประตูเยอะมาก จนที่สุดผมกลายเป็นเครื่องจักร เมื่ออยู่หน้าประตูก็ต้องยิงประตู แค่นั้นง่ายๆ" ซลาตัน เล่าถึงการเปลี่ยนผ่านเขาจากดาวรุ่งสู่นักเตะซูเปอร์สตาร์ 

ในเวลาเดียวกัน ที่เมืองมิลาน อาเดรียโน่ ซึ่งย้ายมาเล่นให้ อินเตอร์ เป็นฤดูกาลที่ 2 และสร้างผลงานที่ทำให้ตัวเขาเองถูกเรียกว่า "จักรพรรดิ" (The Emperor) เพราะความแข็งแกร่ง, ความเร็ว, ทักษะ และการจบสกอร์ เรียกได้ว่าทุกอย่างที่กองหน้าระดับโลกควรมี อาเดรียโน่ มีมันทั้งหมด จนหลายคนเอาไปเปรียบกับดาวยิงตลอดกาลที่เป็นรุ่นพี่ชาวบราซิเลี่ยนอย่าง โรนัลโด้ (R9) เลยทีเดียว

 2

"เขาแข็งแกร่งยิ่งกว่าใครที่ผมรู้จัก มีการยิงประตูที่ไม่ธรรมดา เท้าซ้ายที่แม่นยำและเฉียบคม รวมถึงทักษะการเอาชนะการดวลกับกองหลังด้วย ตอนนี้โชคชะตาและกองหน้าแห่งยุคสมัยอยู่ในมือของเขาแล้ว" โรนัลโด้ ที่เป็นรุ่นพี่ซึ่งคอยแนะนำชีวิตในเมืองมิลานให้กับ อาเดรียโน่ กล่าวในเวลานั้น

ในฤดูกาล 2004-05 ทั้ง อาเดรียโน่ และ ซลาตัน อายุแค่ 23 ปีเท่านั้น ทั้งคู่ถูกวางตัวให้เป็นว่าที่เบอร์ 1 ในอนาคตและต้องห้ำหั่นกันเอง ... แต่สุดท้ายคดีเกิดพลิก และพลิกไปในทิศทางที่น่าตื่นเต้นยิ่งกว่าเดิม เมื่อ อินเตอร์ ซื้อตัว ซลาตัน มาร่วมทีมหลังจาก ยูเวนตุส โดนปรับตกชั้นฐานล็อคผลการแข่งขันในคดีที่ชื่อว่า "กัลโช่โปลี"  

ความตื่นเต้นดังกล่าวแบ่งเป็น 2 หัวข้อใหญ่ๆ 1. คือพวกเขาจะจับคู่กันได้โหดแค่ไหน? และ 2. คือใครสักคนจะต้องยอมลดบทบาทความเด่นตัวเองลงมาบ้างเพื่อสิ่งทีเรียกว่า "ทีม"?... เรื่องหลังนี้เหลือเชื่อมากที่ ซลาตัน ซึ่งมั่นใจในตัวเองสูง ปากคอเราะร้าย แต่คมคายไม่เคยยอมใคร กลับกลายเป็นฝ่ายที่ยอมถอยมา 1 ก้าวและบอกว่า อาเดรียโน่ คือคนที่เหนือกว่าเขาอย่างไม่ต้องสงสัย

อินเตอร์ ครอง อิตาลี แล้ว อาเดรียโน่ กับ ซลาตัน ล่ะ?

วันแรกที่ ซลาตัน ได้มาอยู่กับ อินเตอร์ เขาเป็นฝ่ายเดินไปบอก มัสซิโม โมรัตติ ประธานของสโมสรด้วยตนเองว่า ไม่จำเป็นต้องปวดหัวหากกลัวว่าเขาจะหักกับอาเดรียโน่เพื่อแย่งกันเป็นเบอร์ 1 ทว่าสิ่งที่สโมสรต้องรีบทำคือ เก็บ อาเดรียโน่ ไว้ เพราะการได้เล่นร่วมกันกับ อาเดรียโน่ คือสิ่งที่ ซลาตัน เฝ้ารอมานานพอดู

 3

"ผมบอกประธานทันทีว่าผมต้องการให้เขา (อาเดรียโน่) อยู่กับทีมต่อไป เพราะเขาเป็นกองหน้าที่ผมอยากร่วมงานด้วยมาก เขาเป็นสัตว์ป่าที่มีสัญชาตญาณรุนแรงกว่าใครๆ ที่ผมเคยเจอ" ซลาตัน เล่าย้อนความไป

สิ่งที่ ซลาตัน บอกคือสิ่งที่หลายคนรู้อยู่แล้ว อาเดรียโน่ ควรจะเป็นนักเตะที่เก่งขึ้นไปเรื่อยๆ ในแต่ละปี แต่มีหลายคนที่ยังไม่รู้ว่า อาเดรียโน่ ไม่ใช่คนที่เข้ากันได้กับเพื่อนร่วมทีมทุกคนในช่วงเวลาดังกล่าว จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เขาเว้นระยะห่างกับเพื่อนๆ ในทีมพอสมควร มีเพียง ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ เท่านั้นที่เขาเคารพในฐานะรุ่นพี่

การเว้นระยะนั้นทำให้เกิดช่องว่างที่ควรถูกเติมเต็มสำหรับการเป็นพาร์ทเนอร์แนวรุกที่อันตรายที่สุดในโลกไปอย่างน่าเสียดาย สิ่งที่ทุกคนรอและอยากจะเห็นไม่เกิดขึ้น เพียงเพราะเป็นช่วงเวลาที่ส่วนทางกันของทั้งคู่ 

อย่างที่ ซลาตัน ได้กล่าวไปข้างต้น เขาพัฒนาขึ้นในทุกๆ ปีและกลายเป็นเครื่องจักรถล่มประตู แต่สำหรับ อาเดรียโน่ นั้นเขาเป็นเครื่องจักรอยู่เหมือนกัน แต่เป็นเครื่องจักรปีศาจ ที่ต้องเติมพลังงานด้วยเหล้าเท่านั้นจึงจะมีแรงลุกออกจากห้องในแต่ละวัน 

เรื่องนี้มีที่มา ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ คือคนที่จับสังเกตเก่งที่สุด เขารู้ว่ามีอะไรแปลกๆ กับ อาเดรียโน่ ตั้งแต่ช่วงซัมเมอร์ก่อนเริ่มฤดูกาล 2004-05 ที่ อาเดรียโน่ ยิงไป 28 ประตูต่อ1 ฤดูกาลแล้ว ...

 4

"ในช่วงออกสตาร์ทฤดูกาล 2004-05 เกิดสิ่งที่รุนแรงกับ อาเดรียโน่ ขึ้น เขารับโทรศัพท์จากบราซิลและมีคนบอกว่าพ่อของเขาตาย ผมได้เห็นเขาร้องไห้กับตา เขาเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง และตะโกนดังสนั่น" ซาเน็ตติ เล่าถึงสิ่งที่เขาได้เห็นขณะที่คนอื่นไม่รู้

ไม่มีใครสังเกตอะไรมากนักเพราะ อาเดรียโน่ ในเวลานั้นดูเป็นคนที่แข็งแกร่งมากไม่ต่างจากเดิม เขายิงประตูแทบทุกสัปดาห์ที่ลงเล่น จากนั้นเขายกมือขึ้นฟ้าราวกับบอกว่าอุทิศให้กับพ่อที่จากไป นั่นทำให้ทุกคนเข้าใจไปเองว่า "เขาโอเคแล้ว" แต่จริงแล้วไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาไม่ใช่ระเบิดที่แค่กดก็บึ้ม! แต่มันเป็นระเบิดเวลาที่ค่อยๆ นับถอยหลังรอวันที่เขาถดถอยและอ่อนแอถึงขีดสุด เมื่อนั้นมันจะแสดงปฏิกิริยาที่ร้ายแรงเกินกว่าใครสักคนจะรับไหว

"มีผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องนี้มันทุกข์ยากและทรมานใจแค่ไหน พ่อจากไปพร้อมกับรอยโหว่รอยใหญ่ในชีวิต ผมโดดเดี่ยวเมื่อเขาตาย ผมเศร้าและผมหดหู่กับชีวิตในอิตาลี ณ เวลานั้น" อาเดรียโน่ แอบเผยความลับที่ซ่อนอยู่

อย่างไรก็ตาม อาเดรียโน่ เข้าใจผิด แม้ว่าเขาจะไม่ได้บอกกับปาก แต่สิ่งนี้ส่งไปยัง ซลาตัน ที่เป็นคู่หูในแนวรุกของเขา ทั้งสองคนดูจะเข้ากันดีในสนาม แต่ความจริงในเวลานั้นคือ อาเดรียโน่ ฟอร์มตกลงอย่างชัดเจน จากฤดูกาล 2004-05 เขาเริ่มยิงประตูลดจาก 28 ลูก เหลือ 19 ลูกในฤดูกาลถัดมา จนกระทั่งมาจับคู่กับ ซลาตัน เท่านั้นความต่างก็ชัดเจนมาก เพราะ อาเดรียโน่ ยิงในฤดูกาล 2006-07 เพียงแค่ 7 ลูกเท่านั้น

"เขายิงประตูได้จากทุกมุม และหากใครคิดจะจับตายเขา คนๆ นั้นจะเป็นฝ่ายตายเสียเองเมื่อเจอกับรังสีนักฆ่าของ อาเดรียโน่ น่าเสียดาย สิ่งที่ผมบอกมันเกิดขึ้นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ราวกระพริบตาเท่านั้น" ซลาตัน พูดถึง อาเดรียโน่ ในฤดูกาล 2006-07 

"ผมเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่ที่ผมเดาๆ เอา ผมว่าทุกสิ่งที่คุณทำออกมาในแต่ละวันเกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจเกิน 50% ถ้าวันไหนใจคุณฝ่อหรือไม่เอาแล้ว ทุกอย่างมันก็เป็นเรื่องยากไปซะทุกอย่าง อย่าเข้าใจผิดนะ ตอนจับคู่กับเขาผมสนุกมากจริงๆ ในทุกเกมที่ลงเล่น แต่มันคือความอัปยศและน่าเสียดายที่สุดที่เราใช้เวลาร่วมกันได้ไม่นาน" 

 5

ขณะที่ อาเดรียโน่ ยิงประตูลดลงเรื่อยๆ ในแต่ละปีจาก 28, 19, 6 และสุดท้าย 1 ประตูในฤดูกาล 2007-08 ที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ เป็นกุนซือ ซลาตัน กลับเป็นคนที่เฉิดฉายยิงประตูมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกปี จาก 15 ลูกเป็น 22 ลูกและปิดท้ายที่ 29 ลูกตามลำดับ...  

"คืนหนึ่ง อิบัน คอร์โดบ้า เป็นรูมเมตกับ อาเดรียโน่ อิบัน เล่าให้ผมฟังว่าเขาไปบอกกับ อาเดรียโน่ แบบตรงไปตรงมาเชิงเตือนสติว่า 'แกคือส่วนผสมระหว่าง ซลาตัน กับ โรนัลโด้ นะน้องชาย แกรู้ตัวบ้างไหมว่าในอนาคตแกจะกลายเป็นเบอร์ 1 ของโลก'" ซาเน็ตติ เล่าถึงจุดที่เพื่อนร่วมทีมพยายามดึงสติของเขา แต่สุดท้ายก็สายเกิน อาเดรียโน่ รู้ทุกอย่าง แต่เขาแค่ไม่อยากทำเท่านั้นเอง

ทั้งสองคนเดินสวนทางกัน จนตอนนี้มันเป็นเรื่องยากเกินจริงหากจะได้เห็นทั้งคู่ในฐานะคู่หูแดนหน้าที่ดีที่สุดตลอดกาล ... น่าเสียดายที่ อาเดรียโน่ เลือกจะทิ้งความฝันที่น่าตื่นเต้นที่สุดเรื่องหนึ่งของฟุตบอลอิตาลีไป

"เราไม่อาจจูงมือของเขาออกมาจากอุโมงค์แห่งความโศกเศร้าได้ การเสียตัวตนของเขาคือหนึ่งในความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม แต่ผมรู้สึกจริงๆ ว่าผมไม่มีพลังพอที่จะดึงเขากลับมาได้เลย" ซาเน็ตติ กล่าวทิ้งท้าย

ทางเลือกที่รออยู่ 

"อินเตอร์ คือทีมที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับแชมเปี้ยนทั้ง 18 คนในทีมของพวกเขา สิ่งที่ อาเดรียโน่ ควรจะทำคือสู้ตายเพื่อพื้นที่ในทีมของตัวเอง" ดุงก้า กุนซือทีมชาติบราซิล พยายามกระตุ้นเชิงขู่ว่าหาก อาเดรียโน่ ไม่กลับมามุ่งมั่น พื้นที่ทีมชาติบราซิลก็จะไม่เปิดกว้างสำหรับเขาอีกต่อไป 

 6

ไม่ว่าจะไม้เบา ไม้เรียว ไม้นวม ไม้แข็ง... ทุกศาสตร์แห่งการปลุกกำลังใจที่ อินเตอร์ พยายามใช้กล่อมเขา ล้วนแล้วแต่ไม่มีอะไรได้ผล ... แม้ฟุตบอลจะเป็นเหมือนชีวิตของเขา แต่ความมุ่งมั่นที่อยากจะเป็นเบอร์ 1 ของโลก ไม่มีเหลือแล้ว การยิงประตูได้ไม่ใช่ความสุข การประสบความสำเร็จในอาชีพค้าแข้งก็ไม่มีความหมาย นั่นคือทุกอย่างที่ อาเดรียโน่ บอกเราได้ในเวลานี้

"สิ่งเดียวที่ทำให้ผมพอมีความสุขกับชีวิตได้บ้างคือการหาเมาอะไรสักอย่าง ไม่วิสกี้ก็ไวน์ ไม่ไวน์ก็ว็อดก้า ไม่ว็อดก้าก็เบียร์ ตอนนั้นผมไม่รู้จะซ่อนตัวภายใต้ความผิดหวังอย่างไร ผมเมามาซ้อมแทบทุกวันในตอนนั้น" อาเดรียโน่ กล่าว 

หลังจากนั้นทุกอย่างก็ไกลออกไป อาเดรียโน่ กลายเป็นนักเตะพเนจร และไม่ประสบความสำเร็จอะไรอีกเลย หนำซ้ำยังมีข่าวว่าเขาไปเข้ากับแก๊งมาเฟียในบ้านเกิด โดยมีหลักฐานคือการถือปืน AK47 กระบอกสีทอง ซึ่งในวงการมาเฟียมันหมายถึงความเป็นเจ้าพ่อนั่นเอง ... แม้ตัวจะยังเป็นนักฟุตบอลอยู่ แต่สำหรับหัวใจนั้นไม่ใช่อีกต่อไป

"ตอนฟุตบอลโลก 2018 อาเดรียโน่ มีอายุ 36 ปี แต่ผมจะบอกให้ว่าเขายังเก่งกว่านักฟุตบอลอีกหลายคนในทีม ฟลาเมงโก้ ด้วยซ้ำไป เราเชิญเขามาเซ็นสัญญาเพื่อกลับมาอยู่กับทีมรอบที่ 3 แต่ว่าเขาไม่ตอบรับเลย" เอดูอาร์โด้ บันเดร่า ประธานสโมสรของ ฟลาเมงโก้ ยืนยันถึงเรื่องนี้ 

 7

อย่างไรก็ตามในความตกต่ำของ อาเดรียโน่ ไม่เคยทำให้ ซลาตัน อิบราฮิโมวิช เปลี่ยนความคิดของตัวเองได้เลย ซลาตัน เติบโตขึ้นมากลายเป็นนักเตะระดับโลก และประสบความสำเร็จในทุกที่ที่ไปทั้ง สเปน, ฝรั่งเศส, อังกฤษ และ สหรัฐอเมริกา เขาได้ร่วมงานกับนักเตะระดับโลกมากหน้าหลายตลอดชีวิตค้าแข้ง แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนถามเขาว่าใครคือนักเตะที่เก่งที่สุดที่เขาเคยร่วมงานด้วย ซลาตัน มักจะตอบชื่อของ อาเดรียโน่ อยู่เสมอ ซึ่งกว่าที่ อาเดรียโน่ จะรู้และยอมรับเรื่องนี้ก็สายไปแล้ว

"ผมเองก็อยากจะบอกว่า อิบรา นั้นยอดเยี่ยมมากไม่แพ้กัน สำหรับผมมันก็สุดยอดที่เคยได้เล่นกับเขา ผมอยากจะใช้โอกาสตรงนี้บอกขอบคุณสำหรับคำพูดที่เขายกย่องให้ผมเป็นราชา หลายคนอาจไม่รู้หรอกแต่ชื่อของ ซลาตัน คือชื่อที่ผมมักจะอธิษฐานเสมอมา ขอบคุณทุกคนจริงๆ ที่ยังไม่ลืมผม" อาเดรียโน่ ในวัย 37 ปี กล่าวถึง ซลาตัน

สิ่งที่น่าเสียดายที่สุดสำหรับเรื่องนี้คือ หากพวกเขาทั้งคู่เจอกันเร็วกว่านี้สักปีสองปี และสนิทกันในฐานะเพื่อนซี้ไม่ใช่เพื่อนร่วมทีม เราอาจจะได้เห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกระดับ 100 ปีมีสักครั้งก็เป็นได้ ... ที่กล้าพูดเช่นนั้นก็เพราะมันเป็นเรื่องที่จบไปแล้ว และไม่มีวันเกิดขึ้นจริงอีกต่อไป 

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ เรื่องที่โลกฟุตบอลเสียดาย : วันที่ "ซลาตัน" และ "อาเดรียโน่" เป็นเพื่อนร่วมทีมกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook