"อาลี ดาอี" บัณฑิตวิศวะฯที่ "โรนัลโด้" ยังทำลายสถิติดาวยิงของเขาไม่ได้

คริสเตียโน่ โรนัลโด้ สุดยอดนักเตะแห่งยุคติดทีมชาติโปรตุเกสตั้งแต่อายุ 19 ปี หลังจากนั้นเขายิงประตูแล้วยิงประตูเล่าไม่หยุดหย่อนตั้งแต่ถูกเรียกว่าดาวรุ่งจนถึงปัจจุบัน
อย่างไรก็ตามแม้สถิติการซัลโวในนามทีมชาติของเขาจะสูงถึง 99 ลูก และแซงหน้าตำนานยุคโบราณอย่าง เฟเรนซ์ ปุสกัส ไปแล้ว ทว่ายังเหลือมนุษย์อีก 1 คนที่ขวางหน้าเขา
มนุษย์คนนี้ไม่ใช่แชมป์โลก ไม่ใช่นักเตะจากชาติระดับท็อปเรื่องฟุตบอล ทว่าในวันที่เขาพีกที่สุดเขาคือความหวังสูงสุดของทีมชาติอิหร่าน และยิงประตูในนามทีมชาติแล้ว 109 ประตู... มากที่สุดในโลก ไม่มีใครที่ทำได้ดีกว่านี้ ณ ปัจจุบัน
สำหรับคอบอลส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้แปลกใจมาก เพราะในเอเชียนั้น อิหร่าน ยังเหนือกว่าอีกหลายชาติ และนั่นเป็นเหตุให้ ดาอี ยิงประตูได้เป็นกอบเป็นกำ แต่ประเด็นมันไม่ได้อยู่ตรงนั้น
มันคือเบื้องหลังความยิ่งใหญ่ต่างหาก... 109 ประตูของเขาเกิดจากเกิดจากสตอรี่ที่ยิ่งใหญ่ไม่ต่างจากที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ เลย
จาก Ardabil เมืองโบราณของ อิหร่าน สู่เมืองแห่งความก้าวหน้าที่ บาเยิร์น มิวนิค และกลายเป็นตำนานของโลก ... เขาทำเอาไรไว้บ้างจึงยิงได้มากมายขนาดนี้ ติดตามได้ที่นี่
Mindset ที่แตกต่าง
ย้อนกลับในช่วงยุคต้นๆ ของยุค 90’s ชาติร่ำรวยอารยธรรมแห่งเปอร์เซียอย่าง อิหร่าน ไม่ได้เก่งกาจเรื่องฟุตบอลเหมือนในทุกวันนี้ พวกเขามีลีกฟุตบอลก็จริง แต่ก็เป็นแค่ลีกสมัครเล่นที่แทบจะหาข้อมูลอ้างอิงในอินเตอร์เน็ตไม่ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในยุคนั้น
นี่คือเหตุผลที่ทำให้ อาลี ดาอี ในวัยเด็ก ไม่ได้คิดอยากจะเป็นนักฟุตบอลจริงจังถึงขั้นหาเลี้ยงชีพ จึงหันไปเรียนหนังสือและดันเรียนเก่งไม่ธรรมดาจนถึงขั้นจบคณะวิศวกรรมศาสตร์ของ มหาวิทยาลัย ชารีฟ เลยทีเดียว
แม้ฟุตบอลจะเป็นงานรอง แต่ ดาอี กลับทำได้ดีมาก เขาเล่นให้กับ Esteghlal Ardabil ทีมในบ้านเกิดตอนอายุ 19 ปี ถ้าเทียบกับนักฟุตบอลยุโรปก็ต้องบอกว่าเป็นการเริ่มต้นที่ช้ากว่านักกีฬาทั่วไปอย่างน้อยๆ 4-5 ปีเลยทีเดียว
"มันไม่เกี่ยวหรอกว่าจะเริ่มต้นเร็วหรือช้า แต่เรื่องอาชีพนักฟุตบอลของผมมันมีส่วนประกอบ 2 อย่าง หนึ่งคือประสงค์ของพระเจ้า และสองคือตัวของผมที่ทำงานหนักมาตลอดอาชีพการเล่น ผมไม่เคยสูญเสียความเชื่อมั่นของตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว" อาลี ดาอี กล่าวกับเว็บไซต์ของ FIFA
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อาลี ดาอี กลับยิงประตูเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แบบไม่มีหยุด เขาขยับไปเล่นให้กับทีมที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งยิงถล่มทลายกับทั้ง เปอร์เซโปลิส และ อัล ซาดด์ ก่อนจะทำในสิ่งที่เขาบอกเสมอนั่นคือ "จงมั่นใจในตัวเอง" ด้วยการตอบรับข้อเสนอจาก อาร์เมเนีย บีเลเฟลด์ ในเยอรมัน
สิ่งที่ ดาอี ทำอาจจะดูธรรมดามากในยุคนี้ แต่ย้อนกลับไปในช่วงปี 1997-98 นักเตะ เอเชีย โดยเฉพาะชาติฝั่งตะวันออกกลาง ไม่ได้สนอกสนใจการย้ายออกมาเล่นในยุโรปมากมายนัก ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุเรื่องความกลัวในการปรับตัวทางวัฒนธรรม และกลัวการได้รับโอกาสลงสนามที่จำกัดจำเขี่ย แต่ทั้งหมดนั้น ดาอี ไม่ได้รู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย
"แม่เบ่งผมออกมาให้เป็นดาวยิง มันเป็นเรื่องของสัญชาตญาณ แต่คุณต้องนำมันไปต่อยอดเองด้วยการฝึกฝน และผมมันเป็นพวกไม่มีข้ออ้างกับตัวเอง ผมไม่สนสิ่งรอบข้างที่ดูน่าสนุกสนานยั่วยวน ผมเน้นไปที่การซ้อมตลอดมา มันคือส่วนหนึ่งในชีวิตและที่ผมทำแบบนั้นก็เพราะว่าผมรักฟุตบอล"
เยอรมัน... เก่งไม่เท่าคนอื่น ก็ไปได้
ธรรมชาติของชาวตะวันออกกลางเป็นชนชาติที่พยายามรักษากรอบจารีตประเพณีของตนให้คงอยู่ดั้งเดิม ไม่ยอมปล่อยให้อิทธิพลของชาติอื่นเข้ามาบิดเบือนได้ ดังนั้นการไปอยู่ เยอรมัน ดินแดนที่ขึ้นชื่อเรื่องระเบียบวินัย จึงเป็นอะไรที่ต่างกันสุดขั้ว แต่ อาลี ดาอี เอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ณ จุดนั้น และนั่นคือเหตุผลข้อสำคัญที่เปลี่ยนให้เขาเป็นกองหน้าที่ดีที่สุดในเอเชียในช่วงเวลาที่เขาอยู่ในจุดพีก
"ที่เยอรมัน ผมได้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรหลายอย่างมาก และสิ่งหนึ่งที่ได้มาและสำคัญที่สุดที่ผมนำมาส่งต่อให้กับฟุตบอลอิหร่านคือเรื่องของวินัย ผมได้เรียนรู้ถึงสิ่งนี้เยอะมากจริงๆ" เขาเล่าถึงชีวิตในเยอรมัน
ที่ บีเลเฟลด์ ดาอี แสดงให้เห็นว่าเขาอาจจะไม่ใช่นักเตะที่มีพรสวรรค์และเทคนิคอะไรมากมายนัก แต่สิ่งที่ชัดเจนในตัวเขาคือคาแร็คเตอร์ของผู้ชนะ แข็งกร้าวไม่กลัวใคร เขาเล่นที่นั่นได้ปีเดียวก็ถูก บาเยิร์น มิวนิค ซื้อตัวไปร่วมทีมในปี 1998 และอยู่ในทีมชุดคว้าแชมป์ลีกอย่างบุนเดสลีกา และรองแชมป์ยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก อีกด้วย
สิ่งที่ทุกคนบอกตรงกันคือ ดาอี เป็นนักเตะที่สร้างความแตกต่างได้เมื่อลงสนาม ร่างกายเขาแข็งแรง การเล่นลูกกลางอากาศก็หาตัวจับยาก ที่สำคัญคือเขาไม่ได้มีปัญหานอกสนามและโวยวายกับสถานะตัวเองมากนัก
อ็อตมาร์ ฮิตซ์เฟลด์ กุนซือของ บาเยิร์น ชุดดังกล่าวบอกว่าจริงๆ แล้ว อาลี ดาอี ไม่ได้ใช่นักเตะที่เก่งกว่าคนอื่นๆ เลย ต่อให้เทียบกับ อเล็กซานเดอร์ ซิกเลอร์ ดาวยิงวัยรุ่นของบาเยิร์นที่เพิ่งขึ้นชั้นมาในตอนนั้น ก็ยังเป็นนักเตะที่มีภาพรวมดีกว่า ดาอี ด้วยซ้ำไป ซึ่งข้อนี้แม้แต่ตัว ดาอี ก็ไม่ได้เถียงอะไร เพราะทุกคนต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไป ตราบใดที่จุดแข็งของเขาเป็นที่ต้องการของโค้ช เขาจะลงไปทำหน้าที่นั้นอย่างสุดฝีมือ
"ผมเคารพทุกคนที่นั่น ผมได้เรียนรู้จากผู้เล่นและโค้ชอีกหลายคน ผมกลายเป็นนักเตะที่ดีขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย คุณเองก็เคยเห็น โจวานี่ เอลแบร์ (กองหน้าของบาเยิร์น รุ่นเดียวกับ ดาอี) เล่นใช่ไหมละ แม้เป็นคู่แข่งในตำแหน่งกัน แต่ผมยังหลงรักการเล่นของเขาอยู่เลย"
แม้ช่วงที่เล่นกับ บาเยิร์น นั้น ด้วยความแข็งแกร่งของทีมที่มีนักเตะเก่งๆ เยอะ ทำให้ ดาอี ได้ลงสนามไม่มากเท่าไหร่ แต่ในฐานะซูเปอร์ซับเขาทำได้ไม่เลวนัก ด้วยการยิงไป 6 ประตูจาก 23 เกมที่ลงสนาม เขาถือเป็นนักเตะคนสำคัญที่ ฟรานซ์ เบ็คเค่นบาวเออร์ ตำนานของบาเยิร์นถึงพูดออกมาเองเลยทีเดียว
"นี่คือนักเตะที่เป็นเหมือนทูตของสโมสร และยังเป็นผู้เล่นที่ผมคิดว่าดีที่สุดคนหนึ่งของ บาเยิร์น มิวนิค ในรอบ 100 ปีเลยทีเดียว" ไกเซอร์ฟรานซ์ กล่าว
ตำนานทีมชาติอิหร่าน
อาลี ดาอี กลายเป็นตำนานของชาวอิหร่านได้ไม่ใช่แค่เพราะเขาไปเล่นในยุโรปกับ บีเลเฟลด์, บาเยิร์น และ แฮร์ธ่า เบอร์ลิน แต่มันเป็นเพราะเขาคือหนึ่งในผู้จุดประกายและทรงอิทธิพล จนเกิดการเปลี่ยนแปลงของวงการฟุตบอลอิหร่านเลยทีเดียว
อิหร่าน เคยไปฟุตบอลโลกในปี 1978 ที่ อาร์เจนติน่า เป็นเจ้าภาพมาแล้ว 1 ครั้ง นั่นเป็นครั้งเดียวของพวกเขาในเวลานั้น จนกระทั่งในปี 1979 ประเทศอิหร่านเกิดเหตุการณ์ปฎิวัติอิสลาม และสงครามระหว่าง อิหร่าน กับ อิรัก จึงทำให้พวกเขาไม่ได้ส่งทีมลงแข่งในนานาชาติตลอดระยะเวลา 8 ปี ตั้งแต่ปี (1980-1988) ดังนั้นในช่วงของการกลับมาส่งทีมแข่งขันทั้งในทวีปและระดับโลกจึงมาเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในช่วงเข้าสู่ปี 1990 ซึ่งเป็นช่วงที่ ดาอี กำลังเริ่มสร้างชื่อเสียงพอดิบพอดี
ช่วงที่ ดาอี ขึ้นรุ่นพร้อมๆ กับเพื่อนๆ ที่ตามมาที่หลังอย่าง เมห์ดี้ มาดาวีเกีย, อาลี คาริมี่ และ คูเดดาด อาซีซี่ ... อิหร่าน กลายเป็นทีมที่ดีขึ้นมาอย่างก้าวกระโดดโดยเฉพาะช่วงคัดฟุตบอลโลก 1998 ที่ทำผลงานดีต่อเนื่อง คว้าอันดับ 4 ของโซนเอเชีย ได้สิทธิ์ไปเพลย์ออฟกับ ออสเตรเลีย แชมป์โซนโอเชียเนีย และสามารถผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายได้ด้วยกฎอเวย์โกล (กฎยิงประตูทีมเยือน) ด้วยการเสมอ 1-1 ในบ้านและตามด้วยการเสมอ 2-2 แบบพลิกนรกที่เมลเบิร์น ถือเป็นการกลับไปเล่นฟุตบอลโลกครั้งแรกในรอบ 20 ปีของอิหร่านเลยทีเดียว
"การเสมอกับ ออสเตรเลีย ที่เตหะราน ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นทีมที่มีโอกาสเข้ารอบมากกว่า แต่สุดท้ายเราไปเยือนที่เมลเบิร์นและโดนนำไปก่อน 0-2 ทุกอย่างเหมือนจะจบแต่เราก็ยิงอีก 2 ลูกรวดเพื่อตีเสมอได้สำเร็จ นั่นคือสิ่งที่มหัศจรรย์ที่สุดที่เคยเกิดขึ้นเลย"
นับตั้งแต่ติดทีมชาติครั้งแรกในช่วงปี 1993 สิ่งที่ ดาอี แสดงให้ทุกคนในทีมรวมถึงแฟนบอลเห็น คือเขาพัฒนาตัวเองขึ้นเสมอ และสิ่งที่เขาเชื่อเสมอว่าสาเหตุที่เขายิงประตูได้เยอะแยะมากมาย เกิดขึ้นจากทัศนคติที่ไม่เคยพอใจกับสิ่งที่ทำได้ นอกจากนี้เพื่อนร่วมทีมคือกลุ่มคนที่ ดาอี บอกเสมอว่า "หากไม่มีพวกเขา ผมไม่มีทางยิงประตูมากมายขนาดนี้ได้"
"ผมอยู่กับทีมชาติอิหร่านมาอย่างยาวนาน แต่ผมไม่เคยคิดว่าตัวผมเองวิเศษกว่าใคร ผู้เล่นในทีมชาติอิหร่านทุกคนต่างช่วยเหลือเกื้อกูลผมทั้งนั้นจึงทำให้สถิติ (ยิงประตูในนามทีมชาติมากที่สุดในโลก) เป็นของผม แต่ถ้าถามผม ผมว่ามันไม่ได้สำคัญอะไรหากเทียบกับผลลัพธ์ของการแข่งขันที่ดี"
สถิติพังก็ช่างมัน
คริสเตียโน่ โรนัลโด้, ลิโอเนล เมสซี่ หรือแม้แต่นักเตะที่เก่งที่สุดในประเทศนั้นๆ ต้องเจอกับสิ่งที่เพื่อนร่วมทีมของพวกเขายากจะเข้าใจ มันเป็นเรื่องของความกดดัน เมื่อคุณเก่งที่สุดในประเทศ ทุกคนก็คาดหวังว่าทุกครั้งที่ลงสนามคุณต้องยิงประตู และ อาลี ดาอี คือหนึ่งในคนที่รู้เรื่องนี้ดีกว่าใคร เพราะตลอด 20 ปีในการรับใช้ทีมชาติ เขาต้องรับกับความกดดันเพียงลำพังมาโดยตลอดไม่ว่าจะจากแฟนบอลหรือจากสื่อในประเทศก็ตาม โดยเฉพาะในช่วงปลายอาชีพที่เขาอายุมากขึ้นและคุณภาพการยิงไม่เท่าสมัยตอนหนุ่มๆ
"มาถึงจุดหนึ่งผมโดนนักข่าวอิหร่านกดดันผมแบบสุดๆ พวกเขามีปัญหากับผมตลอด 10 ปีก่อนเลิกเล่น สื่อมักจะเขียนอะไรไม่ดีๆ ถึงผมบ่อยๆ แต่ก็เข้าใจได้ คนอิหร่านทั้งประเทศอยากผมยิงได้ทุกครั้งที่ผมสัมผัสบอล แต่มันยากนะ บางทีลูกบอลมันก็ไม่มาถึงผมตลอดหรอก ผมก็เหมือนกองหน้าทุกคนในโลกนั่นแหละ ต้องการบอลสวยๆ มาเสิร์ฟถึงที่"
อย่างไรก็ตามแม้จะโดนด่าโดนวิจารณ์อยู่บ้าง แต่พอเอาเข้าจริงในวันที่ ดาอี ประกาศเลิกเล่นทีมชาติ ทุกคนในประเทศก็ได้รู้ซึ้งว่าการขาดเขามันมีผลขนาดไหน ช่วงที่ ดาอี อายุ 37 ปี และกลับมาเล่นในลีกบ้านเกิด ยังมีข่าวว่าทีมชาติ อิหร่าน จะเรียกตัวเขากลับมาติดทีมชาติในชุดฟุตบอลโลกปี 2006 อยู่เลยด้วยซ้ำไป แต่สุดท้ายมันถึงเวลาที่สมควร และเขาตัดสินใจที่จะไม่คืนคำที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้านี้
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ อาลี ดาอี ตลอดการรับใช้ทีมชาติกว่า 2 ทศวรรษ ทุกประตูยังคงอยู่ในความทรงจำของชาว อิหร่าน ความยิ่งใหญ่ของเขาชัดเจนในวันที่เลิกเล่น แม้ตอนนี้ อิหร่าน จะมีกองหน้าอย่าง ซัรดอร์ อัซมูน แต่ในเรื่องของความเป็นไอค่อนนั้นดาวยิงจาก เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก ยังห่างไกลจากที่รุ่นพี่อย่าง ดาอี เคยทำไว้มากโข
"อาลี ดาอี คือสัญลักษณ์สำหรับเยาวชนชาวอิหร่านทุกคน เขาคือผู้มีอิทธิพลที่ส่งผลเป็นวงกว้างในการพัฒนาสุขภาพระดับประเทศของอิหร่านเลยด้วยซ้ำ" Chista Yasrebi นักแต่งนิยายและผู้กำกับละครเวทีชื่อดังของ อิหร่าน กล่าวถึง ดาอี หลังจากที่เธอได้รับมอบหมายจาก UN ให้เขียนนวนิยายที่จะทำให้เด็กๆ ในประเทศอิหร่านเติบโตมาอย่างมีคุณภาพและมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่
"ฉันถูกขอให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับบุคคลที่ยิ่งใหญ่และมีอิทธิพลที่สุดในประเทศของเรา ความคิดที่เขียนเรื่องของ อาลี ดาอี ก็แว่บขึ้นมา ตัวฉันเองไม่ได้รู้จักฟุตบอลมากมายนัก แต่ก็นับถือเขาในฐานะบุคคลสำคัญในวงการกีฬา เขาเป็นคนที่เติบโตขึ้นมาในยุคเดียวกับฉัน และนั่นทำให้ฉันรู้ว่าเขาต้องพยายามมากแค่ไหนกว่าจะไปถึงจุดที่เขาอยู่ในทุกวันนี้ได้"
แม้จะเป็นคำพูดจากคนที่ไม่ได้ดูฟุตบอลจริงจัง แต่มันแสดงให้เห็นชัดเจนว่าชื่อเสียงของ อาลี ดาอี ในประเทศอิหร่าน เป็นยิ่งกว่าดาวยิงสถิติโลก ... ซึ่งเจ้าตัวเองก็ยืนยันถึงเรื่องนี้เสมอว่าสถิติเป็นเพียงตัวเลขที่ถูกทำลายได้ แต่สิ่งที่เขาทำต่างหากที่จะคงอยู่ตลอดไป
"ทำไมผมต้องโมโหด้วย?" อาลี ดาอี ถามนักข่าวหลังจากที่ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ยิงในนามทีมชาติครบ 99 ประตูและบอกว่าเขาจะทำลายสถิติของ ดาอี แน่นอน
"โรนัลโด้ เป็นนักเตะที่ยิ่งใหญ่และได้รับเกียรติมากมายในโลกฟุตบอล ผมไม่ผิดหวังหรอกนะที่สถิติของผมจะถูกทำลาย เพราะมันจะต้องเกิดขึ้นแน่ไม่ช้าก็เร็ว ผมเองกลับภูมิใจอีกต่างหากที่นักเตะระดับโลกแบบนี้คือผู้ที่ต้องมาก้าวผ่านผม โรนัลโด้ นั้นสุดยอด และผมขออวยพรให้เขาได้รับสิ่งที่ดีที่สุดเสมอ" อาลี ดาอี กล่าว
อัลบั้มภาพ 9 ภาพ