ไม่เสี่ยง ไม่รวย : พอช, มูรินโญ่ และ สเปอร์ส.. ภาพจำลองของการสร้างบริษัทระดับโลก

ไม่เสี่ยง ไม่รวย : พอช, มูรินโญ่ และ สเปอร์ส.. ภาพจำลองของการสร้างบริษัทระดับโลก

ไม่เสี่ยง ไม่รวย : พอช, มูรินโญ่ และ สเปอร์ส.. ภาพจำลองของการสร้างบริษัทระดับโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

"เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ โดนสเปอร์สไล่ออกแล้ว เขาคนนี้พาทีมชกข้ามรุ่นมาตลอด 5 ปี เอาเถอะ โชคดีแล้วกัน ขอให้หาคนมาแทนที่ดีกว่าเขาให้ได้ ... แต่ผมว่าไม่มีหรอก"

นี่คือข้อความที่ แกรี่ ลินิเกอร์ อดีตนักเตะของ ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ และพิธีกรรายการ Match of the Day ของสถานีโทรทัศน์ BBC บอกเล่าถึงความในใจที่เขามีต่อเหตุการณ์นอกสนามที่ "เกินคาด" มากที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลนี้ 

โปเช็ตติโน่ พาสเปอร์ส เข้าชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก เป็นครั้งแรกของสโมสรเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไม่ว่าจะได้แชมป์หรือไม่ แต่ทุกคนชื่นชมและยกย่องความสามารถของเขา 

แต่มันเกิดอะไรขึ้นในอีก 6 เดือนต่อมา เมื่อโค้ชดาวรุ่งที่ดีที่สุดคนหนึ่งในยุโรปกลับโดนไล่ออก และสโมสรเลือกโค้ชที่เก๋าประสบการณ์มากที่สุด พร้อมค่าเหนื่อยที่มากกว่า โปเช็ตติโน่ 2 เท่า ... เรื่องนี้มันอย่างไรกันแน่?

ผมเลือกคุณ...คุณเลือกผม 

นับตั้งหมดยุค ฆวนเด้ รามอส พาทีมคว้าแชมป์ คาร์ลิ่ง คัพ (ลีกคัพ) ในปี 2008 สเปอร์ส กลายเป็นทีมที่มักจะโดนล้อและปรามาสว่าเป็นพวกสั่นเดิมพัน กล่าวคือต่อให้จะหวือหวาน่าตื่นตาตื่นใจแค่ไหน แต่บั้นปลายสุดท้ายพวกเขาก็ไม่สามารถเป็นแชมป์ได้ ... ในบอลถ้วยเมื่อถึงรอบที่กดดันมากๆ ทั้งรอบตัดเชือกและรอบชิงชนะเลิศ พวกเขาก็แพ้ และในฟุตบอลลีกที่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง พวกเขาก็ยืนระยะไม่ได้ เป็นผู้ไล่ก็ไล่ไม่ทัน และเมื่อเป็นผู้นำก็มักสะดุดขาตัวเองทุกครั้งไป


Photo : www.telegraph.co.uk

จนกระทั่งในปี 2014 พวกเขาแต่งตั้ง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ กุนซือของ เซาธ์แฮมป์ตัน ขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่ที่จะนำทีมไปสู่ยุคใหม่ แม้ว่าในเวลานั้น "พอช" จะยังไม่ได้ทำให้ เซาธ์แฮมป์ตัน ได้แชมป์ แต่ด้วยทรัพยากรที่มี เขาเปลี่ยนทีมไปอย่างเห็นได้ชัดจากยุคของ ไนเจล แอดกิ้นส์ ผู้พาทีมเลื่อนชั้นมาจากลีกแชมเปี้ยนชิพ แต่กลับทำผลงานไม่เป็นชิ้นเป็นอันในลีกสูงสุด ด้วยการจบอันดับ 8 ทันทีในฤดูกาล 2013-14 ภายใต้นักเตะเดิมๆ แทบจะยกชุด

แดเนี่ยล เลวี่ นักธุรกิจดังและซีอีโอของ สเปอร์ส คือหนึ่งในคนตัดสินใจครั้งสำคัญครั้งนี้ เขามองว่า สเปอร์ส มีระบบอคาเดมีที่ยอดเยี่ยม มีนักเตะหนุ่ม และเงินทุนจำนวนหนึ่งสำหรับการซื้อนักเตะที่ "ไม่ดังมากแต่ต่อยอดได้" เขาต้องการใครสักคนที่รีดศักยภาพของนักเตะออกมาให้ได้ จนกระทั่งมาจบที่ โปเช็ตติโน่ กุนซือผู้กำลังเริ่มไต่ระดับความท้าทายของอาชีพ ซึ่งเลวี่เชื่อว่า พอช จะเป็นก้าวแรกที่ยิ่งใหญ่ของสโมสรที่โดนปรามาสมาโดยตลอด

"อีก 10-15 ปี ต่อจากนี้ไป สโมสร ท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ จะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง" นี่คือวิสัยทัศน์ของ เลวี่ เขาไม่ได้ขายฝัน ไม่ได้บอกว่าระยะเวลาสั้นๆ 1-2-3 หรือ 5 ปี แต่เขามองตามความจริง และเชื่อว่าหากทำทุกอย่างให้แน่นจากรากฐาน แม้จะใช้เวลานานแต่สุดท้ายทีมจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน 


Photo : www.ibtimes.co.uk

โปเช็ตติโน่ เป็นคนหนุ่มที่ไม่ได้มีแค่ผลงานในสนามที่ดีเท่านั้น เขาเชื่อมั่นในการทำงานหนัก นักเตะทุกคนมีคุณภาพหากเอามาใช้ให้ถูกที่ และที่สำคัญเขาทำให้ทุกคนดูเป็นแบบอย่าง ซึ่งนั่นคือวิธีของผู้นำที่ดีที่สุด และเหตุผลที่เขาเลือก สเปอร์ส ส่วนหนึ่งก็เพราะว่า เลวี่ เป็นคนประเภทเดียวกับเขา นั่นคือเป็นพวกไม่มีทีว่างให้ความผิดพลาด

"แดเนี่ยล เลวี่ ไม่ใช่คนที่ทำงานเช้าชามเย็นชามหรอก เขาทำงานหนักมากไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่ให้กับคนอื่นๆ ในสโมสร เขาสร้างทั้งบ้านพัก ศูนย์ฝึกซ้อมที่หรูอย่างกับโรงแรม 5 ดาวให้นักเตะ ... ตอนแรกผมถามเขาว่าแล้วคุณจะมานอนที่นี่เมื่อไหร่? เขาตอบว่า ไม่หรอก ที่นี่ไม่ใช่ที่สำหรับผม มันสำหรับคุณกับพวกนักเตะต่างหาก" โปเช็ตติโน่ พยายามอธิบายถึงเบื้องหลังที่น้อยคนจะรู้ 

หากเปรียบสเปอร์สเหมือนกับสาวสู้ชีวิตที่พยายามจะมีหน้ามีตาในสังคม เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ก็เปรียบเหมือนหนุ่มวัยกลางคนที่กำลังไฟแรงและมีความทะเยอทะยาน นี่คือการจับคู่เพื่อนาคตอย่างแท้จริง

5 ปีแรกที่เต็มไปด้วยความชื่นชม 

ก่อนหน้านี้ไม่มีนักเตะสเปอร์สคนใดเลยที่เคยร่วมงานกับ โปเช็ตติโน่ มาก่อน ภายนอกเขาอาจจะดูไม่ต่างจากกุนซือหนุ่มใจดี แต่หากใครได้ร่วมงานกับเขาจะรู้ทันทีว่ามันคือการลงนรกก่อนเพื่อเดินทางไปยังสรวงสวรรค์ที่ปลายทาง


Photo : dailypost.ng

ตอนอยู่กับเซาธ์แฮมป์ตัน โปเช็ตติโน่ ขึ้นชื่อมากเรื่องการเข้มงวดในการฝึกซ้อม และเมื่อซ้อมเสร็จเขายังเกาะติดผู้เล่นทุกวิธี ทั้งการเก็บตัวอย่างน้ำลาย, ให้นักเตะตอบคำถามเพื่อสุขภาพ, เช็คเรื่องการพักผ่อนและนอนหลับ ทุกๆ เช้าจะมีการสำรวจว่าแต่ละคนพร้อมแค่ไหนสำหรับการฝึกซ้อม

"ตารางชีวิตของผมมีแค่ออกจากโรงแรมแล้วมาที่สนามซ้อมเท่านั้น วิถีของฟุตบอลไม่มีสิ่งที่เรียกว่าตารางเวลาจริงๆ หรอก เราแค่ทำงานหนักกันทั้งวัน ห้องทำงานผมเปิดตลอดเวลาเพื่อให้พวกเขาเข้ามาถามข้อสงสัยได้เสมอ" โปเช็ตติโน่ เคยกล่าวถึงวิธีการทำงานของเขา 

"เราแค่ทำกันแบบมืออาชีพ แต่ไม่ได้อยากให้มันตึงเกินไปสำหรับนักเตะ ทว่าทุกอย่างต้องได้รับการตรวจสอบ น้ำลายบอกถึงสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี การติดเครื่อง GPS และเครื่องมือเก็บข้อมูลเชิงสถิติอื่นๆ ก็ด้วย บางครั้งคุณต้องผลักดันพวกเขา (นักฟุตบอล) ให้หนัก เพื่อให้ได้สิ่งที่ดีที่สุดจากพวกเขา ถามว่าผมทำแบบนั้นเพื่ออะไร? ก็เพื่อว่าสุดท้ายแล้วพวกเขาจะได้รู้ถึงวิธีปฎิบัติตัวเพื่อให้เขาเป็นผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น" โปเช็ตติโน่ ย้ำอีกครั้งว่าเขาไม่ใช่คนฝึกนักเตะหนักจนเกินไป แต่ที่เขาต้องการข้อมูลก็เพราะเชื่อว่า ทุกการซ้อมนั้นคุณภาพเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าปริมาณ 

คุณภาพที่เขาว่าถึงนั่นแหละ ที่เป็นนรกซึ่งนักเตะภายใต้การทำทีมของเขาจะต้องผ่าน นั่นทำให้ปีแรกกับ สเปอร์ส โปเช็ตติโน่ ได้เลือกนักเตะหนุ่มหลายคนขึ้นมามีบทบาทกับสโมสร แฮร์รี่ เคน ในวัย 21 ปีกลายเป็นตัวความหวังสูงสุดทั้งๆ ที่มีกองหน้าดีกรีเยี่ยมกว่าอย่าง เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ที่มีประสบการณ์ในลีกมากมาย และ โรแบร์โต้ โซลดาโด้ ดาวยิงทีมชาติสเปน 


Photo : www.nst.com.my

ขณะที่คนอื่นๆ ที่ถูกดันมาในปีแรกของ พอช กลายเป็นตัวความหวังของทีมทั้งหมดทั้ง เดเล่ อัลลี (ซื้อมา 5 ล้านปอนด์), เอริค ดายเออร์ (ซื้อมา 4 ล้านปอนด์) และ เบน เดวี่ส์ (หนึ่งในดีลแลกตัวกับ กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน) หลังจากนั้น พอช โชว์สายตาที่แหลมคมในการคว้านักเตะใหม่ๆ เข้ามาแล้วยกระดับทีมได้ทันที ทั้ง คีแรน ทริปเปียร์, ซน ฮึง มิน, โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์, ลูคัส มูร่า ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ สเปอร์ส ติดอันดับ 1-4 มาตลอดตั้งแต่ฤดูกาล 2015-16 เป็นต้นมา จนกระทั่ง

นอกจากการฝึกซ้อมที๋โหดขึ้นชื่อแล้ว มีอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ สเปอร์ส มีผลงานดีและไม่มีนักเตะคนไหนมีปัญหาใหญ่ภายในทีม คือการเลือกซื้อและเลือกใช้นักเตะแต่ละคนที่มีทัศนคติไปในทิศทางเดียวกัน จะเห็นได้ว่านักเตะของ สเปอร์ส แต่ละคนอยู่ในช่วงวัยหนุ่ม อยากพิสูจน์ตัวเองกันแทบทั้งนั้น พวกเขาอายุ 20 ต้นๆ ก็สามารถขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้แล้ว ผ่านการฝึกซ้อมที่หนักหน่วงและการเชื่อใจโปเช็ตติโน่ 

ทุกอย่างมาสุกงอมเห็นผลในการบ่มเพาะราว 3-4 ปีให้หลังจากที่ พอช เข้ามา เพราะ ณ เวลานั้น สเปอร์ส เป็นทีมที่เก็บแต้มได้สม่ำเสมอในยามเจอกับทีมระดับต่ำกว่า ซึ่งต่างกับยุคก่อนๆ ที่พวกจะพลาดแบบไม่น่าให้อภัยอยู่บ่อย แฮร์รี่ เคน การันตี 20 ประตูต่อ 1 ซีซั่น, เดเล่ อัลลี ยิงประตูระเบิดระเบ้อจนติดทีมชาติอังกฤษชุดใหญ่, คริสเตียน เอริคเซ่น กลายเป็นเพลย์เมคเกอร์ที่ดีที่สุดในลีกคนหนึ่ง ส่วน ซน ฮึง มิน ก็ก้าวขึ้นสู่มาตรฐานผู้เล่นระดับสูง ถูกตีมูลค่าทางการตลาดมากกว่า 80 ล้านปอนด์ 

และแน่นอนที่สุด คือการเข้าชิงแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในฤดูกาล 2018-19 ที่ผ่านมาคือสิ่งที่ไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า สเปอร์ส นั้นมาถูกทางแล้ว พวกเขาเริ่มมี DNA ของผู้ชนะชัดเจน โดยเฉพาะรอบ 4 ทีมสุดท้ายที่เชือด อาหยักซ์ ได้ในช่วงวินาทีสุดท้ายของเกม แต่ก็อย่างที่เรารู้กัน ลิเวอร์พูล คู่ชิงของพวกเขาก็เป็นทีมที่มี DNA ของผู้ชนะพุ่งพล่านไม่ต่างกันและน่าจะมากกว่าด้วยซ้ำ เพราะทัพหงส์แดงแสดงให้เห็นมาหลายครั้งว่าพวกเขามักจะเปลี่ยนผลการแข่งขันในช่วงท้ายเกมได้อยู่บ่อยๆ


Photo : www.90min.com

สุดท้ายก็อย่างที่ทุกคนรู้กัน ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายชนะสเปอร์ส 2-0 ด้วยประตูในช่วงเวลาที่ว่ากันว่ามีอิทธิพลสุดๆ ในกีฬาฟุตบอล นั่นคือช่วงต้นเกมและท้ายเกม ... สเปอร์ส แพ้ นักเตะของพวกเขาเดินคอตกหลังเกมจบ แต่ โปเช็ตติโน่ เดินลงมาในสนามก่อนจะปลอบและให้กำลังใจลูกทีมของเขาทุกคน 

แม้จะเป็นรองแชมป์แต่ไม่ว่านักวิจารณ์จากสำนักไหนต่างก็ชื่นชมการทำงานของ โปเช็ตติโน่ และทีมชุดนี้ของเขา ทุกคนมองว่านี่คือทีมคนหนุ่มแห่งอนาคต หากเก็บหลักไว้ได้ทั้งหมด พวกเขาจะไม่เป็นผู้แพ้ตลอดไปในอนาคตแน่นอน และนั่นคือภารกิจที่ โปเช็ตติโน่ ต้องทำให้ได้

หลังจากนั้นอีก 6 เดือน

5 ปีแห่งความชื่นชมจบลงด้วยการเป็นรองแชมป์ถ้วยยุโรป เมื่อกลับมาสู่การเตรียมพร้อมสำหรับฤดูกาล 2019-20 สเปอร์ส กลับมาใช้เงินในตลาดซื้อขายอีกครั้ง หลังจากปีที่แล้วเข้าชิงได้โดยไม่ต้องซื้อตัวผู้เล่นเลยแม้แต่คนเดียว 


Photo : sillyseason.com

ทว่าเมื่อกลับมาลงเล่นพร้อมผู้เล่นใหม่อีก 3-4 ราย กลับกลายเป็นว่า สเปอร์ส ออกอาการยิ่งเล่นยิ่งเละ ไม่เหลือเค้าความดุดันเหมือนที่ผ่านมาๆ เลยแม้แต่น้อย ... เมื่อก่อนถึงแม้สเปอร์สอาจจะพลาดบ้าง แต่ทุกเกมจะได้เห็นเกมรุกที่รวดเร็วและแม่นยำ มีสกอร์เยอะๆ ให้เห็นตลอด แต่ปีนี้แปลก แม้แต่ แฮร์รี่ เคน ก็เพิ่งยิงในพรีเมียร์ลีกได้แค่ 6 ลูกเท่านั้น ทั้งๆ ที่ปีนี้เขาฟิตลงสนามถึง 11 จาก 12 เกมแรกของฤดูกาล 

สเปอร์ส พบกับความพ่ายแพ้เกือบทุกสัปดาห์ การตกรอบฟุตบอล คาราบาว คัพ (ลีกคัพ) ด้วยน้ำมือทีมโนเนมอย่าง โคลเชสเตอร์ การโดน บาเยิร์น มิวนิค บุกมายิงถึงรัง 7-2 ในเกม แชมเปี้ยนส์ลีก รวมถึงการตกมาอยู่อันดับที่ 14 ของ สเปอร์ส คือเรื่องที่หนักหนากว่าที่ใครคิดไว้เยอะ มันเป็นไปได้อย่างไรในเวลาแค่ไม่ถึง 6 เดือน? 

มาร์ค อ็อกเดน ผู้สื่อขาวของ ESPN ลงไปล้วงลึกเรื่องนี้ และบอกว่าสัญญาณของการแตกหักระหว่าง สเปอร์ส ที่นำโดย ซีอีโอ อย่าง เลวี่ กับกุนซืออย่าง โปเช็ตติโน่ เริ่มส่งกลิ่นออกมาได้สักพักใหญ่ก่อนที่จะมาถึงเกมนัดชิงแชมป์ยุโรปด้วยซ้ำ มันเป็นเรื่องที่เบสิคมากๆ ในทุกหน่วยงานทั่วโลก นั่นคือการสื่อสารที่ผิดพลาด และแนวคิดที่ต่างกันระหว่างฝ่ายบริหารกับฝ่ายปฎิบัติการ เกิดการล้วงลูกและต่างฝ่ายต่างไม่พอใจจนเกิดการต่อต้านของกันและกัน

เรื่องเกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018 เมื่อ เลวี่ ได้ปลด พอล มิตเชลล์ ที่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายสรรหาและวิเคราะห์นักเตะของทีมออกไป ซึ่งตัวของ มิตเชลล์ ทำงานร่วมกับ พอช ตั้งแต่อยู่กับ เซาธ์แฮมป์ตัน แล้ว ส่วนประเด็นที่ปลดออกนั้น แม้ไม่มีระบุชัดเจนแต่เชื่อว่าน่าจะเป็นเรื่องของงบประมาณการสร้างทีมที่ลดลง ภายใต้การสร้างสนามใหม่ที่ใช้เงินมากกว่าที่คิดและล่าช้ากว่าที่คาด ซึ่งการลดงบประมาณเป็นเหตุให้งานของ มิตเชลล์ ที่มีหน้าที่ซื้อนักเตะมาเสริมในจุดที่ทีมขาดต้องหยุดชะงักลงไป 

รายงานระบุต่อว่าในซัมเมอร์ 2019 เป็นช่วงที่เสียงระหว่าง พอช และ เลวี่ แตกที่สุด พวกเขาไม่สามารถทำงานร่วมกันได้เพราะเห็นตรงข้ามกันแทบทุกเรื่อง พอช อยากให้ทีมทุ่มเท่าไหร่ก็ได้เพื่อรั้งนักเตะอย่าง โทบี้ อัลเดอร์ไวเรลด์ และ เอริคเซ่น ที่สัญญากำลังจะหมดลง แต่ เลวี่ เห็นด้วยแค่ครึ่งเดียว นั่นคือเขาพยายามจะต่อสัญญาจริง แต่เขามีนโยบายที่จะไม่ทุ่มเงินก้อนโต 


Photo : talksport.com

ทุกคนรู้ดีว่านักเตะอย่าง เอริคเซ่น, แยน แฟร์ตองเก้น และ อัลเดอร์ไวเรลด์ ที่จัดเป็นแข้งแถวหน้าของลีกในตำแหน่งของพวกเขา ได้รับค่าเหนื่อยในปัจจุบันไม่ถึง 100,000 ปอนด์ต่อสัปดาห์เลยด้วยซ้ำ และในยุคที่ค่าเหนื่อยนักเตะพุ่งกระฉูดแตะหลัก 3-4 แสนปอนด์นั้น สเปอร์ส ไม่ยอมหมุนตาม พวกเขาปฎิเสธที่จะทำลายเพดานค่าเหนื่อยของตัวเอง (ซึ่งน้อยกว่าบิ๊ก 6 ทุกทีม) และปล่อยให้ทั้ง 3 นักเตะรอวันย้ายแบบฟรีๆ ในทุกวันนี้

เรื่องนี้คงต้องย้อนกลับไปเมื่อแข้งเหล่านี้ยังเป็นนักเตะหนุ่มที่ไม่มีชื่อเสียงมากมายนัก การเข้ามาของ พอช เปลี่ยนให้พวกเขากลายเป็นสตาร์ ดังนั้นมันจึงเป็นวัฏจักรตามธรรมชาติ เมื่อพวกเขาเก่งขึ้น พวกเขาก็ย่อมเรียกร้องในสิ่งที่มากขึ้น

ตอนยังเด็กพวกเขาไม่ได้คิดถึงอะไรมากมายแบบนั้น เด็กของพอช แค่ขอบคุณเขาสำหรับโอกาสที่มอบให้ ไม่ว่าเสนออะไรมาพวกเขาก็พร้อมจะคว้าไว้ทั้งหมด แต่ตอนนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน ... จะว่าอย่างนั้นก็ได้ 

ในซัมเมอร์ที่ผ่านมา สเปอร์ส ได้ ตองกีย์ เอ็นดอมเบเล่, โจวานนี่ โล เซลโซ่ และ ไรอัน แซสเซญง มาเสริมทัพ แต่ เดอะ การ์เดี้ยน สื่อใหญ่ของอังกฤษบอกว่า นี่ไม่ใช่นักเตะที่ โปเช็ตติโน่ ต้องการ แต่เป็นการซื้อเพื่อปั้นและขายในอนาคตมากกว่า ซึ่งแต่ละคนเป็นนักเตะที่ไม่ได้มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอันเลยในฤดูกาลนี้ 


Photo : www.rte.ie

อย่างไรก็ตาม โปเช็ตติโน่ อยู่กับทีมมา 5 ปีและเพิ่งต่อสัญญาฉบับใหม่ไม่นาน แม้จะไม่พอใจแต่เขาไม่ลาออก เขาชื่อว่าจะแก้ไขผลงานที่ย่ำแย่ได้ เขามักจะให้สัมภาษณ์ในแนวนั้นตลอด และไม่มีใครคิดว่า สเปอร์ส จะกล้าไล่เขาออกจากตำแหน่งเพราะจะต้องเสียค่าชดเชยก้อนโต แถมพอช เป็นกุนซือเนื้อหอมหากมีทีมไหนอยากได้เขาไปคุมทีมระหว่างที่เขาคุม สเปอร์ส อยู่ ไก่เดือยทอง จะได้ค่าฉีกสัญญาอีก

แต่ไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ในโลกของฟุตบอล ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โปเช็ตติโน่ ให้สัมภาษณ์ด้วย "พอยต์" ที่เปลี่ยนไป เขาพูดเหมือนมีบางอย่างติดขัดสำหรับสิ่งที่เขาวางแผนไว้

"เรามารอดูกันว่าผมจะมีเวลาได้สร้างสิ่งที่ต้องการหรือไม่" โปเช็ตติโน่ กล่าว ... เปรี้ยงหลังจากนั้นเขาก็โดนไล่ออกในวันที่ 19 พฤศจิกายน

การตัดสินใจที่ยากลำบาก

"พวกเรากล้ำกลืนที่จะทำการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ และไม่ใช่การตัดสินใจที่บอร์ดบริหารไม่คิดพิจารณาหรือเร่งรีบตัดสินใจแต่อย่างใด" แดเนี่ยล เลวี่ ร่ายผ่านประกาศจากสโมสรเมื่อ โปเช็ตติโน่ กลายเป็นเพียงอดีตของท็อตแน่ม


Photo : www.independent.co.uk

"สืบเนื่องจากผลงานในลีกเมื่อปลายฤดูกาลที่ผ่านมา รวมถึงช่วงต้นฤดูกาลนี้นั้นถือว่าน่าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง ผลตกมาที่บอร์ดที่ต้องทำการตัดสินใจอันยากลำบาก ยิ่งกว่านั้นคือพวกเรามีช่วงเวลาที่น่าจดจำร่วมกับ เมาริซิโอและสตาฟฟ์โค้ชของเขา แต่สิ่งที่เราทำนั้นเพื่อผลประโยชน์ของสโมสร"

แถลงการณ์นี้หากอ่านดูอย่างละเอียดแล้ว พอจะมองเห็นภาพรวมได้ว่าสเปอร์สไม่คิดว่า โปเช็ตติโน่ จะทำให้ทีมไปไกลยิ่งกว่านี้ได้ ... สเปอร์ส ต้องการแชมป์ และในชีวิตกุนซือของ พอช เขายังไม่เคยทำมันได้แม้แต่รายการเดียว ... เขาเก่งแค่ไหนทุกคนรู้ แต่เขาจะพาทีมคว้าแชมป์ได่หรือไม่? อันนี้ไม่มีใครรู้ 

"เรามีนักเตะในทีมเต็มไปด้วยนักเตะมากพรสวรรค์ เราควรต้องปลุกไฟพวกเขากลับมาและนำผลการแข่งขันที่ดีมาให้แฟนบอลให้ได้" เลวี่ ว่าต่อในแถลงการณ์ซึ่งก็ผนวกเข้ากับข่าวลือที่ว่าก่อนหน้านี้ไฟในการทำงานของ พอช ลดลง เขามักจะให้สตาฟโค้ชคุมซ้อมเป็นหลัก ขณะที่เขาใช้เวลานั่งอยู่ในออฟฟิศ ผิดธรรมชาติกุนซือผู้บ้าคลั่งการฝึกซ้อมอย่างเขา

หลังจาก โปเช็ตติโน่ ลงจากตำแหน่งได้ไม่ถึง 24 ชั่วโมง แถลงการณ์จากสเปอร์สฉบับที่สองก็ถูกปล่อยสู่สาธารณะ "โชเซ่ มูรินโญ่ คือผู้จัดการทีมคนใหม่ของ ท็อตแน่ม" ความรวดเร็วปานสายฟ้าแลบในการปิดดีลนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าทุกอย่างถูกเตรียมการมาเป็นพักใหญ่ๆ ทั้งการคุยกับ พอช เพื่อหาทางออก และคุยกับ มูรินโญ่ สำหรับงานที่จะเสนอให้  


Photo : www.standard.co.uk

มูรินโญ่ เข้ามาและได้ค่าเหนื่อยปีละ 15 ล้านปอนด์ (ตามแหล่งข่าวหลายแห่งยืนยัน) มากกว่าที่ โปเช็ตติโน่ เคยได้รับ 2 เท่า และมีเพียง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า คนเดียวเท่านั้นที่มากกว่า 

สเปอร์ส ที่ไม่เคยคลั่งเรื่องการจ่ายเงินก้อนโตเพื่อนักเตะ แต่กลับทำเพื่อจ้างโค้ชคนใหม่ ในนาทีที่โค้ชคนเก่ายังคงเป็นขวัญใจที่แฟนๆ ชื่นชอบอยู่ย่อมมีเหตุผลอย่างแน่นอน มันเป็นเหตุผลที่ เลวี่ บอกว่าเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบาก ... แต่อะไรคือเหตุผลที่ต้องเป็น มูรินโญ่ และทำไมต้องจ่าย 2 เท่ากันแน่?

หนุนหลังผม...แล้วผมจะทำให้คุณเป็นแชมเปี้ยน

มูรินโญ่ อาจจะต่างกับ พอช ในแง่ของ คาแร็คเตอร์ คือผู้คนจะมีความรู้สึกของเขาแบบชัดเจน 2 ด้าน ไม่รักสุดๆ ก็เกลียดขี้หน้ากันจัดๆ นั่นคือสิ่งที่ มูรินโญ่ เป็น ไม่เหมือนกับ พอช ที่ถูกมองในแง่บวกมากกว่า หรืออย่างน้อยๆ เขาก็มีคนเกลียดน้อยกว่า มูรินโญ่ แน่นอน


Photo : topnaija.ng

ทว่าสิ่งที่ พอช ไม่มีแต่ มูรินโญ่ มี คือประสบการณ์ในการพาทีมเป็นแชมป์ ในแง่ของการทำงาน มูรินโญ่ เองก็เป็นคนที่จริงจัง เขาเป็นพวกที่ตระเตรียมทุกอย่างไว้ในหัวของเขา เขาวางแผนตลอดทั้งวัน เขามาถึงออฟฟิศก่อนเวลางาน ทันทีที่เขาเข้ามาคุมซ้อมกับ สเปอร์ส เขาเตรียมแผนการซ้อมของเขามาด้วยและเขารู้ว่าส่วนที่สำคัญที่สุดที่ควรเน้นในวันแรกคืออะไร ... นั่นคือการ "พูดคุย"

ESPN ขยายเรื่องนี้ต่อว่า มูรินโญ่ ตกลงกับ สเปอร์ส ไว้ราวๆ 3 สัปดาห์ก่อนปลด โปเช็ตติโน่ ดังนั้นมันนานพอที่จะทำให้วางแผนทีละขั้น สิ่งที่เขาอยากทำให้ได้เป็นอย่างแรกคือ "การเอาชนะในห้องแต่งตัว" ซึ่งนั่นคือจุดแข็งจุดหนึ่งของเขา ซึ่งหลังจากนี้มีการเปิดเผยว่า มูรินโญ่ จะนัดลูกทีมแต่ละคนเข้ามาคุยเป็นรายตัวในเร็วๆ นี้เพื่อเป็นการ "รู้เขารู้เรา" อีกด้วย

ในการซ้อมของ สเปอร์ส เมื่อวันพุธที่ผ่านมา มูรินโญ่ แสดงพลังของเขาให้กับลูกทีมใหม่วัยคะนองของเขาเห็น เขาบอกทุกคนว่าเขาคือคนที่คว้าแชมป์ในทุกๆ ที่ที่เขาไป แม้กระทั่งช่วงแย่ๆ กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เขาก็ยังได้มา 2 แชมป์ (ลีก คัพ และ ยูโรปาลีก) และที่นี่งานของเขาเหมือนเดิม นั่นคือการเอาแชมป์มาให้ สเปอร์ส ให้ได้

แชมป์ คือสิ่งที่ เลวี่ เชื่อว่า มูรินโญ่ สามารถเอามันมาให้เขาได้เร็วกว่าที่จะรอ โปเช็ตติโน่ สั่งสมประสบการณ์ ... ผลงานในอดีตยืนยัน เมื่อไหร่ก็ตามที่ มูรินโญ่ รวมทีมเป็นหนึ่งเดียว และลูกทีมพร้อมจะเดินตามหลังเขาเหมือนกับที่เขาเคยทำได้ เหมือนกับสมัยคุม ปอร์โต้, เชลซี (รอบแรก) และ อินเตอร์ สิ่งที่รออยู่ข้างหน้าคือความยิ่งใหญ่สถานเดียว ...

ยิ่งกว่าแชมป์คืออะไร? 

แดเนี่ยล เลวี่ คือคนที่ฉลาดมากในการวางแผนงานแต่ละอย่าง เขาทำสเปอร์สให้มีกำไรจากการขายนักเตะจนสามารถสร้างความมั่นใจถึงขั้นกู้เงินมาสร้างสนามใหม่ขนาดใหญ่ได้ ดังนั้นการจ้างมูรินโญ่ ไม่ได้มีประโยชน์แค่ต่อเดียวเท่านั้น


Photo : www.express.co.uk

การได้ มูรินโญ่ เข้ามา ช่วยสร้างมูลค่าทางการตลาดมากกว่าเดิม มูรินโญ่ ถือเป็นชื่อระดับ "โกลบอล แบรนด์" (แบรนด์ระดับโลก) แม้แต่คนไม่เคยดูฟุตบอลก็ยังพอนึกชื่อนึกหน้าออก ดังนั้นสิ่งที่ สเปอร์ส จะได้จากเขาคือความสนใจในวงกว้างที่มากกว่าเดิม นั่นคือสิ่งที่ เลวี่ "อาจจะ" ปูทางไว้เพื่อบางอย่าง 

มีการวิเคราะห์กันในสำนักข่าวต่างประเทศว่า การแต่งตั้ง มูรินโญ่ เป็นบันไดขั้นแรกสำหรับการขายสโมสร โดยเป็น ESPN อีกเช่นเคยที่อ้างว่าพวกเขามีแหล่งข่าวกระซิบมาว่า ENIC กรุ๊ป ที่เป็นเจ้าของ สเปอร์ส มีความสนใจอยากจะขายทีม ดังนั้นการมี มูรินโญ่ เป็นโค้ชดูจะเป็นอะไรที่ดึงดูดผู้ซื้อได้มากกว่าที่จะเป็นชื่อของ โปเช็ตติโน่ อยู่พอสมควร 

ตอนนี้ สเปอร์ส เป็นสโมสรฟุตบอลที่มีมูลค่ามากที่สุดอันดับ 9 ของโลก จากการจัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes ซึ่งเป็นอันดับที่ต้องให้เครดิตกับการทำงานของ เลวี่ และการคุมทีมของ โปเช็ตติโน่ รวมถึงนักเตะในทีมที่ทำให้ สเปอร์ส ไต่มาถึงจุดนี้ได้ 

สิ่งที่รออยู่จากนี้คือ สเปอร์ส มีสนามใหม่ที่ใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ของพรีเมียร์ลีก มีกุนซือระดับโลก และมีทีมคนหนุ่มแห่งอนาคต ทุกอย่างล้วนดูเป็นองค์ประกอบที่ทีมจะประสบความสำเร็จต้องมีทั้งนั้น 

"อีก 10-15 ปีสโมสรแห่งนี้จะเปลี่ยนไปโดยสมบูรณ์" นี่คือคำที่ เลวี่ เคยว่าไว้เมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเมื่อดูจากทิศทางต่างๆ ที่กล่าวเขาทำได้จริงไม่ได้โม้ในช่วง 1 ส่วน 3 ของเวลาที่กำหนดไว้ (5 ปีแรกจากแผนงาน 15 ปี) 


Photo : nnn.com.ng

การปลดโปเช็ตติโน่ คือเดิมพันครั้งใหญ่ที่ สเปอร์ส เสี่ยงมาก แต่ถึงอย่างนั้นมีคำกล่าวที่ว่า "การอยู่เฉยๆ แบบไม่เสี่ยงอะไรเลยนั่นแหละ คือความเสี่ยงที่สุดในโลก" ดังนั้นคงต้องเปรียบกับการสร้างบ้านหนึ่งหลัง คงพออนุมานได้ว่า โปเช็ตติโน่ คือผู้รับเหมาที่เข้ามาวางโครงสร้างและสร้างรากฐานให้แข็งแกร่ง และเมื่ออยู่จนครบสัญญาทำงานที่ตัวเองทำได้จนครบแล้วก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะอยู่ต่อ

ส่วนมูรินโญ่นั้นคงเปรียบได้กับ "นักออกแบบ" ที่จะทำให้บ้านหลังนี้มีมูลค่าเตะตาคนมาเห็นให้ได้มากกว่าที่เคยเป็น ... สเปอร์ส คิดถูกหรือไม่สำหรับการตัดสินครั้งนี้ เวลาเท่านั้นที่จะบอกเรา 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook