"แฮ็กเลอร์ vs เฮิร์นส์" มวยที่ชกกันแค่ 8 นาที แต่ถูกยกย่องว่าดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์

"แฮ็กเลอร์ vs เฮิร์นส์" มวยที่ชกกันแค่ 8 นาที แต่ถูกยกย่องว่าดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์

"แฮ็กเลอร์ vs เฮิร์นส์" มวยที่ชกกันแค่ 8 นาที แต่ถูกยกย่องว่าดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

คุณคิดว่ามวยสากลไฟต์ไหนที่ชกกันได้สนุกเร้าใจมากที่สุด?

ทุกคนย่อมมีคำตอบในใจของตัวเอง แต่สำหรับแฟนมวยยุค 80s เชื่อว่าคงไม่มีการต่อสู้บนพื้นผ้าใบครั้งไหน ที่จะอยู่ในความทรงจำไปมากกว่าการปะทะกันระหว่าง "มาร์เวลัส" และ "เดอะ ฮิทแมน" อีกแล้ว

Main Stand จึงขอพาแฟนกีฬาทุกรุ่น ย้อนกลับไปดูเรื่องราวของการชกที่ถูกยกย่องว่าดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์ ระหว่าง มาร์วิน แฮ็กเลอร์ (Marvin Hagler) และ โธมัส เฮิร์นส์ (Thomas Hearns) เมื่อปี 1985

 

ความบาดหมางของพวกเขาเริ่มต้นได้อย่างไร? เกิดอะไรขึ้นบ้างในระยะเวลา 8 นาที? ติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้พร้อมกับเรา

ก่อนเส้นทางบรรจบ

ย้อนกลับไปในช่วงทศวรรษ 1980s วงการมวยสากลกำลังรุ่งเรืองถึงขีดสุดจากความโด่งดังของ "The Fabulous Four" หรือ 4 นักชกมหัศจรรย์ที่ถือครองความยิ่งใหญ่บนสังเวียนในขณะนั้น โดยสี่นักชกที่กล่าวมาประกอบไปด้วย ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด, มาร์วิน แฮ็กเลอร์, โรเบร์โต ดูรัน และ โธมัส เฮิร์นส์

 1

สำหรับ มาร์วิน แฮ็กเลอร์ นักชกจากเมืองนิวอาร์ค รัฐนิวเจอร์ซีย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เขาเริ่มสร้างชื่อเสียงจนเป็นสุดยอดมวยในรุ่นมิดเดิลเวตตั้งแต่ปลายยุค 1970s จากทักษะในการเดินตัดเวทีไล่คู่ต่อสู้ให้จนมุม ก่อนปิดบัญชีด้วยหมัดที่สามารถออกอาวุธได้ทั้งสองข้าง จนอาจกล่าวได้ว่า เจ้าของฉายา "มาร์เวลัส" รายนี้ คือนักมวยรุ่นมิดเดิลเวตที่เก่งที่สุดตลอดกาล

ผลงานที่ทำให้คนทั้งโลกยอมรับในความสามารถของแฮ็กเลอร์ คือไฟต์ที่เขาปะทะกับ วีโต อันตัวเฟอร์โม ยอดนักชกชาวอิตาเลียน เพื่อท้าชิงแชมป์โลกอันดิสพิวเต็ดของรุ่นมิดเดิลเวต เมื่อปี 1979 ตลอด 15 ยกที่ทั้งสองปะทะกัน แฮ็กเลอร์เหนือกว่าอย่างชัดเจน จนใครก็คิดว่าเขาต้องคว้าแชมป์มาครองได้แน่ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นอันตัวเฟอร์โม สามารถป้องกันแชมป์ไว้ได้แบบค้านสายตาคนทั้งโลก

โอกาสแก้ตัวของแฮ็กเลอร์กลับมาอีกครั้งในปี 1980 เมื่อเขาได้รับโอกาสชิงแชมป์โลกจาก อลัน มินเตอร์ นักชกชาวอังกฤษ ที่สร้างวลีอื้อฉาวด้วยการประกาศต่อแฮ็กเลอร์ว่า "ไม่มีคนดำคนไหนที่จะเอาเข็มขัดแชมป์ของกูไปได้"

ผลสุดท้าย มาร์วิน แฮ็กเลอร์ จึงตอบแทนอลัน มินเตอร์ สำหรับความปากดีของเขาตามความเหมาะสม การต่อสู้ดำเนินเข้าสู่ยกสาม เขาเล่นงานคู่ต่อสู้จนแตกเละหมดสภาพ กรรมการไม่มีทางเลือกนอกจากยุติการแข่งขัน 

 2

แฮ็กเลอร์จึงคว้าแชมป์อันดิสพิวเดตรุ่นมิดเดิลเวตมาครองได้สำเร็จ แบบเกือบเอาชีวิตไม่รอด หลังฮูลิแกนอังกฤษในสนามเวมบลีย์ ที่รับไม่ได้กับผลการแข่งขันในไฟต์นี้ ก่อความวุ่นวายหมายเอาชีวิตแชมป์โลกรายนี้

สวนทางจากแฮ็กเลอร์ เส้นทางบนผืนผ้าใบของ โธมัส เฮิร์นส์ ไม่ได้ลำบากยากเย็นอะไรนัก เจ้าของฉายา "เดอะ ฮิทเเมน" ผู้มีส่วนสูงถึง 185 เซนติเมตร ทำผลงาน 28-0 โดยเป็นชัยชนะจากการน็อกเอาต์คู่ต่อสู้ถึง 26 ครั้ง ก่อนคว้าแชมป์ WBA รุ่นเวลเตอร์เวต มาครองในปี 1980

ไฟต์ที่โด่งดังที่สุดของเฮิร์นส์ ก่อนโคจรมาพบกับ มาร์วิน แฮ็กเลอร์ คงหนีไม่พ้นการพบกับ ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด แชมป์โลก WBC รุ่นเวลเตอร์เวต เมื่อปี 1981 ในแมตช์ที่เรียกกันว่า "เดอะ โชว์ดาวน์" ศึกหยุดโลกที่จะตัดสินว่าใครคือนักชกหมายเลขหนึ่งในรุ่นเวลเตอร์เวต โดยมีเข็มขัดแชมป์โลกสองสถาบันเป็นเดิมพัน

 3

การต่อสู้ผ่านไป 14 ยก เฮิร์นส์ไม่สามารถต้านทานความมุ่งมั่นของเลียวนาร์ดได้ไหว เขาหลังพิงเชือกแบบไร้ทางสู้ กรรมการตัดสินใจยุติการชก เฮิร์นส์เสียทั้งสถิติไร้พ่ายและแชมป์โลก ตำแหน่งราชานักชกในรุ่นเวลเตอร์เวตของเขาได้สิ้นสุดลงแล้ว

หลังความพ่ายแพ้ เฮิร์นส์ประกาศยุติการชกในรุ่นเวลเตอร์เวต และขอก้าวไปสร้างความยิ่งใหญ่ในรุ่นมิดเดิลเวตแทน และเป้าหมายของเขาจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก มาร์วิน แฮ็กเลอร์ แชมป์โลกอันดิสพิวเดต ผู้ถือครองความยิ่งใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในรุ่นมิดเดิลเวต

สงครามน้ำลาย

ปี 1982 ข่าวดีที่แฟนมวยทั่วโลกรอคอยก็มาถึง เมื่อมีการประกาศอย่างเป็นทางการว่า โธมัส เฮิร์นส์ จะท้าชิงแชมป์โลกจาก มาร์วิน แฮ็กเลอร์ ในวันที่ 24 พฤษภาคม ที่สนามวินด์ซอร์ อารีน่า รัฐออนตาริโอ ประเทศแคนาดา โดยการชกครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่สองนักชกจาก The Fabulous Four คู่นี้ ได้โอกาสมาวัดฝีมือกันบนสังเวียน

 4

โชคร้ายที่บางครั้งความจริงไม่ได้เป็นไปดั่งฝัน มีการประกาศเลื่อนการชกระหว่าง แฮ็กเลอร์ และ เฮิร์นส์ ไปยังเดือนกรกฎาคม โดยให้เหตุผลว่า เฮิร์นส์ได้รับอาการบาดเจ็บที่นิ้ว ท่ามกลางความคลางแคลงใจของแฟนมวยทั่วโลก

เหตุผลที่แท้จริงในการเลื่อนชกของเฮิร์นส์ เปิดเผยอย่างชัดเจนในเวลาต่อมา เมื่อเขายืนยันว่าจะไม่ขึ้นชกกับแฮ็กเลอร์ หากไม่เปลี่ยนสถานที่แข่งขันเป็นสนามซิลเวอร์โดม ที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ซึ่งเป็นโฮมทาวน์ของเฮิร์นส์ 

เมื่อรู้ว่าคู่แข่งกำลังคิดจะเอาเปรียบ มาร์วิน แฮ็กเลอร์ จึงปฏิเสธที่จะขึ้นชกตามคำขอของเฮิร์นส์ ผลสุดท้ายไฟต์ในฝันของแฟนมวยทั่วโลกจึงพังลงไม่เป็นท่า มีเพียงคำกล่าวจากแฮ็กเลอร์ที่ฝากไว้ถึงผู้ท้าชิงรายนี้ว่า "เฮิร์นส์มันกลัวที่จะสู้กับผม เขากลัวผมมาเสมอ และจะกลัวผมแบบนี้ต่อไป"

เส้นทางของโธมัส เฮิร์นส์ หลังจากหลบหนีการต่อสู้กับ มาร์วิน แฮ็กเลอร์ เขาไปได้สวยในรุ่นซูเปอร์ เวลเตอร์เวต ด้วยการคว้าแชมป์จากสมาคม WBC ในเดือนธันวาคมปี 1982 ก่อนป้องกันแชมป์กับ โรแบร์โต ดูราน อีกหนึ่งนักชกจากกลุ่ม The Fabulous Four ที่คราวนี้เฮิร์นส์งัดฟอร์มเทพ เล่นงานดูรานจนหมดท่าตั้งแต่ยกที่สอง กรรมการต้องสั่นระฆังยุติการแข่งขัน แบบแฟนมวยทั่วโลกไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

ทำไมแฟนมวยถึงไม่เชื่อสายตาตัวเอง? นั่นเพราะไฟต์ก่อนหน้านี้ของ โรแบร์โต ดูราน เขาเพิ่งต่อสู้กับ มาร์วิน แฮ็กเลอร์ ได้ครบ 15 ยก จนถูกยกย่องว่าเป็นคนที่ใกล้จะคว้าเข็มขัดแชมป์โลกมาจาก มาร์เวลัส ได้มากที่สุด

แต่ในอีกไม่กี่เดือนถัดมา กลับแพ้หมดท่าให้กับ โธมัส เฮิร์นส์ นักชกผู้ถูกตรงหน้าว่า ไม่กล้าแม้แต่จะสู้กับแฮ็กเลอร์

 5

ความพ่ายแพ้อันน่าอับอายครั้งนี้ของดูราน สวนทางกับความมั่นใจอันเต็มเปี่ยมของ โธมัส เฮิร์นส์ หลังชัยชนะช็อกโลก เขาประกาศท้าชิงแชมป์กับ มาร์วิน แฮ็กเลอร์ อย่างเป็นทางการ พร้อมส่งคำขู่ถึงคู่แข่งว่า "มาร์วิน แฮ็กเลอร์ คงจะกลัวผมจนตัวสั่น เหมือนกับใบไม้บนต้นไม้นั่นแหละ"

ได้ฟังแบบนั้น มีหรือมาร์วิน แฮ็กเลอร์ จะยอมได้ เขาตกลงขึ้นชกป้องกันแชมป์อันดิสพิวเดตรุ่นมิดเดิลเวต กับโธมัส เฮิร์นส์ ณ โรงแรมซีซาร์ พาเลซ เมืองลาส เวกัส รัฐเนวาดา วันที่ 15 เมษายน ปี 1985 พร้อมกับข้อความโปรโมตการชกหยุดโลกครั้งนี้ ว่า "เดอะ ไฟต์"

8 นาทีแห่งความเดือดดาล 

ในที่สุด วันที่แฟนมวยทั่วโลกรอคอยจึงมาถึง มาร์วิน แฮ็กเลอร์ ก้าวขึ้นเวทีพร้อมกับกางเกงสีดำ ส่วนผู้ท้าชิง โธมัส เฮิร์นส์ ขึ้นเวทีมาพร้อมกับกางเกงสีเหลือง อีกไม่กี่วินาทีข้างหน้า สถานีโทรทัศน์มากกว่า 600 แห่งทั่วโลก จะถ่ายทอดการพบกันระหว่างสองนักชกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์

 6

ทันทีที่เสียงระฆังดังขึ้น แฟนมวยทั่วโลกต้องอ้าปากค้าง มาร์วิน แฮ็กเลอร์ เดินหน้ารัวหมัดเข้าใส่ โธมัส เฮิร์นส์ แบบไม่ยั้ง ผิดวิสัยของเดอะ มาร์เวลัส ที่มักรอจังหวะเล่นงานคู่ต่อสู้ แต่ไม่ใช่กับการชกในวันนี้ เขาเดินหน้าใส่โธมัส เฮิร์นส์ โดยไม่เกรงกลัวความได้เปรียบทางสรีระของผู้ท้าชิงเลยแม้แต่น้อย

ผู้ชม 15,088 คน ส่งเสียงร้องไปทั่วสนาม พวกเขาไม่เคยรับชมการชกครั้งไหนที่ดุเดือดขนาดนี้มาก่อน ทุกคนในสนามกำลังมีความสุขไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ยกเว้น โธมัส เฮิร์นส์ ที่หลังพิงเชือกตั้งแต่ยกแรก โชคดีที่เขายังคุมสติไว้ได้ หมัดอัพเปอร์คัตขวาสวนใส่คางของแฮ็กเลอร์ ผู้ท้าชิงพลิกกลับมาได้เปรียบแชมป์โลกในเสี้ยววินาที

จังหวะนั้น หาก โธมัส เฮิร์นส์ เลือกที่จะดึงเกมให้ช้าลง, เล่นงานคู่ต่อสู้ด้วยการแย็บเบาๆ, อาศัยช่วงชกที่ยาวกว่ากอดแฮ็กเลอร์เมื่อเข้ามาใกล้ หรือทำอะไรก็ได้ที่จะทำให้เขาได้คะแนนจากข้อได้เปรียบทางร่างกาย ผลลัพธ์ที่จะได้รู้กันในอีกไม่ช้า อาจออกมาในอีกรูปแบบที่เราไม่มีวันได้เห็น

ด้วยศักดิ์ศรี, ความแค้น หรืออะไรก็แล้วแต่ โธมัส เฮิร์นส์ เปิดฉากแลกกับ มาร์วิน แฮ็กเลอร์ ผู้บ้าคลั่ง ทั้งสองสาวหมัดใส่กันแบบไม่มีใครยอมใคร ทั้งคู่ไม่ต้องการชนะคะแนน ชัยชนะแบบน็อกเอาต์เท่านั้นที่พวกเขาต้องการ

 7

หลังผ่านไปครึ่งยก หมัดขวาของแฮ็กเลอร์เล่นงานใส่เฮิร์นส์แบบเต็มคาง ผู้ท้าชิงเสียท่าอย่างเห็นได้ชัด เขาเซไปพิงเชือกและเริ่มเดินถอยออกจากการต่อสู้ แฮ็กเลอร์ไล่ล่าเหยื่อของเขาโดยไม่ระวัง เฮิร์นส์สวนหมัดขวาเข้าเต็มหน้าของแฮ็กเลอร์ เลือดไหลออกมาทันทีบริเวณจมูกของแชมเปี้ยน

ถึงจะเสียท่า แฮ็กเลอร์สามารถต้อนเฮิร์นส์จนเข้ามุมได้ สถานการณ์เป็นแบบนี้ตลอดช่วงนาทีสุดท้ายของยกแรก แฮ็กเลอร์รัวไม่ยั้งใส่ผู้ท้าชิงที่หลังพิงฝา ขณะที่เฮิร์นส์ออกอาวุธทุกอย่างเพื่อพาเขาออกจากมุม 

เมื่อเสียงระฆังหมดยกดังขึ้น ไม่มีการแตะหมัดของทั้งคู่ สายตาของแฮ็กเลอร์ที่มองเฮิร์นส์หลังหมดยก ยืนยันชัดเจนว่า การชกไฟต์นี้ไม่ใช่กีฬา มันคือการต่อสู้ ของมนุษย์สองคนที่เกลียดชังกันจริงๆ

ทันทีที่กลับเข้ามุม เฮิร์นส์ต้องเจอกับปัญหาใหญ่ มือขวาของเขาหักจนไม่สามารถออกหมัดได้อีกต่อไป เขาต้องออกมาชกในยกที่สองแบบใช้แทคติกมากขึ้น เฮิร์นส์พยายามอยู่วงนอก และแย็บหมัดซ้ายเพื่อทำคะแนนเท่านั้น

แต่เหมือนกับที่นักพากย์ในวันนั้นได้กล่าวไว้ "คุณสามารถเขวี้ยงแผนการทั้งหมดออกนอกหน้าต่างไปเลย" แฮ็กเลอร์เดินหน้าใส่เฮิร์นส์ไม่ยั้ง เสี่ยงสุดตัวเพื่อจะทำทุกอย่างที่จะน็อกเฮิร์นส์ให้ได้ 

การชกดำเนินมาถึงสามสิบวินาทีสุดท้ายของยกที่สอง แฮ็กเลอร์งัดไม้เด็ดที่กำลังจะชี้ขาดการชกครั้งนี้ในไม่ช้า เขาเปลี่ยนท่ายืนของตัวเองจากเซาธ์พอว์ หรือ การยืนแบบใช้หมัดซ้ายเป็นหมัดหลัก เป็นการยืนแบบออร์โธด็อกซ์ ที่ใช้หมัดขวาเป็นหมัดหลักแทน 

เฮิร์นส์ไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ทัน เขาถูกแฮ็กเลอร์ออกหมัดซ้ายขวา ชกบนชกล่างจนหลังพิงเชือก เฮิร์นส์ไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลยในช่วงเวลานั้น มีเพียงแค่เสียงระฆังที่ดังขึ้น ส่งเขาตั้งหลักใหม่ในยกที่ 3

 8

เสียงระฆังดังขึ้นอีกครั้ง แฮ็กเลอร์และเฮิร์นส์กลับมาสู่สงครามของพวกเขาอีกครั้ง เฮิร์นส์ยังเล่นแทคติกเดิมคืออยู่วงนอกและออกวิ่งเพื่อหาจังหวะชก แต่แล้วอยู่ดีๆเขาก็ขาอ่อนเกือบล้มไปกองกับพื้น เสียงจากความตกใจของผู้ชมดังขึ้นไปทั่วสนาม เฮิร์นส์เสียท่าและหนีการไล่ต้อนของแฮ็กเลอร์ไม่พ้น เขาจนมุมตั้งแต่เริ่มยก 3 ได้ไม่ถึงหนึ่งนาที

แฮ็กเลอร์วิ่งไล่ต้อนเฮิร์นส์อย่างบ้าเลือด เพราะว่าเลือดกำลังไหลอยู่ทั่วหน้าของแชมเปี้ยนจริงๆ เพื่อความปลอดภัยของแฮ็กเลอร์หรือเฮิร์นส์ก็ไม่ทราบได้ กรรมการแยกแฮ็กเลอร์ออก เพื่อเข้าพบแพทย์ข้างสนาม การชกที่กำลังถึงจุดไคล์แมกซ์ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง

ทันทีที่กรรมการให้สัญญาณ ทั้งสองเดินหน้าแลกหมัดกันอีกครั้ง เฮิร์นส์แย็บซ้ายใส่แฮ็กเลอร์เข้าอย่างจัง เขาได้ใจและเปิดช่องว่าง แฮ็กเลอร์สวนใส่ลำตัวของเฮิร์นส์ จนผู้ท้าชิงหลังพิงเชือก 

แฮ็กเลอร์ไล่ล่าเหยื่อของเขาต่อไป เฮิร์นส์ทำอะไรไม่ได้อีกนอกจากยิ้มเยาะเย้ย แชมเปี้ยนส่งฮุกขวาของเขาเล่นงานเฮิร์นส์อีกสองครั้ง การต่อสู้ไฟต์นี้จึงยุติลง

เฮิร์นส์ลงไปนอนกับพื้นแบบหมดสภาพ ไม่ต้องนับให้เสียเวลา กรรมการสั่งยุติการชกในยกที่ 3 มาร์วิน แฮ็กเลอร์ ป้องกันแชมป์โลกรุ่นมิดเดิลเวตของเขาเอาไว้ได้ มันเป็นการน็อกเอาต์ครั้งที่ 10 จากการป้องกันแชมป์ครั้งที่ 11 ของเขา นี่คือความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของ มาร์วิน "มาร์เวลัส" แฮ็กเลอร์

 9

สำหรับ โธมัส เฮิร์นส์ ในวินาทีนั้น เขาคือนักชกที่พ่ายแพ้ในเวลาไม่ถึง 8 นาที แต่เขาไม่มีทางรู้เลยว่า ความพ่ายแพ้ครั้งนั้นของเขามีความหมายต่อวงการมวยอย่างไร การชกยกแรกในไฟต์ดังกล่าวถูกขนานนามว่า "ยกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในประวัติศาสตร์มวยสากล" และการชกตลอดแปดนาทีที่ผ่านมา ถูกตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "แปดนาทีแห่งความเดือดดาล"

นับจากวันนั้นเป็นต้นมา การพบกันระหว่าง มาร์วิน แฮ็กเลอร์ และ โธมัส เฮิร์นส์ จึงไม่ถูกเรียกในชื่อ "เดอะ ไฟต์" เหมือนกับที่โฆษณาก่อนการชกอีกต่อไป การต่อสู้ระหว่าง มาร์วิน แฮ็กเลอร์ และ โธมัส เฮิร์นส์ ถูกขนานมามใหม่ว่า "เดอะ วอร์" สงครามเพียงครั้งเดียวที่เคยเกิดขึ้นบนเวทีมวยสากลอาชีพ และยังคงถูกพูดถึงแม้เวลาผ่านมานานกว่าสามสิบปี

"ผมอยากจะมอบคำชมจากคนทั้งโลกนี้ให้กับทอมมี (เฮิร์นส์) เขาทำในสิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ หากเขาต้องการคว้าอะไรบางสิ่งออกมาจากแชมเปี้ยน" มาร์วิน แฮ็กเลอร์ กล่าวชื่นชมผู้ท้าชิงของเขา 

"ผมจะพูดอะไรได้อีกล่ะ? มันเป็นแมตช์ที่ดีที่สุดของพวกเราทั้งคู่ แน่นอนว่ามันเจ็บปวด แต่ลูกผู้ชายตัวจริงแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของเขาแล้วในคืนนั้น" โธมัส เฮิร์นส์ กล่าวรำลึกถึงความทรงจำที่มีค่าที่สุดในชีวิตนักมวยของเขา

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ

อัลบั้มภาพ 9 ภาพ ของ "แฮ็กเลอร์ vs เฮิร์นส์" มวยที่ชกกันแค่ 8 นาที แต่ถูกยกย่องว่าดุเดือดที่สุดในประวัติศาสตร์

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook