Nike & ลิเวอร์พูล vs New Balance เรื่องรัก 3 เส้าดั่งเพลง "ขอบฟ้า" ของ Bodyslam

Nike & ลิเวอร์พูล vs New Balance เรื่องรัก 3 เส้าดั่งเพลง "ขอบฟ้า" ของ Bodyslam

Nike & ลิเวอร์พูล vs New Balance เรื่องรัก 3 เส้าดั่งเพลง "ขอบฟ้า" ของ Bodyslam
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การต่อสู้แย่งชิงสิทธิ์ในการเป็นสปอนเซอร์ชุดแข่งของ ลิเวอร์พูล แชมป์ยุโรป 6 สมัย ระหว่าง 2 แบรนด์อเมริกันอย่าง New Balance และ Nike ดุเดือดจนถึงขั้นต้องขึ้นโรงขึ้นศาล

ภายใต้อนาคตที่สดใสของทัพหงส์แดง ทั้งสองแบรนด์จึงสู้ตายหวังพิชิตใจ... ทว่าเกมนี้มีผู้ชนะได้เพียงคนเดียวจึงทำให้มี 1 แบรนด์ที่ต้องยอมปล่อยมือทั้งที่ไม่เต็มใจ

ติดตามเรื่องราวรัก 3 เส้าของ 2 แบรนด์กับ 1 สโมสรฟุตบอลทั้งหมดได้ที่นี่ 

 

เรื่องราวจากวันพลิกฟื้น

หลังจากคว้าแชมป์ยุโรปสมัย 5 ในปี 2005 และแชมป์ เอฟเอ คัพ สมัย 7 ในปีถัดมา ... ลิเวอร์พูล ต้องประสบพบเจอกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก มีเพียงถ้วย คาร์ลิ่ง คัพ (ลีก คัพ) ปี 2012 รายการเดียวเท่านั้นที่เป็นความสำเร็จที่จับต้องได้ แม้พวกเขาจะมีนักเตะที่ยอดเยี่ยม ทว่าที่สุดแล้วเมื่อทีมฟุตบอลพิสูจน์กันด้วยถ้วยแชมป์ ดังนั้นจึงปฎิเสธไม่ได้ว่า ลิเวอร์พูล อยู่ในช่วงขาลงเต็มรูปแบบ

 1

สิ่งที่ลิเวอร์พูลสูญเสียจากการตกต่ำหลังจากเข้าปลายยุคมิลเลนเนียม ได้แก่การสูญเสียภาพลักษณ์ที่เคยเป็นจุดขายในอดีต อย่าง "Red Machine" หรือ "เครื่องจักรสีแดง" ที่หมายถึงการเป็นทีมเล่นเกมรุกไล่บดขยี้ตลอด 90 นาที ทว่ามีสิ่งที่มากกว่านั้นคือการสูญเสียมูลค่าทางการตลาดที่ ลิเวอร์พูล แพ้ให้กับทีมอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า ราบคาบ ซึ่งจุดนี้ถือว่าสำคัญมากเพราะหลังจากเข้าสู่ปี 2000 ขึ้นไป โลกฟุตบอลได้เปลี่ยนมาเป็นโลกทุนนิยมเต็มตัว ทีมที่ดีจะกลายเป็นทีมที่ขายได้ ซึ่งทั้ง 3 ทีมที่กล่าวมาในข้างต้นล้วนแต่ชิงส่วนแบ่งการตลาดไปได้มากที่สุด

ยูไนเต็ด เปลี่ยนสปอนเซอร์หน้าอกแต่ละครั้งได้เงินทองเป็นกอบเป็นกำมากมาย ไม่ว่าจะโลโก้หน้าอกเสื้อที่ไล่มาตั้งแต่ Vodafone, AIG จนมาถึง Chevrolet ในปัจจุบัน หรือแม้แต่ชุดแข่งจาก Nike สู่ adidas ขณะที่ มาดริด ผูกขาดกับ adidas และ บาร์เซโลน่า ก็จับคู่กับ Nike ซึ่งทั้ง 3 ทีมได้กลายเป็นทีมชูโรงของทั้ง 2 แบรนด์มาโดยตลอด

ด้านลิเวอร์พูลเอง ก็เป็นทีมที่ใช้ผลงานเรียกสปอนเซอร์ได้เหมือนกัน เพราะหลังจากคว้าแชมป์เอฟเอคัพในปี 2006 พวกเขาหมดสัญญากับสปอนเซอร์เก่าอย่าง Reebok พอดี และด้วยกระแสที่ร้อนแรงบวกกับความสำเร็จที่จับต้องได้ แบรนด์กีฬาแบรนด์ใหญ่อย่าง adidas ก็พร้อมเข้ามารับช่วงต่อทันที (แม้มองมุมหนึ่งมันจะเหมือนเรือล่มในหนอง เนื่องจาก adidas ซื้อกิจการของ Reebok ไปตั้งแต่ปี 2005 แล้ว)

 2

เหตุการณ์นี้คล้ายๆ เมื่อครั้งอดีต เพราะเดิมที adidas คือสปอนเซอร์เสื้อแข่งให้กับ ลิเวอร์พูล เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1985 หลังจากที่ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยุโรปมาแล้ว 4 สมัย ก่อนจะอยู่บนหน้าอกเสื้อของหงส์แดงเป็นเวลาถึง 11 ปี จนถึงปี 1996 เลยทีเดียว

เหตุการณ์ซ้ำเดิมแทบทุกอย่าง adidas มาสานต่อหลังทีมหงส์แดงคว้าความสำเร็จอีกครั้ง โดยเมื่อเข้าสู่ฤดูกาล 2006-07 adidas กับ ลิเวอร์พูล ตกลงที่ ราคา 12 ล้านปอนด์ ต่อ ฤดูกาล เป็นระยะเวลา 6 ปี ... 

หนนี้เป็นอีกครั้งที่ adidas ผิดพลาด เพราะหลังจากพวกเขาเข้ามาสนับสนุนด้วยสัญญา 6 ปีนั้น กลับกลายเป็น 6 ปีที่ว่างเปล่าของลิเวอร์พูล ... หงส์แดงคว้าแชมป์เข้าสู่ตู้เก็บโทรฟี่ได้เพียงใบเดียว แถมสไตล์การเล่นก็น่าเบื่อซ้ำซาก พร้อมจะแพ้และชนะให้กับทุกๆ ทีม ไม่มีมาตรฐานใดๆ ที่ adidas เห็นว่าควรจะลงทุนต่อกับพวกเขาหลังจากครบวาระ 6 ปี ... ลำพังฟอร์มไม่ดียังไม่เท่าไหร่เพราะยังมีฐานแฟนบอลอยู่ทั่วโลก ทว่าสิ่งที่ adidas ล้มโต๊ะต่อสัญญาก็เพราะว่า ลิเวอร์พูล ต้องการเงินสนับสนุนที่มากกว่าเดิม...

เฮอร์เบิร์ต ไฮเนอร์ ซีอีโอของ adidas ในขณะนั้นให้สัมภาษณ์เป็นเชิงตำหนิลิเวอร์พูลว่า เรียกเงินค่าสปอนเซอร์มากเกินไป ทั้งที่ผลงานในสนามช่วงหลังไม่ดีนัก ฟุตบอลยุโรปก็ได้ไปบ้างไม่ได้ไปบ้าง ทางฝ่ายตนจึงตัดสินใจที่จะไม่ต่อสัญญาเป็นสปอนเซอร์ชุดแข่งออกไป

 3

"ความแตกต่างระหว่างผลงานในสนามกับจำนวนเงินที่เขาเรียกเรา มันไม่สมดุลกันเท่าไหร่ จากนั้นผมเลยบอกว่า โอเค เราจะไม่ต่อสัญญานี้ออกไป เป็นอันจบเรื่อง" ซีอีโอแบรนด์สามแถบ กล่าว

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เพราะหลังจากเข้าสู่ปลายยุค 2000's ฟุตบอลเข้าสู่ยุคการตลาดเต็มตัว คนทั่วโลกมีช่องทางในการดูฟุตบอล หรือติดตามฟุตบอลผ่านโซเชี่ยลเน็ตเวิร์กหรืออินเตอร์เน็ตมากขึ้น ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรนักที่ ลิเวอร์พูล จะขอเรียกเงินเพิ่มจาก adidas ซึ่งเมื่อตกลงกันไม่ได้ก็ไม่มีทางอื่นนอกจากจะแยกย้ายและหาแบรนด์ใหม่เข้ามาสนับสนุน

การแสดงออกของ adidas บ่งบอกถึงความเสี่ยงในการลงทุนกับ ลิเวอร์พูล ที่ส่งสัญญาณเตือนถึงแบรนด์อื่นๆ ที่คิดจะเข้ามาว่าจะต้องทบทวนให้ดีว่าจะคืนทุนหรือไม่ ... และถึงแม้ดูจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายไม่น่าจดจำ แต่ ลิเวอร์พูล ก็ใช้ความเหนือชั้นในการเจรจาและได้สปอนเซอร์เสื้อแข่งใหม่เข้ามาแทนสำหรับฤดูกาล 2012-13 

และหวยก็ออกที่ Warrior Sports แบรนด์กีฬาหน้าใหม่สัญชาติอเมริกันที่เข้ามาพร้อมแบกความเสี่ยงครั้งนี้

No pain No gain 

Warrior Sports (จากนี้จะขอเรียกแค่ Warrior) เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1992 โดยอดีตนักกีฬา ลาครอส ที่น้อยคนจะรู้จักอย่าง เดวิด มอร์โรว์ แรกเริ่มเดิมทีนั้นวนเวียนกับการสนับสนุนทีม ไอซ์ ฮ็อคกี้ และอเมริกันเกมส์ต่างๆ จนกระทั่งในปี 2012 พวกเขาต้องการเข้ามาเพิ่มสินค้าในส่วนของ "ซอคเก้อร์" 

พวกเขาสอดส่องหาทีมที่เหมาะสมที่สุดที่ตนจะเข้ามาดูเรื่องเสื้อแข่ง และในเวลานั้นไม่มีอะไรจะเหมาะไปกว่า ลิเวอร์พูล ที่กำลังว่างพอดิบพอดีอีกแล้ว...

 4

Warrior ไม่สนค่าความเสี่ยงใดๆ ทั้งสิ้น พวกเขาเข้ามาสนับสนุน ลิเวอร์พูล พร้อมด้วยสัญญาก้อนใหญ่ด้วยข้อเสนอปีละ 25 ล้านปอนด์ ซึ่ง ณ เวลานั้นไม่มีทีมใดในอังกฤษได้จากสปอนเซอร์ชุดแข่งมากกว่านี้อีกแล้ว เพราะก่อนหน้านี้มากที่สุดคือ Nike ที่จ่ายให้ ยูไนเต็ด ปีละ 23.5 ล้านปอนด์ต่อปีเท่านั้น

บอร์ดบริหารของลิเวอร์พูล เปิดใจถึงเรื่องดังกล่าวว่าข้อเสนอของ Warrior นั้นปฎิเสธไม่ได้ เพราะมันมากกว่าที่พวกเขาเคยได้จาก adidas ถึง 2 เท่า และนั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสอง

ช่วงที่ Warrior เข้ามานั้น ลิเวอร์พูล ผลงานดีขึ้นตามลำดับนับตั้งแต่ยุค เบรนแดน ร็อดเจอร์ส ที่ทำทีมได้รองแชมป์พรีเมียร์ลีกฤดูกาล 2013-14 แม้จะโดนโจมตีเรื่องดีไซน์อยู่บ้าง โดยเฉพาะชุดเยือนของฤดูกาล 2013-14 ที่ได้รับการขนานนามว่า "หนึ่งในชุดฟุตบอลที่เลวร้ายที่สุดตลอดกาล" ก็ตาม

ด้วยทิศทางที่ดีขึ้น บริษัทแม่ของ Warrior อย่าง New Balance ที่เข้าซื้อกิจการไว้ตั้งแต่ปี 2004 ก็ประกาศว่ากำลังจะเข้าสู่ตลาดฟุตบอลเหมือนกัน จึงได้เข้ามาเทคโอเวอร์พื้นที่บนอกข้างขวาแทนที่ของ Warrior และจ่ายให้ลิเวอร์พูลเพิ่มเติมถึง 300 ล้านปอนด์ เป็นสถิติสูงสุดของพรีเมียร์ลีกในขณะนั้นทันที

 5

และดูเหมือนทั้งคู่จะมีดวงสมพงษ์กัน เพราะ New Balance นั้นมาพร้อมๆ กับจุดเริ่มต้นคัมแบ็คสู่ความยิ่งใหญ่ของ ลิเวอร์พูล อย่างแท้จริง เมื่อทัพหงส์แดงขยับอันดับในตารางได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2015 เป็นต้นมา และมีความหวังที่สดใสสุดๆ ในฤดูกาล 2017-18 ที่ ทีมเข้าไปถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ด้วยสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ จนกระทั่งทุกอย่างมาพีกถึงขีดสุดในฤดูกาล 2018-19 ที่ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยุโรปสมัย 6 พร้อมด้วยการขับเคี่ยวกับ แมนฯ ซิตี้ จนถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาลและจบด้วยการเป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีก

ยอดขายเสื้อของ ลิเวอร์พูล ขยับจาก 854,000 ตัวในฤดูกาล 2017-18 จนกระทั้งตอนนี้พวกเขาขายเสื้อแข่งได้ถึงปีละ 1.5 ล้านตัว มากกว่าเดิม 76% จากปีที่แล้ว และมากกว่าคู่แข่งอย่าง แมนฯ ยูไนเต็ด ถึง 3 เท่า

ยุคทำเงิน

ยิ่งเวลาผ่านไป ลิเวอร์พูล ก็แสดงความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ แม้จะเป็นผลดีต่อ New Balance แต่มันก็ไม่ได้ยืนยงตลอดไปเพราะในเดือน มิถุนายน ปี 2020 พวกเขาจะหมดสัญญากับ ลิเวอร์พูล พอดี 

 6

ทาง New Balance เห็นเส้นทางการต่อยอดจึงอยากจะต่อสัญญาสนับสนุนออกไป ทว่าตอนนี้ ลิเวอร์พูล เนื้อหอมเกินไป เมื่อตั้งโต๊ะเจรจากันแล้วกลับกลายเป็นว่า New Balance ตกลงกันไม่ได้โดยว่ากันว่า ลิเวอร์พูล ตั้งเป้าไว้ที่ปีละ 75 ล้านปอนด์ สำหรับสัญญาฉบับใหม่

เมื่อ New Balance มีท่าทางไม่สู้ แบรนด์ดังอย่าง Nike รีบมาเคาะประตูหลังรู้ข่าว พร้อมยื่นข้อเสนอให้กับ ลิเวอร์พูล ด้วยข่าวลือว่าข้อเสนอนั้นจะมีมูลค่ามากกว่าที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้จาก adidas ปีละ 75 ล้านปอนด์ ซึ่งเป็นสถิติปัจจุบันของเกาะอังกฤษอีกด้วย 

เหตุผลที่ Nike กล้าทุ่ม เนื่องจากพวกเขาต้องการกลับมามีอิทธิพลในพรีเมียร์ลีกให้ได้ เนื่องจากเมื่อไม่นานมานี้ แมนฯ ซิตี้ ก็เพิ่งจะหมดสัญญาที่ผูกพันกับพวกเขาและย้ายไปเซ็นกับ PUMA ทำให้ Nike เหลือทีมในพรีเมียร์ลีกในมือเพียงแค่ 3 ทีมเท่านั้นได้แก่ เชลซี, สเปอร์ส และ ไบรท์ตัน ขณะที่ adidas มีในมือถึง 6 ทีมนำโดยทีมอย่าง อาร์เซน่อล, แมนฯ ยูไนเต็ด และ เลสเตอร์  

การโดน Nike เกทับครั้งนี้ เหมือนกับ New Balance จะรู้ว่าพวกเขากำลังจะเสียประโยชน์ เพราะกราฟพัฒนาการของ ลิเวอร์พูล ในตอนนี้มีแต่จะพุ่งขึ้นเท่านั้น ข้อเสนอทั้งหมดจึงถูกกลับมาทบทวนใหม่อีกครั้ง และก็โป๊ะเช๊ะจนได้ เมื่อสัญญาที่เคยลงไว้ร่วมกันระบุว่า ทาง New Balance มีสิทธิ์ที่จะยื่นข้อเสนอเทียบเท่าคู่แข่งรายอื่นที่ยื่นข้อเสนอมูลค่ามากที่สุดเข้ามา และจะทำให้พวกเขาได้เป็นสปอนเซอร์ชุดแข่งต่อเนื่องทันที

"New Balance ภาคภูมิใจในฐานะผู้สนับสนุนลิเวอร์พูลตั้งแต่ปี 2012 และเราทำลายสถิติเรื่องนี้ รวมทั้งยังทำลายสถิติยอดขายของลิเวอร์พูลถึง 2 ครั้ง เราจะต่อสัญญาใหม่กับทีมในปี 2020 ด้วยเงื่อนไขจากสัญญาฉบับเดิม ซึ่งเท่ากับที่ทาง Nike เสนอ" แถลงการณ์จาก New Balance ว่าไว้เช่นนั้น 

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ออกแนวไปแล้วไปเลย นิตยสาร Forbes ระบุว่า New Balance กลับตัวช้าไปเพราะ ลิเวอร์พูล ตกลงกับ Nike ไปแล้ว และจะได้เงินในระดับที่เทียบเท่าหรือมากกว่าที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ได้จาก adidas อีกด้วย โดยมีการกล่าวอ้างว่า ผู้บริหารหงส์แดงมองว่า ช่องทางการตลาดของลิเวอร์พูลจะครอบคลุมตลาดทั่วโลกมากกว่าหากมี Nike เป็นผู้สนับสนุน 

นั่นจึงเป็นที่มาของการฟ้องร้องของ New Balance พวกเขาดำเนินเรื่องตามกฎหมายและสั่งฟ้อง ลิเวอร์พูล กับศาลในกรุงลอนดอน และการฟ้องร้องครั้งนั้นทำให้ดีลระหว่าง ลิเวอร์พูล และ Nike ที่คุยกันไว้ดิบดีก่อนหน้านี้ต้องถูกชะลอการเปิดตัวไป

การต่อสู้บนชั้นศาล

Nike, New Balance และ ลิเวอร์พูล หาข้อยุติกันไม่ได้จึงต้องให้ศาลเป็นผู้ตัดสินว่า ใครกันแน่จะได้ถือลิขสิทธิ์ชุดแข่งของแชมป์ยุโรปปี 2019 ในฤดูกาล 2020-21 เป็นต้นไป

 7

การตัดศิลในชั้นศาลเป็นไปอย่างดุเดือด New Balance งัดข้อตกลงเก่าที่เคยว่ากันไว้เมื่อปี 2012 เพื่อเป็นตัวชูโรง แต่เมื่ออยู่บนชั้นศาล สัญญาดังกล่าวหมดประโยชน์ เพราะว่า Nike ก้าวนำหน้า New Balance ไปอีกขึ้นแล้ว

"ข้อเสนอของ New Balance ทางด้านการตลาดนั้นเอื้อประโยชน์ให้กับสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลน้อยกว่าข้อเสนอของ Nike” นี่คือสิ่งที่ผู้พิพากษาระบุ 

ใจความในข้อความนี้คือ สัญญาเก่าของ New Balance หมดสิ้นพลัง เพราะ Nike นั้นไม่ได้จ่ายเทียบเท่ากับพวกเขาอย่างที่ได้ระบุไว้ แต่ Nike จ่ายมากกว่า ... แม้มูลค่าสัญญาเริ่มต้นของแบรนด์ตรา Swoosh จากรายงานของหลายสื่อจะอยู่ที่เพียงราว 30 ล้านปอนด์เท่านั้น แต่หากรวมเงินค่าลิขสิทธิ์ที่ Nike จะต้องจ่ายในการผลิตสินค้าต่างๆ ที่ประทับโลโก้ของสโมสร, ส่วนแบ่งยอดขายสินค้าที่ระลึก และโบนัสจากผลงานในสนาม จะทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ประโยชน์มากกว่าการต่อสัญญากับ New Balance อย่างเทียบกันไม่ได้ทันที แถมตัวเลขยังถือว่าสูสีกับที่ ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาลได้จาก adidas อีกเช่นกัน

มิหนำซ้ำ ลิเวอร์พูลยังช่วย Nike เสริมด้วยว่า หากพวกเขาเซ็นสัญญากัน ทีมจะได้ประโยชน์จากเหล่าไอคอนที่ร่วมชายคา Nike ไม่ว่าจะเป็น เลบรอน เจมส์ ที่ปัจจุบันก็ถือหุ้นส่วนหนึ่งของสโมสรอยู่แล้ว, เซรีน่า วิลเลี่ยมส์ หรือแม้แต่ เดรก นักร้องฮิปฮอปชื่อดัง ที่ Nike จะส่งมาช่วยโปรโมทสินค้าให้ และที่สำคัญกว่าคือทีมจะเติบโตด้านการตลาดและโฆษณามากกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว

"Nike ให้คำมั่นสัญญาในเรื่องการวางขายสินค้าของสโมสร ด้วยจำนวนร้านค้ามากกว่า 6,000 ร้านทั่วโลก" ตันแทนฝั่งลิเวอร์พูลกล่าว

ขณะที่ แดเนี่ยล เอาด์เคิร์ก ตัวแทนของ New Balance ก็แย้งว่าพวกเขามีแผนจะเปิดร้านค้ามากกว่า 40,000 แห่งในอนาคต แม้จะเป็นจำนวนที่มาก แต่ ลิเวอร์พูล ก็ตอบกลับว่า "40,000 ร้านนั้นเป็นเรื่องที่เพ้อฝัน" เพราะเป็นเพียงโครงการที่วางไว้เท่านั้นและยังไม่เกิดขึ้นจริง ส่วนเรื่องที่พวกเขาสัญญาว่าจะเอาไอคอนของแบรนด์มาช่วยโปรโมทด้วยเช่นกันนั้น หากนับกันจริงๆ ทาง New Balance มีนักกีฬาที่สามารถใช้คำว่า "หน้าตา" ได้เพียงแค่ คาวาย เลียวนาร์ด กับ โคโค่ กอฟฟ์ เท่านั้นเอง

สุดท้ายศาลก็ตัดสินให้ Nike และ ลิเวอร์พูล เป็นฝ่ายชนะคดีนี้ไป ซึ่งทาง BBC รายงานว่า ลิเวอร์พูล มีค่าใช้จ่ายในชัยชนะครั้งนี้ถึง 555,000 ปอนด์เลยทีเดียว 

 8

"ลิเวอร์พูล ไม่จำเป็นต้องตกลงกับข้อเสนอของ New Balance อีกแล้ว ตอนนี้เรากับ New Balance จะทำงานร่วมกันสำหรับฤดูกาลปัจจุบัน นอกจากนี้เราจะเตรียมพร้อมสำหรับฤดูกาลต่อไปร่วมกับซัพพลายเออร์ใหม่ของเราด้วย" โฆษกของ ลิเวอร์พูล กล่าวอย่างพอใจ 

ขณะที่ผู้แพ้คดีอย่าง New Balance นั้นต้องคอตกและผิดหวังกับการติดสินครั้งนี้ รวมถึงอนาคตอันสดใสที่รออยู่

"เราเชื่อว่าหากได้ทำงานร่วมกับ ลิเวอร์พูล ต่อไป จะเป็นการจบคู่ที่ยอดเยี่ยมและจะส่งผลให้ยอดขายชุดแข่งในฤดูกาลต่อๆไปทำลายสถิติไปอีกมากมาย" โฆษกของฝั่ง New Balance กล่าวกับ BBC 

ไม่แปลกที่ New Balance จะผิดหวัง เพราะพวกเขาอยู่กับ ลิเวอร์พูล ในช่วงของการคัมแบ็คสู่ความยิ่งใหญ่ ทว่าเมื่อ หงส์แดง มาถึงฝั่งแล้วพวกเขากลับถูกปล่อยมือไป และการปล่อยมือครั้งนี้ทำให้บริษัทเสียรายได้มากมาย และโอกาสเติบโตทางการตลาดอันมหาศาลที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ในขณะนี้ ลิเวอร์พูล คือแบรนด์ที่ช่วยให้ New Balance เป็นที่รู้จักของแฟนกีฬาทั่วโลกอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตามเราไม่อาจจะโทษลิเวอร์พูลได้โดยตรง เพราะทุกคนมีสิทธิ์เลือกสิ่งที่ดีกว่า ลิเวอร์พูล ในตอนนี้แกร่งรอบด้านทั้งในและนอกสนาม ไม่แปลกที่พวกเขาจะปล่อยมือ New Balance ไปสู่ Nike แบรนด์ใหญ่ที่พวกเขาเชื่อว่าพร้อมจะจับมือไปสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่อีกก้าวร่วมกัน 

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ

อัลบั้มภาพ 8 ภาพ ของ Nike & ลิเวอร์พูล vs New Balance เรื่องรัก 3 เส้าดั่งเพลง "ขอบฟ้า" ของ Bodyslam

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook