ไขคำตอบจากวิทยาศาสตร์ : ทำไมลูกโค้งของ เดวิด เบ็คแฮม จึงไม่เหมือนใครในโลก

ไขคำตอบจากวิทยาศาสตร์ : ทำไมลูกโค้งของ เดวิด เบ็คแฮม จึงไม่เหมือนใครในโลก

ไขคำตอบจากวิทยาศาสตร์ : ทำไมลูกโค้งของ เดวิด เบ็คแฮม จึงไม่เหมือนใครในโลก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

“ในหัวของพวกเขา (เบ็คแฮม) จะต้องมีการคำนวนหาวิถีที่มีรายละเอียดอย่างมากในไม่กี่วินาที ซึ่งเกิดขึ้นจากสัญชาตญาณและการฝึกฝน ในขณะที่คอมพิวเตอร์ของเราใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการทำสิ่งเดียวกัน” ดร. คีธ ฮานนา นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาลูกยิงของ เดวิด เบ็คแฮม อดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษกล่าว

“แม้ว่าเราจะสามารถอธิบายหลักทางวิทยาศาสตร์ในสิ่งที่เขาทำออกมาได้ แต่มันก็ยังมหัศจรรย์ที่ได้เห็น” 

ในยุคหนึ่งฟรีคิกของ เดวิด เบ็คแฮม ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพ หากอยู่ในระยะทำการ น้อยมากที่ผู้รักษาประตูคู่แข่งจะรับมือได้ 

ในเชิงสถิติเขาอาจจะเป็นรอง จูนินโญ แปร์นัมบูกาโน ที่เป็นเจ้าของตำแหน่งนักเตะที่ยิงฟรีคิกได้มากที่สุดในโลก แต่ความอันตรายอาจจะไม่แพ้กัน เพราะมันทั้งแรง ทั้งเร็ว และที่สำคัญมันยังมีแนวโค้งที่เป็นเอกลักษณ์ จนยากจะเลียนแบบ 

เขาทำได้อย่างไร ร่วมหาคำตอบไปพร้อมกับ Main Stand

นักเตะเท้าชั่งทอง 

แม้ว่าในโลกใบนี้ จะมีผู้เล่นที่ยิงฟรีคิกได้อยู่มากมาย แต่มีนักเตะจำนวนเพียงจำนวนหยิบมือที่จะเป็นที่จดจำในฐานะ “จอมเตะฟรีคิก” และ เดวิด เบ็คแฮม ก็สามารถนำชื่อของตนเข้าเป็นหนึ่งในนั้น 


Photo : www.vancouversun.com

เขาเริ่มสร้างชื่อจากดาวรุ่งชุด “คลาส ออฟ ‘92” ของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก่อนจะได้รับการยกย่องว่าเป็นปีกขวาที่เปิดบอลได้แม่นที่สุดในเกาะอังกฤษ การันตีได้จากจำนวน 80 แอสซิสต์ที่ทำได้ในพรีเมียร์ลีก และโยกย้ายไปค้าแข้งในต่างแดนกับหลายทีมดัง ทั้ง เรอัล มาดริด, แอลเอ กาแล็กซี, เอซี มิลาน และ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง

ในขณะเดียวกัน ฝีไม้ลายมือในการเล่นลูกตั้งเตะของเขาก็เป็นที่ครั่นคร้ามในยุโรป มันคือหนึ่งในอาวุธที่ทรงอานุภาพของเบ็คแฮม ไม่ว่ายามลงเล่นให้กับสโมสร หรือรับใช้ทีมชาติอังกฤษ 

เขาเป็นเจ้าของสถิตินักเตะที่ยิงฟรีคิกได้มากที่สุดตลอดกาลในพรีเมียร์ลีกด้วยจำนวน 18 ประตู และอันดับ 5 ของโลก ด้วยจำนวน 66 ประตูตลอดชีวิตการค้าแข้ง ตามหลังอันดับ 1 อย่างจูนินโญ อยู่ 11 ประตู  

นอกจากนี้ เขามักจะยิงฟรีคิกในช่วงเวลาสำคัญได้เสมอ ที่ทำให้ประตูที่เกิดขึ้นจากปลายสตั๊ดของเขาล้วนน่าจดจำ ไม่ว่าจะเป็น ฟรีคิกที่ยิงใส่บาร์เซโลนา ในยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 1998-99 ซึ่งเป็นปีที่ปีศาจแดงคว้าทริปเปิลแชมป์ หรือฟรีคิกยิงตีเสมอกรีซในช่วงทดเจ็บ ที่ช่วยให้อังกฤษการันตีเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้าย 


Photo : www.telegraph.co.uk

ทั้งนี้ สิ่งหนึ่งที่ทำให้ฟรีคิกของเบ็คแฮม มีความอันตรายคือลูกโค้งที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา ประตูที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ หากไม่โค้งหนีมือผู้รักษาประตู ก็จะเป็นลูกโค้งอ้อมกำแพงแล้วเสียบเสาเข้าไปทั้งสิ้น 

“สิ่งที่น่าเหลือเชื่อเกี่ยวกับฟรีคิกของเบ็คแฮมคือเป็นการผสมผสานกันของการปั่นไซด์และความแรง มันเป็นเทคนิคที่ยอดเยี่ยม เขาถอยออกมาเพียงหนึ่งหรือสองเมตร ก็สามารถยิงได้รุนแรงขนาดนั้น” โรนัลด์ คูมัน หนึ่งในจอมเตะฟรีคิกกล่าวกับ Independent
อะไรอยู่เบื้องหลังความสามารถนี้

แมกนัส เอฟเฟค 

เบ็คแฮมเป็นหนึ่งในนักเตะที่ชอบยิงลูกโค้งมากที่สุดในโลก เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ของประตูจากลูกฟรีคิกที่เขาทำได้ ล้วนเกิดมาจากการ “ปั่นโค้ง” แทบทั้งสิ้น 


Photo : sports.yahoo.com

ทั้งประตูแรกในนามทีมชาติอังกฤษ ที่ยิงโคลอมเบียในฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส หรือประตูที่ยิงบาร์เซโลนาในรอบแบ่งกลุ่ม UCL ปีเดียวกัน ก็มาจากลูกโค้งข้ามกำแพงแล้วหนีมือผู้รักษาประตูเข้าไป

ลูกโค้งของเขามีชื่อเสียงมาก ถึงขนาดในปี 2002 มีภาพยนตร์ที่ชื่อว่า “Bend it like Beckham” ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่เขาซึ่งเป็นที่จดจำจากการปั่นฟรีคิกไซด์โค้งเพื่อทำประตูเลยทีเดียว   

อย่างไรก็ดี ฟรีคิกที่เป็นเอกลักษณ์ของเบ็คแฮมไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ มันสามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ ที่เรียกกันว่าปรากฎการณ์ แมกนัส เอฟเฟค 

แมกนัส เอฟเฟค เป็นปรากฎการณ์ที่ค้นพบโดย เฮนริค กุสตาฟ แม็กนัส นักวิจัยชาวเยอรมัน โดยเมื่อลูกบอล “หมุน” แหวกผ่านอากาศอย่างรวดเร็วนั้น มันจะดึงเอาอากาศที่อยู่รอบตัวหมุนไปด้วย 

และในขณะที่ลูกบอลหมุน อากาศที่เคลื่อนที่ผ่านลูกบอลซีกหนึ่งจะเคลื่อนที่เร็วขึ้น ส่วนอีกฟากหนึ่งจะเคลื่อนที่ช้าลง ฝั่งที่เคลื่อนที่เร็วจะมีแรงดันน้อยกว่า จึงทำให้ลูกบอลวิ่งออกไปเป็นวิถีโค้ง 

ทั้งนี้ เคยมีคนพิสูจน์ทฤษฎีนี้ด้วยการโยนลูกบาสจากเขื่อนที่สูงหลายร้อยเมตร โดยครั้งแรกเขาโยนมันลงไปตรงๆ ซึ่งทำให้ลูกบาสตกลงมาตรงๆ ไม่ได้เคลื่อนที่ไปจากจุดที่โยนมากนัก 

ต่อมาเขาลองหมุนลูกบาสเข้าหาตัว แล้วค่อยปล่อยมือพบว่า ลูกบาสสามารถเดินทางในอากาศได้นานขึ้น ก่อนจะลอยไปตกในจุดที่ไกลกว่าจุดปล่อยหลายเมตร 

“มันเป็นหลักฟิสิกส์ของลูกฟุตบอลที่เหมือนกับลูกโค้งของลูกบอลชนิดอื่น” ลู บลูมฟิลด์ ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์ แห่งมหาวิทยาลัย เวอร์จีเนีย และเจ้าของผู้แต่งหนังสือ How Things Work: The Physics of Everyday Life กล่าว

“ลูกโค้งเป็นคุณสมบัติที่เกิดขึ้นจากแรงแมกนัส เมื่อลูกบอลหมุน อากาศก็มีแนวโน้มที่จะวิ่งเข้าหาด้านหนึ่งมากกว่าอีกด้านหนึ่ง เพราะมันถูกดึงเข้ามาด้วยพื้นผิวของลูกบอล” 

“สิ่งนี้ทำให้บอลสามารถลอยสูงขึ้นไปในทิศทางไหนก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับทิศทางในการหมุนของลูกบอล”  


Photo : www.chinadaily.com.cn

แน่นอนว่า ฟรีคิกของเบ็คแฮม ได้รับอิทธิพลมาจากปรากฎการณ์นี้โดยตรง โดยเฉพาะ ประตูอันโด่งดังของเขาในเกมพบกรีซ ที่ตอนแรกเหมือนจะลอยไปทางซ้ายของผู้รักษาประตูหรือมุมขวาของประตู แต่กลับโค้งเข้ามาเสียบมุมซ้ายเข้าประตูไป

“ลูกยิงของเขามีความเร็ว 80 ไมล์ (128 กิโลเมตร) ต่อชั่วโมง จากระยะ 27 เมตร และขยับออกไปจากด้านข้างกว่า 2 เมตร เนื่องด้วยปริมาณการหมุน ช่วงครึ่งหลังมันลดความเร็วทันทีเหลือ 42 ไมล์ (67 กิโลเมตร) ต่อชั่วโมง ก่อนจะมุดลงและเสียบเข้าไปด้านบนของมุมประตู” ดร.คีธ ฮานนา นักวิทยาศาสตร์ผู้ศึกษาเบื้องหลังลูกยิงดังกล่าวอธิบาย 

อย่างไรก็ดี การยิงลูกโค้งเป็นสิ่งที่ใครๆ ทำได้หากฝึกฝน แต่เหตุใดลูกฟรีคิกของเบ็คแฮมจึงไม่เหมือนใคร

ท่ายิงที่เป็นเอกลักษณ์ 

อย่างที่ศาสตราจารย์บลูมฟิลด์อธิบายไว้ข้างต้น การเตะลูกโค้งเป็นสิ่งที่สามารถทำได้ไม่ยากเย็น แถมยังสามารถประยุกต์ใช้กับกีฬาอื่นๆ อย่าง เทนนิส เบสบอล หรือแม้แต่กอล์ฟได้ แต่สิ่งที่ทำให้ เบ็คแฮมต่างไปจากคนอื่นคือท่ายิงที่มีรูปแบบเฉพาะตัว 


Photo : www.insideworldsoccer.com

ด้วยความที่เบ็คแฮม เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำ (OCD) ทำให้เขาเป็นคนค่อนข้างเจ้าระเบียบ ทุกอย่างต้องจัดเรียงอย่างลงตัว อย่างของในตู้เย็น ก็จะต้องจัดให้มีจำนวนครบคู่อยู่เสมอ และมันก็ส่งผลมาถึงการยิงฟรีคิก ที่มีรูปแบบการยิงที่เหมือนเดิมทุกครั้งจนเป็นเอกลักษณ์ 

วิธีการยิงของเขาจะเริ่มจากการวางบอล แล้วถอยออกไปราว 6-7 ก้าว จากนั้นจะจัดตัวเองให้ยืนเฉียงเป็นมุม 45 องศา และจะวิ่งเข้าหาบอลจากองศานี้เท่านั้น 

ในจังหวะที่วิ่งเข้าหาบอลเขาจะไม่ใช้ความเร็วมาก และวางเท้าข้างไม่ถนัดให้ห่างจากบอลราว 5-6 นิ้ว ซึ่งในขณะดังกล่าวเขาจะเหวี่ยงแขนข้างไม่ถนัดเป็นวงกลม เพื่อช่วยเพิ่มแรง โดยยืดแขนออกไปด้านหน้าก่อน แล้วค่อยวาดแขนกลับมาด้านหลังตอนที่เท้าสัมผัสกับบอล

ส่วนตอนที่เท้าโดนบอล เขาจะบิดตัวเล็กน้อยเพื่อทำให้บอลลอยสูง และใช้ข้างเท้าด้านในสัมผัสบอลเท่านั้น จากนั้นเมื่อเตะบอลไปแล้ว จะปล่อยให้เท้าเคลื่อนตามลูกบอล ส่วนเข่าจะหยุดการเคลื่อนไหว ในขณะที่ไหล่และหลังจะเอียงไปด้านหลัง และเมื่อลดแขนต่ำลงก็จะสิ้นสุดกระบวนการ 

“เขา (เบ็คแฮม) จบการยิงได้อย่างเฉียบคม เหมือนกับดีดหนังยาง” กอร์ดอน ฮิลล์ อดีตแข้ง แมนฯ ยูไนเต็ด และเป็นหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญในด้านการยิงฟรีคิกอธิบายกับ Independent

“นิ้วเท้าของเขาชี้ลง และอยู่ห่างจากตัว มันเหมือนกับนักบัลเลต์ แต่เขาพยายามให้บอลอยู่บริเวณข้างเท้าด้านใน ซึ่งนี่คือความแตกต่างอย่างอย่างชัดเจน แม้แต่ลูกครอสที่เขาเปิดให้เพื่อนร่วมทีมโหม่งทำประตูก็ยังเป็นเช่นที่ว่า แค่มันสูงกว่าเดิมเท่านั้นเอง”

“ความจริงก็คือการที่นิ้วเท้าชี้ลงมีผลทำให้เกิดความโค้งมากขึ้น ไม่มีทางที่ผู้รักษาประตูจะหยุดมันได้หากยิงได้อย่างถูกต้อง”

ด้วยวิธีการเตะที่เป็นเอกลักษณ์ และทรงประสิทธิภาพนี้ ทำให้นักเตะหลายคนพยายามเลียนแบบ หนึ่งในนั้น คือ เซบาสเตียน ลาร์สสัน ที่โด่งดังในสีเสื้อของซันเดอร์แลนด์ เขาใช้ลูกยิงของเบ็คแฮมเป็นต้นแบบ ก่อนพัฒนาเป็นของตัวเอง จนกลายเป็นเป็นหนึ่งในจอมเตะลูกนิ่งของพรีเมียร์ลีก 

“ในสมัยเด็ก คุณมักจะพยายามเลียนแบบใครสักคน สำหรับผมจนถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าเขาคนนั้นคือเบ็คแคม หากพูดถึงลูกตั้งเตะ เขาคือคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา” ลาร์สสันกล่าวกับ Independent 


Photo : rokerreport.sbnation.com

“ผมมองเขามาตั้งแต่ผมยังเด็กๆ เขาวิ่งแบบไหน เตะบอลแบบไหน ผมพยายามจะเลียนแบบ” 

“สิ่งที่ผมจำได้ตั้งแต่ผมยังเด็กๆ คือวิธีวิ่งของเขา มุมที่เขาเข้าหาบอลและวิธีทำให้บอลมุดลงอย่างรวดเร็ว ผมดูตั้งแต่การใช้เท้าสัมผัสบอลและวิธียิง ผมจำได้ว่าเขาวางเท้ายิงค่อนข้างไกลจากบอล ผมพยายามทำตาม พยายามหาทาง ในที่สุดก็เจอทางของตัวเอง’” 

นอกจากนี้ ท่ายิงที่สมบูรณ์แบบของเบ็คแฮม ยังทำให้มหาวิทยาลัยเลสเตอร์ ศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยศึกษาจากมุมในการยิง ระยะทางถึงประตู หรือแม้กระทั่งความหนาแน่นของอากาศ จนได้สมการที่อ้างว่าจะสามารถยิงฟรีคิกได้อย่างสมบูรณ์แบบทุกครั้ง 

“สูตรนี้อาจจะดูซับซ้อน แต่ในความเป็นจริง มันคือการอธิบายทางคณิตศาสตร์ในสิ่งที่นักฟุตบอลเก่งๆ สามารถทำได้ทุกครั้งในการเตะฟรีคิกหรือจุดโทษ” จัสมิน สันธุ นักเรียนปริญญาเอกผู้เชี่ยวชาญด้านฟิสิกส์และอวกาศของมหาวิทยาลัยเลสเตอร์กล่าว 
 
“ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้เล่นอยู่ห่างจากเส้นประตู 15 เมตร ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยที่เกิดขึ้นในฟุตบอล มันจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็ว 35 เมตรต่อวินาที และมีความเร็วเชิงมุม 10 รอบต่อวินาที ทำให้บอลเบี่ยงไปจากจุดเดิม 5 เมตรไปสู่ประตู” 

แต่ถึงอย่างนั้น แม้จะรู้วิธีการยิง หรือมีสมการที่ตายตัว แต่ก็ไม่มีใครยิงได้เหมือนและมีประสิทธิภาพเท่าตัวเขาเอง เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น

ลักษณะทางร่างกายที่พิเศษ 

นอกจากเบ็คแคมจะมีส่วนสูง 183 เซนติเมตร ซึ่งถือว่ารูปร่างกำลังพอเหมาะ สำหรับตำแหน่งกองกลางแล้ว เขายังมีลักษณะร่างกายที่ต่างไปจากคนอื่น ที่ทำให้เขาสามารถเตะฟรีคิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


Photo : www.sportsmole.co.uk

อย่างที่เห็นกันบ่อยๆ เบ็คแฮม จะใช้ข้างเท้าด้านในปั่นบอลอยู่เสมอ และต้องจัดระเบียบเท้าให้เหมือนเดิมทุกครั้ง โดยเตะปั่นบอลให้เหมือนกับการตีเทนนิส เพื่อให้ลูกโค้งได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 

“สิ่งที่เราค้นพบคือเขาเตะตรงด้านข้างของลูกบอลเพื่อให้มันหมุนออกด้านข้างและและเกิดเป็นลูกโค้ง แต่เขาสามารถจัดระเบียบเท้าของเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ทำให้บอลหมุนไปด้านหน้าเพื่อลอยสูงและมุดลง” แมต คาร์เร ผู้อำนวยการกลุ่มวิจัยด้านวิศวกรรม-กีฬา แห่งมหาวิทยาลัยเชฟฟิลด์ กล่าว 

“เขาเป็นคนที่มีเอกลักษณ์มากในวิธีที่ใช้เท้าสัมผัสกับบอล มันแทบจะเหมือนเขาตีบอลในวิธีเดียวกับที่นักเทนนิสทำ” 

อย่างไรก็ดี การยิงในลักษณะนี้ ในความเป็นจริง หากเป็นคนทั่วไปจะทำให้เกิดท่ายิงที่ค่อนข้างประหลาด เพราะเท้าซ้ายที่รับน้ำหนักไว้ทั้งหมดขณะเตะจะอยู่ในตำแหน่งที่ไม่เหมาะสม จนอาจทำให้ล้ม หรือเท้าขวาเตะไปโดนเท้าซ้ายได้ 

แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเบ็คแฮม ด้วยความที่เขามีขาข้างหนึ่งที่สั้นกว่าอีกข้างหนึ่ง ซึ่งเขาค้นพบโดยบังเอิญ ตอนเซ็นสัญญากับ เรอัล มาดริด และความผิดปกตินี้ ก็ทำให้ร่างกายเขาสามารถรักษาสมดุลย์ได้ แม้จะเตะฟรีคิกในท่าที่ดูเก้ๆ กังๆ สำหรับคนอื่นก็ตาม  


Photo : www.dailymail.co.uk

“ผมคิดว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากลักษณะทางกายวิภาค (ของเบ็คแคม) การทำให้เท้าขวาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม แล้วเท้าซ้ายตั้งอยู่ในตำแหน่งที่บิดเบี้ยวมาก เอาเข้าจริงถือว่าแปลก” คาร์เรกล่าวต่อ

“แต่เรายังรู้ด้วยว่าเขาฝึกซ้อมแบบนี้มาโดยตลอดตั้งแต่เขายังเป็นนักฟุตบอลหนุ่ม เหมือนกับที่ ไทเกอร์ วูดส์ ฝึกลูกแบ็คสปินของเขากับลูกกอล์ฟ มันจึงเป็นเทคนิคที่เกิดจากการคิดอย่างรอบคอบมาก”    

แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ทำให้เขากลายเป็นจอมเตะฟรีคิกที่โลกจารึกก็ไม่ใช่อะไร แต่เป็นความรักในกีฬาฟุตบอลของตัวเขาเอง ที่ทำให้เขามุ่งมั่นในการฝึกซ้อม โดยเฉพาะการเตะลูกฟรีคิก ตั้งแต่อดีตจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตนักเตะอาชีพ 

“ผมต้องเตะฟรีคิกมาเป็นหมื่น หรือบางทีอาจจะเป็นแสนๆ ครั้ง ผมมักจะออกไปสวนสาธารณะใกล้บ้าน วางลูกบอลลงบนพื้น และเล็งไปที่ลวดตาข่ายเหนือหน้าต่างของอาคารของชุมชน” เบ็คแฮมกล่าวกับ Daily Mail

“พอพ่อกลับมาจากทำงาน เราจะออกไปหาเสาประตูเล่นกัน เขาจะยืนอยู่ระหว่างผมกับประตู บังคับให้ผมเตะบอลให้โค้งใกล้ๆ ตัวเขา คนที่มองว่าต้องคิดว่าเราบ้าอย่างแน่นอน เราเล่นกันต่อแม้อาทิตย์จะตกดิน เล่นโดยใช้แสงที่มาจากหน้าต่างของบ้านรอบๆ สนาม” 

“ผมยังเล่นต่อตอนกลับมาบ้าน ผมไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นฟุตบอลในบ้าน ผมจึงฝึกเตะใส่ตุ๊กตาแคร์แบร์ของน้องสาวในห้องนอน แม่ของผมคิดว่ามันตลก แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าผมรักฟุตบอลขนาดไหน สำหรับผมยังไงก็ไม่พอ”  


Photo : www.stepzean.com

แม้ว่าจะเลิกเล่นไปตั้งแต่ปี 2013 แต่เบ็คแฮม ก็ยังข้องเกี่ยวกับวงการฟุตบอล เขาเป็นเจ้าของทีม อินเตอร์ ไมอามี ที่กำลังสร้างทีมเข้าไปเล่นใน เมเจอร์ ลีก ซอคเก้อร์ ของอเมริกาในฤดูกาล 2020 และเป็นผู้ถือหุ้นของ ซัลฟอร์ด เอฟซี ร่วมกับเพื่อนชุด คลาส ออฟ ’92 

สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความหลงใหลในโลกลูกหนังของเบ็คแฮม ที่ในด้านหนึ่งทำให้เขากลายเป็นที่จดจำ ในฐานะนักเตะที่ยิงฟรีคิกสุดโค้งที่เป็นเอกลักษณ์ จนยากจะเลียนแบบ แม้กระทั่งปัจจุบัน 

ราวกับว่า “Bend it like Beckham” (โค้งได้เหมือนเบ็คแฮม) นั้นไม่เคยมีใครทำได้ นอกจากตัวเขาเอง 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook