ให้มันได้แบบนี้สิไอ้น้อง!

ให้มันได้แบบนี้สิไอ้น้อง!

ให้มันได้แบบนี้สิไอ้น้อง!
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จั่วหัวมาแบบนี้ บอกเลยว่ามันความรู้สึกส่วนตัว ที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ หลังจากสิ้นเสียงนกหวีดยาว ในเกมที่ "อินชอน ฟุตบอล สเดี้ยม" ช่วงบ่ายแก่ๆของวันอาทิตย์ที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา

นักเตะหนุ่มวัยคะนองศึกของเมืองสยาม โชว์ผลงานกระหึ่มแดนกินจิ ด้วยผลงานชิ้นโบว์แดง มอบเป็นของขวัญให้กับแฟนกีฬาชาวไทย

ชัยชนะเหนือ จอร์แดน แบบสะใจโก๋ 2-0 เป็นอะไรที่แฟนบอล บอกเป็นเสียงเดียวว่า นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เห็นทีมชาติไทยเราเล่นด้วยฟอร์มแบบนี้

ลูกยิงสุดสวยของ "เมสซี่เจ" ชนาธิป สรงกระสินธ์ กับ เกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ยกระดับความสุดยอดให้ทีมชาติไทยชัดเจนขึ้นไปอีก

เส้นทางสู่เหรียญทอง ไม่ใช่เรื่องที่เพ้อเจ้อ เพราะนาทีนี้ พวกเขาได้กรุยทางเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ เป็นครั้งที่ 4 ในประวัติศาสตร์วงการลูกหนังไทย!

คู่แข่งของพวกเขาในเบื้องหน้า ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน นั่นคือ "เจ้าภาพ" เกาหลีใต้ ที่เฉือนชนะ ญี่ปุ่น มาแบบเฉียดฉิว 1-0 ด้วยจุดโทษในช่วงท้ายเกม



ย้อนกลับไปเมื่อปี 1990 ทีมลูกหนังไทย เคยจากรึกผลงานแจ่มแจ๋วในมหกรรมกีฬาเอเชียนเกมส์ ด้วยการเข้าไปถึงรอบรองชนะเลิศ พร้อมกับการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวของ ประเสริฐ ช้างมูล ด้วยลูกยิงดับฝันเจ้าภาพจีน 1-0 ในวันชาติของพวกเขาอีกต่างหาก ยุคนั้นสมัยนั้น ใครเกิดทันจะรับรู้ว่ามันคือยอดเกมที่ทีมชาติไทยจะมีวันลืม

ถัดมาใน ปี 1998 ในเอเชียนเกมส์ครั้ง 13 ที่กรุงเทพฯ ทีมลูกหนังไทย ในยุคผู้จัดการทีมที่ชื่อ "บิ๊กหอย" ธวัชชัย สัจจกุล จากการคุมทัพของ ปีเตอร์ วิธ แข้งไทยแลนด์ และแข้งดังในชุดนั้นอย่าง เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง,ดุสิต เฉลิมแสน,เสนาะ โล่งสว่าง

ในห้วงเวลนั้น ผู้เล่นที่ถูกเรัยกว่า "ดรีมทีม" สร้างผลงานลือลั่นสนั่นแผ่นดินสยาม เมื่อจัดการพิชิต เกาหลีใต้ ในช่วงต่อเวลาแบบโกล์เด้นโกล์(ยิงเข้าแล้วชนะเลย ที่เป็นกฏใหม่ในช่วงเวลานั้น) จากประตูสุดมหัศจรรย์ ของ "เจ้าวัง"  ธวัชชัย ดำรงค์อ่องตระกูล ในรอบก่อนรองชนะเลิศ ทั้งที่เหลือผู้เล่นแค่ 9 คนในสนาม

สุดท้าย แม้บทสรุปใน 2 ครั้งดังกล่าว ทีมชาติไทย จะไม่สามารถหยิบเหรียญใดเหรียญหนึ่งมาได้ แต่นั่นก็ทำให้พวกเขา สร้างรอยยิ้มและความสุขให้กับคนไทยได้มากมาย จนเป็นกระแสฟีเวอร์ไปหลายต่อหลายวัน 

ย้อนกลับไปดูไปชมคลิปในครั้งนั้น แม้ผมจะไม่ได้อยู่สนามในเกมนัดนั้น เนื่องด้วยตั๋วหมดเกลี้ยงในเวลาไม่กี่อึดใจที่เปิดขาย จนหวิดเกิดจลาจล แถมตั๋วผีราคาก็พุ่งกระฉูดจนสมัยนั้น ผมมิอาจเอื้อมถึง!

เสียงผู้บรรยายเกมนั้น (บิ๊กจ๊ะ สาธิต กรีกุล) ตะโกนลั่นสนาม ทันทีที่ลูกยิงสุดติ่งกระดิ่งแมวของ ธวัชชัย สัมผัสตาข่ายดังซ๊วบบบบบบบบบบ! เชื่อว่าหลายคน (อายุ30+) ยังพอจำได้



มาวันนี้ทีมลูกหนังไทย ภายใต้การคุมทีมของ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง  บรุษหนุ่มจากเมืองขอนแก่น ที่เวลานี้เขาได้กลายเป็นบุคคลประวัติศาสตร์ของวงการลูกหนังไทย

เมื่ออดีตกองหน้าจอมตีลังกา ถูกบันทึกว่าเป็นคนไทยคนแรก ที่พาทีมชาติไทยเข้าสู่รอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลเอเชียนเกมส์ได้สำเร็จ ทั้งในฐานะนักเตะ และฐานะการเป็นกุนซือ

ความแตกต่าง บนรูปเกมฉบับ "ซิโก้" ในแต่ละเกม มันมาจากปัจจัยที่หลายคนต้องซูฮก และ ยกว่าเขาคือคนที่ทำให้ทีมชาติไทยยุคใหม่ เดินทางมาถึงจุดนี้ได้



ผลงานทะลวงตาข่าย อินโดฯแบบหาทางกลับบ้านไม่ถูก6-0, ตามด้วยจัดการแข้งเมืองมังกรอยู่หมัด 2-0 และ ล่าสุดอัด จอร์แดน แบบสุดสะใจ 2 เม็ดเน้นๆ นี่แหล่ะ คือตัวชี้วัดชั้นดีว่าสิ่งที่ซิโก้ได้วางไว้ให้กับฟุตบอลไทยในชุดนี้ มันยอดเยี่ยมขนาดไหน ที่สำคัญในอินชอนเกมส์คราวนี้ เด็กในคาถาของ "ซิโก้" เจาะตาข่ายคู่แข่งไปแล้วถึง 15 ลูก แถมยังรักษาคลีนชีตได้แบบสง่าผ่าเผยอีกต่างหาก 

รูปแบบการเล่น ที่เน้นการเล่นบอลเท้าสู่เท้า , เห็นแล้วให้, ให้แล้วไป บวกกับความเข้าใจเกมของนักเตะ และที่สำคัญเรื่อง พละกำลัง คือสิ่งที่ทีมชุดนี้แสดงออกมาตลอด 5 เกมที่ผ่านมา

นอกเหนือไปจากนั้น การจบสกอร์ที่เด็ดขาด รวมทั้งการเข้าทำที่เข้าอกเข้าใจแบบสุดเหลือรับประทานของนักเตะในชุดนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องฟลุ๊คแน่ๆ 

ที่พูดมาใช่ว่าจะยกยอกันจนออกนอกหน้านอกตา แต่ความจริงก็คือความจริง คนดูบอลทุกคนต่างรู้สึกไม่ต่างกัน ว่าผู้เล่นในชุดนี้คือของจริง! ไม่ใช่เด็กเส้น 100%



รอบต่อไป ทีมชาติไทย จะลงสังเวียนในรอบรองชนะเลิศ พบกับกระดูกชิ้นโต อย่างเจ้าภาพ เกาหลีใต้ ในวันอังคาร์นี้ เวลา 18.00 น. ย้ำ 18.00 น. (ช่อง 3 และ ทรูวิชั่นส์ ถ่ายทอดสด)

แม้จากชื่อชั้น และสภาพแววดล้อมต่างๆ เราจะเป็นรองในทุกๆด้าน แต่แหม...ขึ้นชื่อว่า "ลูกกลมๆ มีลมอยู่ข้างใน" ใครจะรู้ได้ว่าจะจบอย่างไร?

นักเตะหนุ่มเมืองสยาม เดินทางมาไกลเกินกว่าที่คิด ผลงานที่เหลือคือสิ่งที่เรียกว่า "กำไร" ที่พวกเขาจะร่วมกันตอบแทนทุกหัวใจของแฟนบอลที่มีต่อพวกเขา

ไม่แน่....นะครับ วันอังคารนี้ เรามาช่วยกันเชียร์ เพราะวันนั้นอาจเป็นวันที่กองเชียร์ชาวกิมจิ จะได้รู้สึกไม่ต่างจากกองเชียร์ชาวจีน เมื่อ 24 ปีที่แล้วก็เป็นได้!



เรื่องโดย : บ. ส้มซิ่ง



แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook