โพลชี้ คนไทย 50.5% เงินในกระเป๋าอยู่ในขั้นวิกฤต ห่วงแจกเงินดิจิทัล ทำของแพง เงินเฟ้อ

โพลชี้ คนไทย 50.5% เงินในกระเป๋าอยู่ในขั้นวิกฤต ห่วงแจกเงินดิจิทัล ทำของแพง เงินเฟ้อ

โพลชี้ คนไทย 50.5% เงินในกระเป๋าอยู่ในขั้นวิกฤต ห่วงแจกเงินดิจิทัล ทำของแพง เงินเฟ้อ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

SUPERโพล50.5%ระบุเงินในกระเป๋าอยู่ในขั้นวิกฤต กังวลแจกเงินดิจิทัลไม่ปลอดภัย เกิดภาวะเงินเฟ้อ ของแพง มีทุจริต ชี้คนหนุนเพื่อไทย-พรรคร่วม ลดลง ห่วงแตกแยกรุนแรงบานปลาย

สำนักวิจัย ซูเปอร์โพล เปิดเผยผลสำรวจควาเห็นประชาชน เรื่อง จำนวนคนไทย ใน วิกฤตการเงิน จากประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 1,146 ราย โดยดำเนินโครงการระหว่างวันที่ 7 – 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567 ที่ผ่านมา โดยเมื่อถามจากการประมาณการทางสถิติกลุ่มประชากรคนไทยอายุ 16 – 85 ปีมีอยู่จำนวนทั้งสิ้น 53,417,480 คน พบว่า ร้อยละ 50.5 ระบุ การเงินในกระเป๋าของตนเองอยู่ในขั้นวิกฤต ซึ่งเป็นคนไทย จำนวน 26,975,827 คน ในขณะที่ อีกร้อยละ 49.5 ระบุไม่อยู่ในขั้นวิกฤต

เมื่อแบ่งออกจากภูมิภาค พบว่า คนในภาคอีสานส่วนใหญ่หรือร้อยละ 77.9 ระบุการเงินในกระเป๋าของตนเอง อยู่ในขั้นวิกฤต รองลงมา คือ คนในภาคใต้ ร้อยละ 66.3 คนในภาคกลางร้อยละ 47.2 คนในภาคเหนือ ร้อยละ 35.8 และคนในกรุงเทพมหานคร ร้อยละ 30.8

และเมื่อถามถึงข้อกังวล ถ้ามีการแจกเงินดิจิทัลจริง พบว่า ร้อยละ 32.7 กังวลต่อความไม่ปลอดภัยทางไซเบอร์ พวกมิจฉาชีพ ออนไลน์ ขณะเดียวกัน ยังมีความกังวลภาวะเงินเฟ้อ ข้าวของราคาแพง รองลงมา ร้อยละ 30.7 กังวลการทุจริตเชิงนโยบาย ร้อยละ 24.2 กังวลการสวมสิทธิ์ ร้อยละ 22.6 กังวลความมั่นคงทางเศรษฐกิจได้รับความเสียหาย ร้อยละ 21.7 กังวล ประชาชนเสียวินัยการเงิน ขาดความรับผิดชอบ ร้อยละ 19.2 กังวล ประชาชนผู้ห่างไกล เทคโนโลยี เข้าไม่ถึงการแจกเงินนี้ และร้อยละ 14.9 กังวลประเทศสูญเสียโอกาส พัฒนาที่ยั่งยืน ตามลำดับ

ทั้งนี้ เมื่อถามว่า ถ้าวันนี้ เลือกตั้ง สนับสนุนหรือไม่สนับสนุนเลือกพรรคในรัฐบาล โดยเปรียบเทียบระหว่างเดือนมกราคม กับ เดือนกุมภาพันธ์ 67 พบว่า ลุ่มสนับสนุนพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาลลดลงจากร้อยละ 40.5 ในเดือนมกราคม ไปอยู่ที่ร้อยละ 31.2 ในขณะที่ กลุ่มไม่สนับสนุนก็ลดลงเช่นกัน จากร้อยละ 39.3 ลงมาอยู่ที่ ร้อยละ 15.4 ส่วนกลุ่มคนที่ขออยู่ตรงกลาง ไม่ฝักใฝ่ กลับเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 20.2 ในเดือนมกราคม มาอยู่ที่ร้อยละ 53.4 ในการสำรวจครั้งล่าสุด

อย่างไรก็ตาม ผลโพลนี้เมื่อพิจารณาการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายของประชาชนคนไทยแล้ว ยิ่งน่าเป็นห่วงถ้าหากปล่อยให้สถานการณ์บ้านเมือง ความแตกแยกรุนแรงบานปลายขึ้น วิกฤตเศรษฐกิจทั้งระดับฐานรากและภายรวมของประเทศอาจจะกลายเป็นโจทย์ท้าทายใหญ่โตยิ่งขึ้นไปอีก ทางออกคือการตัดไฟแต่ต้นลม และการผูกโยงทำไปพร้อม ๆ กันระหว่างมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ความมั่นคงแห่งรัฐ และการลดทอนความเป็นตัวตนของกลุ่มสร้างความวุ่นวายต่าง ๆ ที่จะก่อเกิดความแตกแยกของคนในชาติ เป็นเรื่องที่น่าพิจารณาเร่งด่วนเวลานี้

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook