ผู้บริหารโรงเรียนดัง ยันครูไม่ได้สวมสิทธิ์ไฟเซอร์นักเรียน ชี้วัคซีนเหลือ-เด็กมาไม่ทัน

ผู้บริหารโรงเรียนดัง ยันครูไม่ได้สวมสิทธิ์ไฟเซอร์นักเรียน ชี้วัคซีนเหลือ-เด็กมาไม่ทัน

ผู้บริหารโรงเรียนดัง ยันครูไม่ได้สวมสิทธิ์ไฟเซอร์นักเรียน ชี้วัคซีนเหลือ-เด็กมาไม่ทัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้บริหารโรงเรียนดังเชียงใหม่ แจงดราม่าครูสวมสิทธิ์ไฟเซอร์นักเรียน ชี้วัคซีนเหลือ เจ้าหน้าที่จึงเสนอฉีดให้ครูและบุคลากร 4 โดส  

ความคืบหน้ากรณีเพจและสื่อหลายสำนักนำเสนอข่าวครูโรงเรียนแห่งหนึ่งสวมสิทธิ์นักเรียนฉีดวัคซีนไฟเซอร์ และ มีผู้ใช้ทวิตเตอร์รายหนึ่งระบุว่าเป็นโรงเรียนเอกชนหญิงล้วนชื่อดังใน อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จนทำให้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างแพร่หลายในสื่อสังคมออนไลน์

ล่าสุดในวันนี้ (3 พ.ย.64) นางจันทร์จิรา ศิริพัฒน์ ผู้อำนวยการโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นโรงเรียนที่ถูกกล่าวถึง พร้อมทีมผู้บริหาร ร่วมกันชี้แจงข้อเท็จจริงในเรื่องที่เกิดขึ้น ยืนยันเป็นเรื่องเข้าใจผิด โดยชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีการฉีดวัคซีนสำหรับนักเรียนอายุ 12 - 18 ปี ของโรงเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย วันที่ 28 ตุลาคม 2564

ตามที่ทางโรงเรียนได้รับหนังสือจากศึกษาธิการจังหวัดลงวันที่ 11 ตุลาคม 2564 ขอความ ร่วมมือให้โรงเรียนรวบรวมและจัดทำข้อมูลนักเรียนที่มีอายุ 12 - 18 ปี และมีความประสงค์ที่จะฉีดวัคซีนไฟเซอร์ ส่งสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ ภายในวันที่ 25 กันยายน 2564

ต่อมาโรงเรียนได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด และจัดส่งรายชื่อนักเรียนที่ประสงค์ฉีดวัคซีน จำนวน 747 คนให้กับทางสำนักงานศึกษาธิการจังหวัดเชียงใหม่ ตามหนังสือของโรงเรียน ลงวันที่ 23 กันยายน 2564

ในวันที่ 20 ตุลาคม 2564 ทางโรงเรียนได้รับแจ้งกำหนดการฉีดวัคซีนของนักเรียนเรยีนาเชลีวิทยาลัย จากผู้ประสานงานจาก รพ.หางดง ทางไลน์กลุ่มประสานศูนย์ฉีดวัคซีน เข็มที่ 1 วันที่ 28 ตุลาคม 2564 และเข็มที่ 2 วันที่ 18 พฤศจิกายน 2564

ในวันที่ 28 ตุลาคม 2564 โรงเรียนได้นัดหมายนักเรียนจำนวน 747 คน ไปที่ศูนย์ฉีดวัคซีนพรอมเมนาดา อ.เมืองเชียงใหม่ โดยทางโรงเรียนได้จัดส่งครู และบุคลากรเพื่อดูแลความเรียบร้อยและอำนวยความสะดวกให้กับนักเรียนการฉีดวัคซีนแบ่งเป็น 2 ช่วง คือ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 - มัธยมศึกษาปีที่ 3 เวลา 13.00 - 14.30 น. และ มัธยมศึกษาปีที่ 4 - มัธยมศึกษาปีที่ 6 เวลา 14.30 - 16.00 น. โดยในเวลาประมาณ 15.30 น. นักเรียนจำนวน 747 คน ได้รับวัคซีนตามโควตาครบทุกคน

หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้แจ้งกับครูผู้ประสานงานว่า ขณะนี้มีวัคซีนเหลือจำนวน 19 โดส และให้ทางโรงเรียนติดต่อนักเรียนที่มีคิวฉีดวัคซีนรอบสองที่มีความพร้อมและประสงค์จะฉีดวัคซีน มารับการฉีดวัคซีนที่เหลือ เพื่อไม่ให้วัคซีนเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ โดยให้เข้ามาฉีดก่อนเวลา 16.00 น.

ทางโรงเรียนได้ตามนักเรียนมาทำการฉีดได้ก่อนเวลา 16.00 น. จำนวน 13 คน หลังจากนั้นในเวลา 16.05 น. ทางโรงพยาบาลได้เก็บอุปกรณ์และเตรียมเดินทางกลับ และ ทางโรงพยาบาลได้เสนอฉีดโดสที่เหลือ ให้กับครูและบุคลากรของโรงเรียนจำนวน 4 โดส หลังจากฉีดวัคซีนให้กับครูและบุคลากร ทีมงานโรงพยาบาลจึงเดินทางกลับทันที คงเหลือทีมเฝ้าสังเกตอาการหลังฉีดวัคซีนจำนวน 3 คน

ปรากฏว่าได้มีนักเรียนรอบที่สองที่เรียกไป เพิ่งเดินทางมาถึงศูนย์ฉีดเวลา 16.12 น. ซึ่งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลกลับไปแล้ว จึงไม่ได้รับการฉีดวัคซีน ซึ่งนอกเหนืออำนาจในการควบคุมใดๆ ของทางโรงเรียน

ส่วนประเด็นที่ถูกระบุว่ามีการนำชื่อเด็กนักเรียนโรงเรียนอื่นมาสวมสิทธิ์เข้าฉีดวัคซีนโควต้าของโรงเรียน ทีมผู้บริหาร ชี้แจงว่า ในวันดังกล่าวหลังจากที่ฉีดวัคซีนให้กับนักเรียนที่มีรายชื่อรอบแรกครบ 747 คน และ ฉีดวัคซีนที่มีเหลือให้กับนักเรียนรอบสองที่มาเพิ่มอีก 13 คน และ ครูและบุคลากรโรงเรียนอีก 4 โดส เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลได้เข้ามาสอบถามลูกชายของคุณครูของโรงเรียน โดยทราบว่าลูกชายของคุณครูที่อยู่โรงเรียนเอกชนอีกแห่งหนึ่ง จะถึงคิวฉีดวัคซีนในวันถัดไป ( 29 ต.ค.) เจ้าหน้าที่พยาบาลจึงเรียกให้ไปฉีดได้เลยเพราะมีวัคซีนเหลืออยู่ ยืนยันว่าไม่ได้มีการนำรายชื่อไปใส่ในรายชื่อนักเรียนของโรงเรียนเรยีนาเชลีแต่อย่างใด จึงขอเรียนชี้แจงมายังทุกท่านที่เกี่ยวข้อง ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพื่อความเข้าใจอันดี

ผู้อำนวยการโรงเรียนเรยีนาเชลี บอกว่า ที่ผ่านมาทางโรงเรียนไม่เคยมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของโรงเรียนที่สั่งสมมานานกว่า 90 ปี ประเด็นที่เกิดขึ้นมีผู้ปกครอง ศิษย์เก่าสอบถามและแสดงความไม่สบายใจมาเป็นจำนวนมาก ทางโรงเรียนจึงได้ชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พร้อมขอให้สื่อที่นำเสนอเรื่องนี้รับฟังและนำเสนอข้อเท็จจริงจากฝั่งของทางโรงเรียน เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องและให้ความยุติธรรมกับทางโรงเรียน  

ส่วนที่มีเพจบางเพจ นำเสนอข้อมูลด้านเดียวและเกิดผลกระทบกับทางโรงเรียน ทางโรงเรียนจะหารือกับฝ่ายกฎหมายว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง เพื่อไม่ให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook