ผู้บริหาร สธ.ยกทีมบุกสภา! แจงข้อครหาจัดซื้อวัคซีนโควิด หลังฝ่ายค้านลุยอภิปรายซักฟอก

ผู้บริหาร สธ.ยกทีมบุกสภา! แจงข้อครหาจัดซื้อวัคซีนโควิด หลังฝ่ายค้านลุยอภิปรายซักฟอก

ผู้บริหาร สธ.ยกทีมบุกสภา! แจงข้อครหาจัดซื้อวัคซีนโควิด หลังฝ่ายค้านลุยอภิปรายซักฟอก
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขยกทีมแถลงข่าวที่อาคารรัฐสภา ชี้แจงประเด็นเกี่ยวกับข้อครหาในการจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 หลังถูกฝ่ายค้านหยิบยกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล

วันนี้ (17 ก.พ.) นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) พร้อมด้วย นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และ นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ ร่วมแถลงรายละเอียดข้อมูลการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่อาคารรัฐสภา เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นการจัดหาล่าช้า การจัดซื้อไม่โปร่งใส ประเด็นการเอื้อประโยชน์เอกชน หรือซื้อในราคาแพง ที่ฝ่ายค้านได้หยิบยกขึ้นมาอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ทั้งนี้ นพ.นคร กล่าวว่า ได้มีการวางแผนจัดหาวัคซีนตั้งแต่เดือน เม.ย. 63 ทั้ง 3 ช่องทาง คือ 1. การวิจัยและพัฒนาในประเทศ 2. การแสวงหาความร่วมมือกับหน่วยงานในต่างประเทศ เช่น อังกฤษ เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น เบลเยี่ยม และ 3. การติดตามงานวิจัยและพัฒนาจากผู้ผลิต

โดยในเดือน ก.ค.-ส.ค. 63 ได้มีการเจรจาซื้อวัคซีนกับบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ซึ่งจะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้กับบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ได้ประเมินศักยภาพแล้ว โดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ เป็น 1 ใน 25 รายที่บริษัท แอสตร้าเซนเนก้า คัดเลือกจากผู้ที่เสนอตัวเป็นฐานการผลิตถึง 60 ราย การจองซื้อวัคซีนครั้งนี้จึงมีความแตกต่างไปจากปกติ เพราะมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ด้วย โดยมีเงื่อนไขที่จะเป็นฐานการผลิตวัคซีนให้กับภูมิภาค

“การจัดซื้อวัคซีนครั้งนี้มีคณะกรรมการตรวจสอบหลายชุด โปร่งใส ไม่ได้มีการปกปิด” นพ.นคร กล่าว

โดยเงินที่ใช้จองวัคซีนจากบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จะรวมค่าวัคซีนไปด้วย ขณะที่เงินจองวัคซีนกับโครงการโคแวกซ์ (COVAX) ขององค์การอนามัยโลก จะเป็นเฉพาะค่าบริหารจัดการเท่านั้น ยังไม่รวมค่าวัคซีน อีกทั้งวัคซีนส่วนใหญ่เป็นของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ดังนั้นจึงไม่จำเป็นที่ไทยต้องเข้าไปร่วมโครงการนี้ให้ซ้ำซ้อน และไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเลือกใช้หลากหลายผู้ผลิต ขอแค่ให้ได้วัคซีนมาใช้งานเท่านั้น ส่วนกรณีที่มีข่าวว่าไทยปฏิเสธซื้อวัคซีนของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า จากบริษัทอินเดียนั้นเป็นข่าวเท็จ แต่เป็นการเสนอความร่วมมือทำงานวิจัยกับผู้ผลิตวัคซีนอีกราย

ด้าน นพ.โอภาส กล่าวว่า เป้าหมายการใช้วัคซีน คือ ลดอัตราการป่วยและการตาย รักษาความมั่นคงของระบบสาธารณสุข สร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากที่สุด ซึ่งตั้งเป้าไว้ 10 ล้านโดส/เดือน โดยจะเริ่มฉีดกลุ่มแรกให้กลุ่มเสี่ยง/พื้นที่เสี่ยง/อาชีพเสี่ยง ในเดือน ก.พ.-เม.ย. 64 หลังจากนั้นเมื่อมีวัคซีนเพียงพอจะเริ่มฉีดในเดือน มิ.ย. 64 ซึ่งได้มีการซักซ้อมการฉีดวัคซีนไว้เรียบร้อยแล้ว โดยจะมีการติดตามผลข้างเคียงทุกขั้นตอนหลังฉีดแล้วต่อเนื่องไปเป็นระยะ 1 เดือน ส่วนผู้ที่ได้รับผลข้างเคียงรุนแรงจะได้รับเงินชดเชยหากเจ็บป่วยรุนแรงหรือเสียชีวิตจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)

อย่างไรก็ตาม นพ.เกียรติภูมิ กล่าวว่า การนำวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาใช้งานเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระดับประเทศ ซึ่งมุ่งดูแลทั้งเรื่องสุขภาพและระบบเศรษฐกิจควบคู่กันไป โดยจะเร่งดำเนินการฉีดให้กับประชาชนทั่วประเทศเร็วที่สุดจำนวน 63 ล้านโดสภายในปีนี้ ถึงแม้ปัจจุบันจะสามารถควบคุมสถานการณ์โรคได้ดีแล้วแต่เราต้องการนำวัคซีนมาใช้เพื่อให้สามารถควบคุมโรคได้ดีขึ้น

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook