นักวิชาการอิสระ โคราช ชี้ การชุมนุมยืดเยื้อ ส่อกระทบรุนแรงเป็นวงกว้างต่อสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศ
นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ อดีตเลขาธิการหอการค้าภาคอีสาน และนักวิชาการอิสระ ได้ออกมาวิเคราะห์การชุมนุมที่ส่อแววยืดเยื้อของกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า “คณะราษฎร 2563” ว่า ทำให้สถานการณ์ต่างๆ ได้รับผลกระทบตามไปด้วย ทั้งด้านสังคม ที่เกิดความขัดแย้งกันของคนไทยที่เห็นต่างกัน และเริ่มขยายวงกว้างขึ้นไปในทุกอาชีพ รวมไปถึง “ม็อบชนม็อบ” เริ่มมี เริ่มมีความรุนแรงถึงขั้นใช้อาวุธปืนและระเบิดปิงปองให้เห็นแล้วเช่นกัน ซึ่งหากรัฐบาทไม่สามารถควบคุมดูแลการชุมนุมได้ ก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นจลาจล ในขณะที่กระทบด้านเศรษฐกิจ จะเห็นได้ชัดเจนมาก คือการลงทุนใหม่ๆ ของภาคเอกชน ที่ปัจจุบันมีการลงทุนน้อยมาก แต่การปิดกิจการกลับเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะกิจการด้านบริการ เช่น โรงแรม รีสอร์ท ที่พัก ตามต่างจังหวัด เป็นต้น ในส่วนของธนาคารแห่งประเทศ ก็ออกมายอมรับว่า ค่าเงินบาทแข็งขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อการส่งออก โดยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ต้องใช้เม็ดเงินแทรกแซงค่าเงิน กว่า 3 ล้านล้านบาท เพื่อไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่าเกินไป ส่วนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล อย่างล่าสุด คือ โครงการ “คนละครึ่ง” ช่วยให้เงินสะพัดในตลาดล่าง ได้ประมาณ 6 หมื่นล้านบาท และโครงการนี้ ถือว่า ประชาชนได้รับประโยชน์เพราะเท่ากับซื้อสินค้าครึ่งราคา แต่ก็มีเสียงเรียกร้องว่า ควรให้สิทธิ์นี้กับประชาชนทุกคน ไม่ใช่แค่ 10 ล้านคนเท่านั้น
ส่วนผลกระทบด้านการเมือง จะเห็นได้ว่า พรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาลไม่อาจพูดคุยกันได้ เพราะต่างก็มีจุดยืนต่างกัน ในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ส.ว. 250 คน ก็มีบทบาทสูงมากในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทำให้สภาฯ ทำงานยากมาก ส่วนการรับร่างฯ ของพรรคฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล เสมือนระเบิดเวลา เพราะจะต้องมีแค่ร่างเดียวที่จะนำไปสู่การแก้ไข ซึ่งทุกคนก็เชื่อว่า สส.ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ว.คงสนับสนุนร่างของฝ่ายรัฐบาล แต่กรณีการตั้งกรรมาธิการฯ มาดำเนินการแก้รัฐธรรมนูญ ไม่น่าจะราบรื่น เพราะหลายคนคัดค้านการจะแก้รัฐธรรมนูญมาก่อน และอีกประเด็นหนึ่งคือ วันที่ 2 ธันวาคมนี้ ศาลจะตัดสินคดีการอยู่บ้านหลวงของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งหากศาลตัดสินว่า ผิด แล้ว ครม.จะต้องออกพร้อมนายกฯ หรือไม่ นี่เป็นเพียงบางส่วนของความไม่มั่นคงทางการเมืองไทยในขณะนี้ นายทวิสันต์ฯ กล่าว