ไฟ2ฝั่ง รุมเร้าพระวิหารรบ.ต้องสู้ทั้งศึกนอก-ศึกใน

ไฟ2ฝั่ง รุมเร้าพระวิหารรบ.ต้องสู้ทั้งศึกนอก-ศึกใน

ไฟ2ฝั่ง รุมเร้าพระวิหารรบ.ต้องสู้ทั้งศึกนอก-ศึกใน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ในห้วงวันที่ 19 กันยายน นี้ รัฐบาลต้องเผชิญ "ศึกใน" สองด้านไปพร้อมๆ กัน โดยศึกแรก คือ การตั้งรับการชุมนุมของคนเสื้อแดงที่กรุงเทพฯ ส่วนอีกศึก คือ การชุมนุมของคนเสื้อเหลืองที่เชิงเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ ที่น่าหนักใจพอๆ กัน

แม้วาระของคนเสื้อเหลืองจะไม่ได้มุ่ง "ล้มรัฐบาล" โดยตรงเหมือนคนเสื้อแดง แต่การชุมนุมในจุดที่ถือเป็น "กล่องดวงใจ" ของทั้งคนไทย และคนกัมพูชาก็สุ่มเสี่ยงต่อความขัดแย้งระหว่างประเทศที่อาจบานปลายร้ายแรง เกินคาด !!

รัฐบาล และกองทัพเองก็มีความกังวลในจุดนี้เช่นกัน แต่สิ่งที่ห่วงอีกประเด็น คือ การปะทะระหว่างคนไทยด้วยกัน คือ กลุ่มพันธมิตรกับกลุ่มชาวบ้านในพื้นที่

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี สั่งการในระหว่างการเป็นประธานการประชุมศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) เมื่อวันที่ 17 กันยายน ให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) คอยดูแลไม่ให้เกิดเหตุคนไทยทะเลาะกันเอง

แต่ที่น่าห่วงกว่านั้น คือ ถ้าเกิดกลุ่มพันธมิตรไปทำอะไรที่รุนแรงจนเกิดการปะทะกับทหารกัมพูชา หรือประชาชนของกัมพูชาก็จะยิ่งทำให้ปัญหาลุกลามบานปลายออกไปไม่สิ้นสุด

ยิ่งมีการระดมมวลชน และการ์ดพันธมิตรเข้าไปมากผิดสังเกตก็เสี่ยงต่อการนำไปสู่ความรุนแรงได้ทั้งสิ้น !!

อย่าคิดว่า การเผชิญหน้าจะเป็นไปไม่ได้ เพราะก่อนหน้านี้ ทางฝั่งกัมพูชาก็เปิดฉาก "สุมไฟ" ใส่ฝ่ายไทยอย่างแรงๆ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะข้อกล่าวหาว่า ทหารไทยยิงวัยรุ่นกัมพูชาที่เข้ามาในพื้นที่ทับซ้อน ก่อนจะจุดไฟเผาทั้งเป็นอย่างโหดเหี้ยม

สำหรับต้นตอของข่าวนี้เริ่มมาจากสำนักข่าวเอพีรายงานว่า รัฐบาลกัมพูชาได้เรียกร้องขอคำอธิบายจากรัฐบาลไทยในกรณีที่ทหารพรานของไทย ยิงวัยรุ่นชาวกัมพูชาคนหนึ่ง ก่อนจะจุดไฟเผาทั้งเป็น

นายอุจ โบริท เจ้าหน้าที่ระดับสูงคนหนึ่งของกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ระบุว่า ไทยยังไม่ได้ตอบจดหมายทางการทูตที่กัมพูชาส่งให้เมื่อวันที่ 15 กันยายน และร้องขอให้ไทยสอบสวนทหารพรานที่ถูกกล่าวหาด้วย

นายอุจเผยว่า มีวัยรุ่นกัมพูชาสองคนถูกกล่าวหาว่าเข้าไปตัดต้นไม้โดยผิดกฎหมายบริเวณชาย แดนแถบจังหวัดอุดรมีชัยของกัมพูชา เมื่อวันที่ 11 กันยายน โดยคนหนึ่งถูกยิงบาดเจ็บสาหัส คือ นายยอน ริท วัย 16 ปี ก่อนจะถูกจับได้ และเผาทั้งเป็น ส่วนอีกคนหลบหนีไปได้

เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศกัมพูชาประณามว่า เด็กหนุ่มคนดังกล่าวถูกกระทำอย่างโหดเหี้ยม ราวกับไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งทางกัมพูชาได้เก็บรวบรวมสิ่งที่เหลืออยู่ คือ เชือกที่ใช้มัดมือและเถ้ากระดูกจากจุดที่เกิดเหตุจึงเรียกร้องให้รัฐบาลไทย สอบสวนเรื่องนี้อย่างจริงจัง

พล.อ.เตีย บัน รมว.กลาโหม กัมพูชา ก็ช่วยยืนยันว่าข่าวดังกล่าวเป็นความจริง กัมพูชารู้สึกไม่พอใจอย่างมาก

"เราคิดว่าเป็นการทำเกินกว่าเหตุ ทั้งที่เป็นมนุษย์ด้วยกัน เพื่อนผู้ตายที่หนีมาได้ เล่าว่า ได้เดินไปตัดไม้ในป่า โดยไม่คิดว่าข้ามไปฝั่งไทย แต่กลับเจอเจ้าหน้าที่ไทยเข้าล้อมยิง ซึ่งเขาก็วิ่งหนี แต่เพื่อนโดนยิงเข้าที่หลัง วิ่งต่อไปไม่ได้ ส่วนเขาก็โดนยิง แต่ยังวิ่งออกมาได้ แล้วไปตามเพื่อนมาช่วย แต่ก็ช้าไปแล้ว เพราะเพื่อนถูกมัดมือมัดเท้าแล้วเผาทั้งเป็น น่าสลดใจมาก"

พล.อ.เตีย บัน ย้ำว่า เรื่องนี้เราได้คุยกันตลอดว่า ถ้ามีมูลความผิดต้องมาคุยตามหลักสากล ถ้าผิดจริงก็ลงโทษตามขั้นตอนกฎหมาย ไม่ใช่ทำตามอำเภอใจอย่างนี้ ซึ่งที่ผ่านมาคนไทยก็ล้ำเขตแดนมา เราก็ตรวจสอบแล้วก็ส่งกลับประเทศ ไม่ได้ทำอะไรที่ไร้มนุษยธรรมเช่นนี้

จะเห็นได้ว่าข้อกล่าวหาและข้อเรียกร้องของฝ่ายกัมพูชาเป็นไปอย่างจริง จัง และปักใจเชื่อไปแล้วว่า ทหารไทยมีพฤติกรรมโหดเหี้ยมเช่นนั้นจริง ทั้งที่ฝ่ายไทยก็ยังไม่เคยเห็นพยาน และหลักฐานที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างถึงเลย

แต่เมื่อข่าวนี้เผยแพร่ออกไปทางสื่อระดับโลก ทางการไทยกลับไม่มีการแถลงข่าว หรือออกแถลงการณ์เพื่อชี้แจงข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างเป็นทางการเลย ซึ่งการชี้แจงด้วยข้อเท็จจริงนอกจากจะเคลียร์ภาพของฝ่ายไทยแล้ว ยังเท่ากับผลักข้อกังขาที่ไร้เหตุผลไปยังอีกฝ่ายด้วย

แต่เมื่อฝ่ายไทยยังชักช้า ได้แต่นิ่งเฉย โดยอ้างแต่ "ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ" ก็เท่ากับยอมรับผิดไปแล้วเกินครึ่ง ทั้งที่ความเป็นจริงอาจจะไม่มีอะไรมากไปกว่าข่าวลือที่ไร้มูลความจริงเท่า นั้น

ฉะนั้น ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นที่เขาพระวิหาร รัฐบาล และกองทัพ จะเล่นแต่บทเพื่อนที่แสนดี และเพลย์เซฟเกินเหตุด้วยการไม่ขยับตัวทำอะไรเลยไม่ได้อีกต่อไป

ด้านหนึ่ง ก็ต้องย้ำถึงอธิปไตยเหนือดินแดน 4.6 ตารางกิโลเมตร ด้วยการรีบเคลียร์คนของกัมพูชาให้พ้นพื้นที่ทับซ้อนตามข้อตกลงเสียทีเพื่อ ไม่ให้กลายเป็นเงื่อนไขการปลุกระดมของคนในประเทศอีก

อีกด้าน ก็ต้องมีความฉับไวกว่านี้ในการเล่นเกมการเมือง และการทูตในเวทีระหว่างประเทศ

ขืนปล่อยให้กลุ่มการเมืองทั้งในและนอกประเทศ ขย่มเล่นแบบนี้ไปเรื่อยๆ นอกจากรัฐบาลจะรับแรงกดดันไม่ไหวจนอาจพังไปเองแล้ว ยังเสี่ยงต่อการพลาดพลั้งเสียทีในเวทีนานาชาติ และอาจตกหลุมพราง เสียดินแดนตรงนี้ไปจริงๆ เข้าสักวัน

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook