“Love is not Tourism Thailand” เมื่อโควิด-19 แยกสองเราออกจากกัน

“Love is not Tourism Thailand” เมื่อโควิด-19 แยกสองเราออกจากกัน

“Love is not Tourism Thailand” เมื่อโควิด-19 แยกสองเราออกจากกัน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

โควิด-19” เป็นโรคระบาดใหญ่ที่ยังไม่มีวัคซีนและการรักษาที่ถูกต้อง หลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย จึงต้องวางมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่ว่าจะเป็นการสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่างทางร่างกาย ไปจนถึงการล็อกดาวน์ปิดเมือง และการปิดน่านฟ้าเพื่อระงับการนำเข้าเชื้อไวรัสจากต่างประเทศ จนในที่สุด ดูเหมือนว่าขณะนี้ ประเทศไทยจะประสบความสำเร็จในการป้องกันโรคระบาด แต่เมื่อพิจารณาดี ๆ มาตรการป้องกันโรคกลับส่งกระทบต่อคนหลายกลุ่ม เช่น ภาคธุรกิจที่ต้องเผชิญหน้ากับภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่เลวร้ายมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ หรืออัตราคนตกงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงคนตัวเล็ก ๆ ที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังเป็นจำนวนมาก และหนึ่งในนั้นคือกลุ่มคนไทยที่มีคนรักเป็นชาวต่างชาติ

แม้จะดูเป็นเรื่องไม่สลักสำคัญ แต่การที่สิทธิของคนเหล่านี้ถูกละเลย ก็สะท้อนให้เห็นปัญหาของการจัดการสถานการณ์โรคระบาดของประเทศไทย Sanook คุยกับแอดมินเพจ Love is not Tourism Thailand ตัวแทนที่จะมาบอกเล่าเรื่องราวของกลุ่มคนที่มีคนรักเป็นชาวต่างชาติ พร้อมสะท้อนความต้องการที่ยิ่งใหญ่กว่า “ความสุขส่วนตัว”

คู่รักไร้ทะเบียนสมรส 

ประกาศสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย วันที่ 29 มิถุนายน 2563 ในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 ได้กำหนดการเดินทางเข้าประเทศไทย โดยกำหนดเฉพาะบุคคลตามข้อยกเว้น 11 ประเภท โดยบุคคลประเภทที่ 6 ระบุว่า ต้องเป็นผู้ที่ไม่มีสัญชาติไทยซึ่งเป็นคู่สมรส บิดามารดา หรือบุตรของผู้มีสัญชาติไทย หมายความว่า หากเป็นคู่รักกันแล้ว บุคคลทั้ง 2 คน จะต้องจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายก่อน จึงจะได้รับอนุญาตให้เดินทางเข้าประเทศไทย ส่งผลให้ชาวต่างชาติที่มีคนรักชาวไทย แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน ถูกตัดสิทธิการเดินทางเข้าประเทศและไม่สามารถพบเจอกับคนรักของพวกเขาได้

การกำหนดให้คู่รักที่จดทะเบียนสมรสกันแล้วเท่านั้นที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อคู่รักต่างเชื้อชาติในหลายระดับ เช่น ในกรณีที่คู่รักกำลังจะมีลูก แต่พ่อซึ่งเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อให้กำลังใจภรรยาและจดทะเบียนรับรองบุตรของตัวเองได้ หรือกรณีคู่รัก LGBTQ+ ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก เนื่องจากประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายสมรสสำหรับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศ จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมีโอกาสได้มาพบเจอกัน 

คุณพลรัตน์ วิเศษพงษ์พันธ์ แอดมินเพจ Love is not Tourism Thailandคุณพลรัตน์ วิเศษพงษ์พันธ์ แอดมินเพจ Love is not Tourism Thailand

“อย่างผมเป็นนักศึกษาจบใหม่ ผมก็ทำงานได้ระยะหนึ่ง อายุก็ยังไม่เยอะ มันจึงมีโอกาสยากมากที่ผมจะแต่งงาน หรือมองอนาคตไกลขนาดนั้น แต่คนที่ยังไม่แต่งงานกัน ก็ไม่ใช่ว่าเราไม่รักกัน เราก็รักกันไม่ต่างจากคนที่จดทะเบียนสมรสเลย” คุณพลรัตน์ วิเศษพงษ์พันธ์ แอดมิเพจ Love is not Tourism Thailand เล่าประสบการณ์ของตัวเอง

เช่นเดียวกับคุณเทพสวรินทร์ ตะเพียรทอง แอดมินอีกคน ที่มองว่า ด้วยเหตุผลบางอย่าง อาจทำให้คู่รักบางคู่ยังไม่พร้อมที่จะจดทะเบียนสมรสกันได้ แต่ความรักของพวกเขาก็สำคัญไม่แพ้กัน

“วิดีโอคอล” ตัวช่วยของคนรอ 

“การกอด” คือการแสดงความรัก ถ่ายทอดความห่วงใย และสร้างสายสัมพันธ์ให้แข็งแรงมากขึ้น แต่นโยบายปิดน่านฟ้ากลับส่งผลให้คู่รักไม่สามารถพบเจอกันได้ สิ่งเดียวที่ทำให้พวกเขารู้สึกใกล้ชิดกัน คือ “วิดีโอคอล” เพื่อให้กำลังใจซึ่งกันและกัน เเละรอคอยวันที่พวกเขาจะได้พบกันอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม การกอดกันผ่านหน้าจอมือถือก็คงไม่สามารถเทียบกับการกอดกันจริง ๆ ได้เลย

ตอนนี้ทุกคนได้กลับไปกอดลูก กลับไปกอดครอบครัวแล้ว พวกเราทำได้แค่ทักทายผ่านวิดีโอคอล ดินเนอร์ผ่านหน้าจอ คือมันไม่สามารถทดแทนกันได้ แต่มันก็เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้รู้สึกว่าเรายังมีกันและกันอยู่” คุณเทพสวรินทร์ชี้ 

คุณเทพสวรินทร์ ตะเพียรทอง แอดมินเพจ Love is not Tourism Thailandคุณเทพสวรินทร์ ตะเพียรทอง แอดมินเพจ Love is not Tourism Thailand

เช่นเดียวกับคุณพลรัตน์ ที่ระบุว่า วิดีโอคอลเป็นทางออกเดียวสำหรับสถานการณ์เช่นนี้ แต่การรอแบบไม่มีจุดหมาย และต้องคอยให้กำลังใจกันอยู่แบบนี้ ก็ไม่ช่วยให้อะไรคืบหน้า และทำให้ความสัมพันธ์แย่ลง ทั้งนี้ คุณพลรัตน์ยังเล่าว่า ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 แฟนสาวของเขาวางแผนจะย้ายมาอยู่เมืองไทย และเริ่มต้นทำธุรกิจด้วยกัน แต่วันสุดท้ายที่แฟนสาวของเขาทำงาน กลับเป็นวันเดียวกับที่ประเทศไทยประกาศปิดน่านฟ้าพอดี เขาบอกว่าหลายสิ่งหลายอย่างพังไปหมด

“เคสคุณพลรัตน์ที่แฟนเตรียมตัวจะบินมาอยู่เมืองไทย หรืออีกหลายเคสที่ขายบ้าน ขายรถ ทิ้งทุกอย่างเพื่อจะเริ่มต้นชีวิตที่นี่ มันจึงเกินกว่าคำว่า “คิดถึง” ไปแล้ว แต่เป็นความจำเป็นในชีวิต แล้วเราก็โดนคอมเมนท์ว่าทำไมทนไม่ไหว ทำไมรอไม่ได้ เราอยากบอกว่า ทุก ๆ คู่พยายามทุกอย่างเพื่อประคับประคองกัน แต่ทุก ๆ ครั้งที่ไม่มีข่าวว่าเมื่อไรเราจะเปิดประเทศ หรือเราจะได้เจอกัน บอกเลยว่าการรอคอยอย่างไม่มีความหวัง เป็นความรู้สึกที่ท้อแท้สิ้นหวังมาก มันยากมากที่จะประคับประคองกันในช่วงนี้ เพราะว่าหลายคนอาจไม่ได้เจอผลกระทบจากแค่เรื่องความสัมพันธ์ อาจจะโดนผลกระทบเรื่องงานหรือชีวิตส่วนตัว” คุณเทพสวรินทร์กล่าว

เสียงของคนที่ถูกลืม 

แม้ประเทศไทยจะผ่านวิกฤติโรคโควิด-19 มาได้ และสามารถรักษาตัวเลขผู้ติดเชื้อภายในประเทศให้เป็น 0 ราย มากกว่า 100 วัน ได้สำเร็จ แต่ความสำเร็จที่เกิดขึ้น กลับต้องแลกด้วยความเสียสละของผู้คนมากมาย และนอกเหนือจากผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจที่คนไทยได้รับ ยังมีผลกระทบ “ทางด้านจิตใจ” ของประชาชน ที่ดูเหมือนว่าทั้งผู้มีอำนาจและคนในสังคมจะหลงลืมไป

“เรามีแคมเปญ เราไม่ทิ้งกัน แต่คำว่าเราไม่ทิ้งกันนั้น คือทุกคนต้องช่วยเหลือและสามัคคีกันเพื่อที่จะผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน แต่ตอนนี้ ทุกคนกลับมาใช้ชีวิตปกติแล้ว แต่ยังมีกลุ่มคนบางกลุ่มที่ถูกลืม เราไม่ได้ไปด้วยกันเลย แถมยังมาเบรกคนที่อยู่ข้างหลัง ว่าอย่ามานะ แฟนเป็นคนต่างชาติเหรอ จะมาแพร่เชื้อนะ แต่เราก็อยากเจอคนรัก และเราก็อยากให้ทุกคนหันกลับมามองพวกเรา ช่วยเหลือพวกเราบ้าง” คุณพลรัตน์กล่าว 

“ตอนนี้คนไทยกลับมาใช้ชีวิตปกติแล้ว ทำงานปกติ เปิดเศรษฐกิจทุกอย่าง แต่พวกเรายังคงถูกลืม เพระเรายังไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนเดิมได้ พ่อกับลูกยังไม่ได้เจอกัน หรือว่าแฟนยังไม่สามารถเดินทางมาที่เมืองไทยได้ คือเราโดนทิ้งไว้ตรงนี้  เราก็เลยอยากกลับไปใช้ชีวิตปกติบ้าง” คุณเทพสวรินทร์เสริม พร้อมระบุว่า หลังจากที่ทำเพจ Love is not Tourism Thailand ขึ้นมา พวกเขามักได้รับข้อความเชิงลบในโลกออนไลน์ ทั้งไล่ไปตาย หรือแม้แต่มองว่าความรักกับชาวต่างชาติเป็นเพียงเรื่อง “เรื่องบนเตียง” เท่านั้น 

“คนมาคอมเมนต์ใช้คำพูดหยาบคาย ว่าทำไมทนไม่ไหว คิดถึงแต่เรื่องบนเตียงล่ะสิ เราก็ตอบไปว่า คุณอาจจะไม่เคยเข้าใจความรู้สึกของคำว่าความรัก พวกเรามีการวางแผนแต่งงาน การที่เราอยากเจอกัน ก็เพราะเรารักกัน เราอยากไปเจอครอบครัวแฟน แฟนอยากมาเจอครอบครัวเรา และมันไม่ใช่ว่าการที่เราอยากเจอกันจะเป็นแค่เรื่องเซ็กส์เท่านั้น

มนุษยธรรมในช่วงโรคระบาด 

ความทุกข์ทรมานใจของกลุ่มคนไทยที่มีคนรักเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งมีที่มาจากนโยบายปิดประเทศ ก่อให้เกิดการรวมตัวกันบนโลกออนไลน์  เพื่อติดตามประกาศเที่ยวบินระหว่างประเทศ สถานการณ์โรคโควิด-19 ในประเทศต่าง ๆ และให้กำลังใจซึ่งกันและกัน พร้อมกันนี้ ยังมีความพยายามที่จะยื่นหนังสือเพื่อเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหาที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่อีกด้วย

ข้อเรียกร้องของเรามีอยู่ 2 ข้อ คือ หนึ่ง ตอนนี้คนไทยยังติดค้างอยู่ต่างประเทศเยอะมาก เราจึงอยากให้ช่วยพิจารณาให้มีเที่ยวบินกลับมาให้มากขึ้น เพราะมีหลายคนที่เขาจำเป็นต้องกลับ และสอง เราอยากให้พิจารณาเรื่องมนุษยธรรม ช่วยพิจารณาให้คู่รักที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ได้เข้ามาเจอกัน” 

“เราอยากให้คนทั่วไปเปิดใจ เพราะเรารู้ว่าตอนนี้ หลาย ๆ คนกลัวว่าถ้ารับชาวต่างชาติเข้ามา อาจจะมีการติดเชื้อ แต่เราไม่ได้เรียกร้องให้เปิดทุกอย่างเสรี ทุก ๆ คนที่เขาอยากเข้ามา เขาพร้อมทำตามมาตรการทุกอย่าง เราแค่ขอให้ช่วยเปิดใจรับฟังพวกเราบ้าง ให้พวกเราได้เจอกันบ้าง” คุณเทพสวรินทร์กล่าว 

“คนที่ต้องการเข้ามา และผ่านการกักตัว 14 วันไปได้ เขาอาจจะไปกระตุ้นเศรษฐกิจต่อด้วยซ้ำ ผมมองว่าเราต้องค่อย ๆ ขยับกันไป ในเมื่อคนแต่งงานเข้ามาได้แล้ว คนที่ยังไม่แต่งงานก็ควรเข้ามาได้เหมือนกัน” คุณพลรัตน์เสริม

แม้จะต้องฝ่าฟันกับเสียงต่อต้านของคนบางกลุ่ม และต้องสู้ทนกับการถูกตีตรา ว่าเป็น “คนเห็นแก่ตัว” ในช่วงที่มีการระบาดของโรคโควิด-19 แต่เรื่องที่คุณเทพสวรินทร์และคุณพลรัตน์กำลังขับเคลื่อนอยู่ ก็เป็นเรื่องที่หลายคนอาจไม่เคยล่วงรู้หรือตระหนักถึงมาก่อน ดังนั้น การลุกขึ้นมาส่งเสียงเรียกร้อง และขอความช่วยเหลือจากภาครัฐ ซึ่งเป็นผู้ออกกฎเกณฑ์และข้อบังคับ จึงเป็นความหวังเดียวของพวกเขา 

สิ่งที่เราอยากพูดก็อยากให้ผู้ใหญ่ที่อยู่ในระดับนโยบายได้ยิน ถึงแม้จะไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินไหมก็ตาม” คุณเทพสวรินทร์ทิ้งท้าย

ขอขอบคุณสถานที่: ร้าน No.1 Cafe Bangna BTS บางนา

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ

อัลบั้มภาพ 4 ภาพ ของ “Love is not Tourism Thailand” เมื่อโควิด-19 แยกสองเราออกจากกัน

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook