"ป๊อก ภัสสรกรณ์" เปิดทางล่าฝันที่ปูด้วยขวากหนาม เผยส่วนลึกในใจ ผมเกลียดคำว่า "ไฮโซ"

"ป๊อก ภัสสรกรณ์" เปิดทางล่าฝันที่ปูด้วยขวากหนาม เผยส่วนลึกในใจ ผมเกลียดคำว่า "ไฮโซ"

"ป๊อก ภัสสรกรณ์" เปิดทางล่าฝันที่ปูด้วยขวากหนาม เผยส่วนลึกในใจ ผมเกลียดคำว่า "ไฮโซ"
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

เป็นหนุ่มมากความสามารถที่กำลังโลดแล่นอย่างสวยงามบนเส้นทางที่ตัวเองฝัน สำหรับศิลปินหนุ่ม "ป๊อก-ภัสสรกรณ์ จิราธิวัฒน์" หรือ "ป๊อก Mindset" ที่ตอนนี้ต้องบอกว่าเป็นเจ้าโปรเจ็กต์ มีผลงานออกมาให้แฟนๆ ได้เห็นแบบรัวๆ อย่างก่อนหน้านี้ก็เพิ่งปล่อยเพลง "TAT 2" ออกมาเขย่าใจสายแร็ปจนยอดวิวพุ่งทุกช่องทาง และล่าสุดก็กำลังเตรียมปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ "Eyes On Me" ผลงานชิ้นเด็ดเป็นเพลงสากลเพลงแรกในชีวิต ที่ชวนคนสนิท TWOPEE Southside และ มารีน่า ศดานันท์ มาร่วมสร้างสีสันแบบจัดเต็ม

ไฟแรงขนาดนี้พลาดไม่ได้ sanook.com จึงขอคว้าตัวหนุ่มคนเก่งมาพูดคุยถึงเส้นทางชีวิต การทำงาน กว่าจะมาถึงวันนี้ บอกเลยว่าไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบอย่างที่ใครๆ คิด รวมทั้งเปิดใจถึงครอบครัวอันเป็นที่รัก ภรรยา "มาร์กี้ ราศรี" และลูกน้อย "น้องมีก้า" และ "น้องมีญ่า" ว่าเส้นทางของคุณพ่อลูกแฝดนั้นเป็นอย่างไรบ้าง

"ปลดปล่อยความชอบผ่านเพลง"

ก่อนอื่นพูดถึงกระแสเพลง "TAT 2" ปล่อยออกไปกระแสดีมากทีเดียว

"กระแสโอเคเลยครับ ตอนแรกผมก็ตกใจเหมือนกัน เพราะจริงๆ แล้วเพลงนี้เป็นเวอร์ชั่นที่ 2 ของเพลงที่ผมเคยทำไว้เมื่อ 7 ปี ที่แล้ว เวอร์ชั่นแรกชื่อ "Tat it up"   ตอนแรกที่ทำออกมาเพราะผมเป็นคนที่ชอบศิลปะรอยสักมาก เป็นสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าคลั่งเลยก็ว่าได้ ซึ่งตอนที่ผมเรียนจบและกลับมาเมืองไทยผมรู้สึกว่าอาจจะด้วยความแตกต่างทางวัฒนธรรม เพราะผมอยู่อเมริกามาเกือบ 10 ปี พอกับมาเมืองไทยก็มีสิ่งที่แตกต่างกันเยอะมาก"

"โดยเฉพาะสายตา หรือ อะไรหลายๆ อย่างที่ผมรู้สึกได้ว่าเขารังเกียจผม รังเกียจรอยสัก เวลาเราไปในที่สาธารณะ หรือ ไปไหนก็ตามเราก็จะสัมผัสได้ถึงสายตา หรือ ท่าทางที่ผมเห็นแล้วรู้สึกได้ว่าเขาไม่ชอบ เขากลัว เขาคงคิดว่าเราไม่ดี ผมก็เลยทำเพลงนี้ขึ้นมา"

"เป็นเพลงที่สื่ออกมาให้คนเข้าใจถึงความชอบของพวกเรามากขึ้นว่าจริงๆ แล้ว รอยสักมันไม่ได้น่ากลัว หรือ เป็นอะไรอย่างที่เขาคิดนะ เราอยากให้เขาเห็นอีกมุมมองหนึ่งจากฝั่งของพวกเราบ้าง เพราะเราเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ จิตใจภายในของคนคนนั้น มันไม่ใช่ภายนอก บางทีคนที่อาจจะดูไม่ดีในสายตาเขา วันหนึ่งอาจจะเป็นคนที่มาช่วยชีวิตเขาก็ได้ กับคนที่ โอ้โห! ดูดีไปหมดเลย อาจจะกลายเป็นคนที่มาทำร้ายเขามันก็เป็นไปได้ เราเลยทำเพลงนั้นออกมา" 

"พอเวลาผ่านมา 7 ปี เรารู้สึกว่ามันมีหลายอย่างที่เปลี่ยนไป โลกเปลี่ยน ยุคสมัยเปลี่ยน ทำให้คนเข้าใจตรงนี้มากขึ้น มีหลายๆ คนที่ชอบในสิ่งนี้เหมือนกัน เขาก็ยังพูดถึงเพลงนี้ที่เราทำเมื่อ 7 ปี ที่แล้ว ผมก็รู้สึกดีใจ และมองว่ามันมาไกลเหมือนกันนะ ผมก็เลยอยากทำเวอร์ชั่นที่สองในยุคสมัยนี้ ก็เลยไปชวน น้องๆ ที่ก็ต้องเรียกว่าเป็นยุคของพวกเขา และเขายึดมั่นในคอนเซ็ปต์นี้เหมือนกันมาร่วมกันทำครับ"

ภาพจาก tat2พอปล่อยออกมาเราเห็นการตอบรับที่แตกต่างไปมากน้อยแค่ไหน?

"แตกต่างมากครับ อย่างแรกเลยดูจากยอดวิว เพลง "Tat it up" ยอดวิว 7 ปี 4 ล้านวิว ส่วน "Tat2  " ปล่อยไปไม่ถึงเดือนก็ 4 ล้านแล้ว และคนเข้าถึงโดยที่เราไม่คิดว่าเขาจะเข้าถึง เพราะผมมองว่าเพลงนี้ก็ค่อนข้างเป็นเพลงที่ไม่ได้อยู่ในกระแสนิยม ค่อนข้างเฉพาะกลุ่ม แต่เพลงนี้ขึ้นไปติดเทรนด์ได้ อันนี้ผมก็งงเหมือนกัน"

แพลนต่อไปล่ะ กำลังจะปล่อยอะไรออกมาอีก?

"เดี๋ยวจะมีปล่อยเพลงใหม่ แต่ก่อนปล่อยเพลงผมจะมีสารดีเกี่ยวกับตัวผมเองออกมา ว่าผมเริ่มจากตรงไหน มายังไง สำหรับคนที่ไม่เคยทราบมาก่อนและไม่เคยรู้เลยว่าบนเส้นทางของผม ผมเจออะไรมาบ้าง มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่ทุกคนคิด อาจจะทำให้เราได้รู้จักกันมากขึ้น สิ่งพิเศษในโปรเจ็กต์นี้ คือ มีคุณพ่อ คุณแม่ ภรรยาผม มาพูดถึงเส้นทางนี้ตั้งแต่ต้น ในทุกมุม และประสบการณ์ที่เขาเจอกับผมมาจริงๆ ว่ามาได้ยังไง เพราะจริงๆ ผมทำตรงนี้มา 18 ปีแล้ว"

ทำไมเราถึงอยากให้คนได้เห็นและสัมผัสเส้นทางนี้ของเราล่ะ?

"ทุกคนเกิดมามีพื้นฐานชีวิตที่ไม่เหมือนกัน มีความคิดที่แตกต่างกัน สำหรับผมเองผมสู้เพื่อความฝันของผมมา 18 ปี โดยไม่ได้คิดว่าทำแล้วเราต้องมีเพลงที่ดัง หรือ มีชื่อเสียงอะไรก็ตาม ผมทำเพราะผมชอบ ผมรัก และมีความสุขกับมันจริงๆ มันก็จะมีมุมมอง เส้นทาง ประสบการณ์ต่างๆ ที่ไม่เคยมีใครได้เห็นแน่ๆ มันอาจจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น และ อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนได้บ้างไม่มากก็น้อย"

"เพราะชีวิตแต่ละคนมีอุปสรรค มีความยากด้วยกันทุกคน แค่เป็นอุปสรรคและความยากที่ไม่เหมือนกันเท่านั้นเอง ก็หวังว่าเรื่องของผมจะมีประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย ก็จะได้เห็นกันวันที่ 9 ก.ย. นี้ ที่ช่องยูทูป Mindset Mob ครับ"


รอยสักของป๊อก

 

"โปรเจ็กต์เพลงสากลเพลงแรกในชีวิต"

ต่อด้วยเพลงที่ท้าทายตัวเองมาก อย่างเพลง "Eyes On Me" ?

"ใช่ครับ เป็นเพลงสากลเพลงแรกในชีวิตของผมเลย โปรเจ็กต์นี้ต่อยอดมาจากเพลง "วิบวับ" เพราะเพลงนี้ทำให้ผมเข้าถึงแฟนเพลงในต่างประเทศมากขึ้น โดยที่ผมก็งงเหมือนกัน ไม่คิดว่าเพลงเราจะเป็นที่สนใจของคนต่างชาติ ทั้งยุโรป อเมริกา ทำให้ผมรู้ว่าเพลงบ้านเราก็เข้าถึงพวกเขาได้เหมือนกัน ก็เลยเป็นไอเดียให้ทำเพลงสากลออกมา"

"ชื่อเพลง "Eyes On Me"  แนวดนตรีจะเป็นสไตล์ Club ซึ่งเป็นแนวที่ Mindset ยังไม่เคยทำมาก่อน เนื้อเพลง 90% เป็นภาษาอังกฤษ 10% เป็นภาษาไทย และยังได้ โต้ง twopee และ มารีน่า มาร่วมฟีเจอริ่งด้วย ตอนนี้กระบวนการก็เสร็จแล้วพิเศษคือ ปล่อยพร้อมสารคดีของผมเลย วันที่  9 ก.ย. นี้ ครับ"

ป๊อก-มารีน่า จาก eyes on me

"พ่อบ้านสายชิลล์ ให้ครอบครัวสำคัญเป็นอันดับแรกของชีวิต" 

คุยเรื่องเพลงกันมาพอสมควร ขอมาเรื่องน่ารักๆ ในครอบครัวบ้าง เป็นยังไงบ้างกับชีวิตคุณพ่อลูกแฝด?

"มีความสุขมากครับ ต้องบอกว่าเมื่อก่อนก็มีบางอย่างที่ผมไม่เข้าใจเพราะยังไม่เคยเป็นพ่อ แต่พอได้เป็นพ่อคนแล้วก็เข้าใจมากขึ้น การได้เป็นพ่อทำให้เราย้อนกลับไปมองเรื่องราวของเรากับคุณพ่อเมื่อสมัยเรายังเด็ก บางอย่างที่เราอาจจะไม่เข้าใจคุณพ่อในตอนนั้นก็ทำให้เราเข้าใจมากขึ้น ลูกๆ เขาเหมือนมาเป็นพลังบวกในชีวิตของผม ตอนนี้มีความสุขมากครับ แฮปปี้มากๆ" 

"และผมต้องขอบคุณทุกๆ คน ที่ติดตามครอบครัวเรา ขอบคุณทีเอ็นดูลูกๆ เรา เห็นว่าเขาน่ารัก ชอบและติดตามเขา ขอบคุณมากๆ ที่เอ็นดูครอบครัวเราครับ"

คนดังเมื่อมีลูกก็จะมีชาวโซเชียลเข้ามาวิจารณ์การเลี้ยงลูก บางอย่างถูกใจ บางอย่างไม่ถูกใจ เรารู้สึกยังไงกับเรื่องนี้บ้าง?

"ผมมองว่าการที่มีคนเข้ามาแนะนำการเลี้ยงลูกเป็นสิ่งที่ดีนะ เพราะผมกับกี้เราไม่ได้รู้ไปหมดทุกเรื่อง เราเป็นพ่อแม่มือใหม่ การมีลูก เลี้ยงลูก เป็นสิ่งใหม่ที่เรากำลังเรียนรู้ไปพร้อมๆ กัน สิ่งที่รับมาไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ผมขอบคุณที่มาบอกกับเรา อะไรที่เป็นประโยชน์เราก็นำไปปรับใช้"

"บางอย่างเขาบอกมาเราไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็รู้สึกดี ผมว่ามีคนมาบอกดีกว่าไม่มีครับ แต่โชคดีที่ว่าครอบครัวเราไม่ค่อยมีดราม่าอะไรเท่าไหร่ ผมกับกี้เราก็ใช้ชีวิตในแบบของเรา เป็นตัวเราให้ได้มากที่สุดครับ ไม่ได้กดดันอะไร"

ป๊อกและลูกๆ

จากชีวิตหนุ่มโสด ตอนนี้มีครอบครัวแล้ว เป้าหมายชีวิตเราเปลี่ยนไปยังไงบ้าง?

"ตอนนี้ผมให้ความสำคัญอันดับแรกเลยคือ "ครอบครัว" ไม่ว่าอะไรก็ตามผมต้องให้ครอบครัวให้ได้มากที่สุด แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ เวลา ทุกวันนี้ผมต้องทำงานเพื่อดูแลครอบครัว มันเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ที่เราต้องออกไปทำงาน แต่ก็ไม่ลืมที่จะให้เวลากับครอบครัวเพราะเวลาเป็นสิ่งที่เราเอาคืนย้อนมาไม่ได้ พยายามไม่ทำงานจนไม่ลืมหูลืมตาครับ"

"ลูกๆ เขาก็ต้องการเวลาจากเราเพราะเขาโตไวมาก เมื่อก่อนผมเป็นคนตื่นเช้าไม่ได้เลยเพราะงานเสร็จดึก กว่าจะเสร็จงาน ถึงบ้าน ได้นอนก็ตี 5 แต่ทุกวันนี้ผมจะตื่นเช้าให้ได้ จะตื่นไม่ให้เกิน 8 โมง เพื่อที่จะได้ใช้เวลากับเขา"

เราเป็นคุณพ่อสไตล์ไหน?

"ผมเป็นพ่อแนว สบายๆ สายชิลล์ครับ เลี้ยงในแบบที่เป็นเรามากที่สุด พยายามเลี้ยงเขาให้เขาเป็นคนดี ด้วยความที่ผมถูกสอนมาแบบนั้นตั้งแต่เด็กและรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่ดี ผมมองว่าสิ่งสำคัญที่สุด คือ คนเราควรจะมีจิตใจที่ดี เพราะฉะนั้นผมก็อยากให้ลูกๆ เกิดมาเป็นคนที่ดี"

"ผมไม่ได้อยากบังคับอะไรเขา ในชีวิตเขาผมแล้วแต่การตัดสินใจของลูกเลย อย่างกี้เองเขาก็เป็นคนชิลล์เหมือนกัน เราต้องชิลล์ประมาณนึงเลยถึงอยู่ด้วยกันได้ (หัวเราะ) เรามีความสุขในสไตล์ครอบครัวของเราครับ"

การเป็นพ่อทำให้มุมมองการใช้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปไหม?

"การมีลูกทำให้ผมเห็นมุมมองที่บางทีผมอาจจะไม่เคยเข้าใจในมุมของคุณพ่อผม แต่ตอนนี้ผมเห็นมากขึ้น เช่น เมื่อก่อนผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคุณพ่อคุณแม่ไม่อยากผมไปทำอะไรพิเรนทร์ๆ หรือไปทำอะไรที่ต้องเจ็บตัว ซึ่งตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่าทำไมเราถึงทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว"

"พอผมกลับมานั่งคิดในวันนี้หัวใจผมหวิวไปเลย ว่าถ้าวันหนึ่งลูกมาบอกว่าเขาอยากจะไปเป็นนักมวยหรือไปทำในสิ่งที่เขาอยากทำแต่มันเสี่ยงต่อการเจ็บตัว ผมจะตัดสินใจยังไงดี เราต้องสนับสนุนในสิ่งที่เขาอยากทำแต่ต้องเห็นลูกเราโดนต่อย เจ็บ เราจะทำยังไงดี ตรงนี้ทำให้เราเข้าใจพ่อมากขึ้น"

"นอกจากนี้การมีลูกทำให้ผมหันมาดูแลตัวเองให้ดีเพื่อจะได้อยู่กับครอบครัวเราให้นานที่สุด ผมเคยนอนคิดแบบนอนไม่หลับเลยว่า ถ้าวันหนึ่งเราไม่อยู่แล้ว ครอบครัวเราจะเป็นยังไงบ้าง เรื่องนี้ทำเอาผมคิดไปไกลเลย ก็เลยรีบไปตรวจสุขภาพเพราะเราอยากอยู่กับครอบครัวเรานานๆ เมื่อก่อนอาจจะไม่ได้สนใจเรื่องนี้แต่ตอนนี้เรามีครอบครัวต้องดูแล เราต้องอยู่ดูแลพวกเขาให้นานที่สุด เพราะเราทำให้เขาเกิดมาเราต้องดูแลเขา"

"ส่วนภรรยาผม ผมก็คิดนะว่าถ้าวันนึงเราออกไปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับเรา เขาจะเป็นยังไงกัน เพราะฉะนั้น กลายเป็นว่าตอนนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็คิดเยอะขึ้น อย่างผมชอบรถ ชอบมอเตอร์ไซค์ ก็ต้องระวังมากขึ้น ถ้าเป็นอะไรไปมันไม่คุ้มกัน"

ป๊อก-มาร์กี้ ลูกๆ

 "ผู้ชายโชคดี ภรรยาคนนี้ครบองค์สุดๆ"

 แล้วชีวิตความเป็น สามี ภรรยา เป็นยังไงบ้าง ทะเลาะกับ มาร์กี้บางไหม?

"ไม่ค่อยเลยครับ ถ้าถามว่ามีปัญหาไหม มันต้องมีบ้าง ไม่มีเลยมันเป็นไปไม่ได้หรอก แต่เราไม่มีปัญหาใหญ่ที่เราไม่โอเคกัน ผมรู้สึกว่าผมโชคดีที่กี้เขาคล้ายๆ กับผม เราเป็นเหมือนทุกอย่างให้กันและกัน เป็น สามี ภรรยา เป็นพ่อแม่ให้กับลูก เป็นคู่รัก เป็นเพื่อน เป็นที่ปรึกษา เวลามีอะไรเราคุยกันร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีอะไรต้องกั๊กกันเลย ขาดกันไม่ได้แล้ว"

เราเป็นคนสปอยด์ภรรยาไหม?

"ถามว่าสปอยด์ภรรยาไหม ไม่เลย แต่พูดตรงๆ ก็ ภรรยาเรา เราก็ต้องดูแล ไม่งั้นถ้าไม่พร้อมดูแลก็ไม่ต้องแต่งตั้งแต่แรก แต่ผมดันโชคดีที่ผมได้ภรรยาที่มีความคิด เขาประหยัด ไม่ได้ฟุ่มเฟือย โชคดีที่เขาเป็นคนคิดเยอะเวลาจะซื้ออะไรอยู่แล้ว"

"กี้ไม่ได้ทำอะไรให้เราต้องห่วงเลย เป็นภรรยาที่ฟูลออฟชั่นมาก คนนี้ครบองค์จริงๆ ผมโชคดีมากที่เจอเขา เขาขยันทำงานมาก ด้วยความที่ผมเป็นคนที่ชอบทำอะไรอยู่ตลอดเวลา เขาก็พร้อมจะทำไปพร้อมๆ กับผม เขาไม่อยู่เฉยเหมือนกัน"

 ป๊อก-มาร์กี้

"หนุ่มที่คนมองว่าเพรียบพร้อมกับความฝันที่เต็มไปด้วยอุปสรรค"

หนุ่มเพอร์เฟ็กต์ในสายตาทุกคน ทำไมต้องมาฟันฝ่าอุปสรรคเพื่องานศิลปิน?

"ผมเจอคำถามที่ว่า "ทำไปทำไม?"  มาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว สำหรับผม ผมมองว่าคนเรามีความคิดที่แตกต่างกัน เราเกิดมาคนละครอบครัว มีพื้นฐาน การถูกเลี้ยงดูที่ไม่เหมือนกัน รวมทั้ง มีเส้นทางคนละเส้นทาง ซึ่งแต่ละคนต่างไม่เข้าใจหรอกถ้าเราไม่ได้ไปอยู่บนทางเส้นนั้น"

"แต่คนที่มองสิ่งที่ผมทำแล้วไม่เข้าใจเราก็ไม่ว่ากัน เพราะเขาไม่ได้มาเดินตรงนี้เขาก็ไม่เข้าใจหรอกว่าถนนเส้นนี้มีอะไรบ้าง ถ้าผมเป็นคนอื่นแล้วมองเข้ามาไม่แน่ผมก็อาจจะคิดแบบที่เขาคิดก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือ ทุกคนมีเส้นทางที่มีอุปสรรคในรูปแบบต่างๆ ของตัวเองกันทั้งนั้น ไม่มีใครที่ไม่มีอุปสรรค ผมก็เช่นกัน แต่คนอื่นอาจจะไม่เคยเห็นว่าผมเจออะไรบ้าง"

"ที่ผมเลือกทำในสิ่งที่ทำทุกวันนี้เพราะว่าผมรักและมีความสุขกับมัน  ผมมองว่าแต่ละคนมีความสุขกับอะไรไม่เหมือนกัน ซึ่งผมมีความสุขและชอบสิ่งนี้ เป็นฝันของเด็กคนหนึ่งที่ผมก็ล่าฝันของผมมาเรื่อยๆ ผมไม่ได้ทิ้งมันไป ผมสู้มาจนถึงทุกวันนี้โดยที่ผมก็พูดตรงๆ ว่า ผมก็ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัว แต่ผมก็ยังโชคดีที่เขาไม่ได้ขัดขวาง เพราะจริงๆ เขาก็อยากให้ผมทำงานของที่บ้าน ก็เลยไม่ได้สนับสนุนอะไร แต่อย่างที่บอกว่าไม่ได้ขัดขวางนั้นก็นับว่าเป็นความโชคดีอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดกับผม"

"หลายๆ คนอาจจะลืมไปว่าผมเป็นคนที่ได้มาทั้งครึ่งพ่อกับครึ่งแม่นะ พ่อผมเป็นสายธุรกิจ แต่อย่าลืมว่าแม่ผม คือ สายศิลปะ คุณตาเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง เป็นนักแสดง แม่ผมเป็นนางงาม คุณพ่อเป็นนักธุรกิจ ก็เหมือนผมได้ครึ่งๆ ทั้งฝั่งคุณพ่อและคุณแม่ด้วย"

ระหว่างทางล่าฝันมันหนักหนาแค่ไหน?

"ช่วงหนักๆ ผมว่ามันมีแทบจะตลอดเวลาเลย แต่มันมาในรูปแบบที่ไม่เหมือนกัน อย่าง ตอนแรกๆ เลย ด้วยชื่อผม คนจากด้านนอกไม่ค่อยอยากจะเปิดรับสักเท่าไหร่หรอก ในขณะเดียวกันคนจากด้านในของผมก็ไม่ได้อยากจะสนับสนุน เพราะฉะนั้นผมเหมือนจะไม่ได้รับอะไรเลยทั้งข้างในและข้างนอก แต่ไม่เป็นไรเพราะผมทำเพราะผมรัก ผมชอบ เพราะฉะนั้นให้ผมทำเถอะ แล้วผมก็ทำมันมาถึงทุกวันนี้ มันก็ไปในทางที่ดีขึ้นมากครับ"

ความยากที่เราเจอมา เหมือน เป็นคำตอบแล้วว่า ชื่อ หรือเงินทอง ไม่ได้ทำให้เราประสบความสำเร็จง่ายกว่าคนอื่น 

"ตรงกันข้ามเลยด้วยซ้ำ อย่างที่บอกผมเลือกเกิดไม่ได้ ผมเกิดมาเป็นลูกของคุณพ่อคุณแม่แบบนี้ แต่ละคนก็เลือกเกิดไม่ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้เป็นสิ่งที่เราทำอะไรไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ก็ คือ เมื่อเราเกิดมาแล้วเราเลือกได้ว่าเราจะไปทางไหน จะทำอะไร ตรงนี้เราเป็นคนเลือก และทางนี้ คือ สิ่งที่ผมเลือก"

 ป๊อก ภัสสรกรณ์

"ผมเกลียดคำว่า "ไฮโซ" 

รู้สึกยังเวลาคนตัดสินเราจากนามสกุล หรือ ฐานะของครอบครัวก่อนเรื่องความสามารถ?

"เอาแบบนี้ดีกว่า คือ ผมจะถูกเรียกว่า "ไฮโซป๊อก" ตลอดมา ซึ่งบอกตรงๆ เลยว่าผมเกลียดคำนี้มาก แต่เมื่อไม่นานมานี้คำนี้มันหายไปจากผมแล้ว ผมดีใจมาก กลายเป็นคำเรียกอื่นๆ แทน ผมขอบคุณมาก ผมยังคุยกับกี้อยู่เลยว่า "บี๋! ชื่อนั้นมันหายไปแล้ว" (หัวเราะ) ผมใช้เวลานานมากกว่าคำนี้มันจะหายไป "

คนเขาอยากเป็นไฮโซกัน ทำไมเราไม่อยากเป็น?

"มันอึดอัด ผมไม่ชอบครับ ไฮโซ คือ อะไรล่ะ ทำไมต้องมาเรียกผมว่าไฮโซ ผมรู้สึกว่าผมไม่ใช่ไฮโซ ผมก็ คือ คนธรรมดาคนหนึ่ง ซึ่งคุณพ่อเลี้ยงผมให้โตมาแบบธรรมดาจริงๆ ผมใช้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไปเลย "

"แต่การที่ผมเกลียดคำว่าไฮโซ ไม่ได้หมายความว่าผมเกลียดการเกิดมาเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่นะครับ ผมรู้สึกภาคภูมิใจและดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูกคุณพ่อคุณแม่ เพียงแต่ว่าผมไม่ชอบที่คนมองเราด้วยปัจจัยอื่นที่ไม่ใช่เราจริงๆ และตัดสินเราโดยที่ก็ไม่รู้ว่าเราผ่านอะไรมาบ้าง"

 ตอนนี้ยังทำงานให้ธุรกิจที่บ้านอยู่ไหม?

"ไม่แล้วๆ ผมออกมาได้ 2 ปีแล้ว ก็ใช้เวลานานมากเหมือนกันกว่าจะออกมาได้ ตั้งแต่เกิดผมรู้อยู่แล้วว่าผมต้องทำงานของครอบครัว ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นมาเรื่อยๆ เรียนจบทำงานให้คุณพ่อ เริ่มจากเป็นพนักงานออฟฟิศ เข้างาน 8 โมง ทำงานตามกฏระเบียบ รับเงินเดือนปกติเหมือนทุกคน ประมาณ 5 ปี"

"แต่สิ่งหนึ่งที่ผมโชคดีมากๆ ก็คือ ผมได้รับคำสอน และการนำทางของคุณพ่อ ที่เป็นสิ่งที่ดีมากๆ คุณพ่อพูดเสมอตั้งแต่ผมเด็กๆ จนโตว่า ห้ามลืมเด็ดขาดว่าเราเป็นใคร เพราะเราไม่ใช่ใคร คุณปู่ผมมาที่นี่โดยเรือ ไม่มีบ้าน ไม่มีอะไรเลยเพราะฉะนั้นเราคือคนนั้นนะ คนที่มาจากตรงนั้น" 

ป๊อก ภัสสรกรณ์

"สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ คือ สิ่งที่คุณปู่ คุณพ่อ คุณลุงผมสร้างมา ผมถึงบอกว่าผมภูมิใจที่ท่านสร้างมาจนถึงขนาดนี้ ผมภูมิใจที่เกิดมาเป็นลูกหลานของบรรพบุรุษของผม แต่ผมไม่ได้เป็นคนทำ เพราะฉะนั้นอย่าเอาสิ่งนั้นมาครอบผมว่าผมเป็นไฮโซป๊อก" 

สุดท้ายป๊อกอยากฝากอะไรถึงคนที่ติดตามเราและชื่นชอบในผลงานเราไหม?

"ต้องขอบคุณทุกๆ คนนะครับ ที่สนับสนุนผมและครอบครัวมาตลอด เราจะไม่มีวันนี้เลยถ้าไม่มีทุกคนจริงๆ สำหรับใครที่ชอบ อยากดูไลฟ์สไตล์หรืออะไรที่เกี่ยวกับครอบครัวเราก็ติดตามได้ในช่องยูทูป Mindset TV ของเรา หวังว่าครอบครัวเราจะสร้างความสุขให้ทุกๆ คนได้บ้างไม่มากก็น้อย ส่วนในเรื่องของงานเพลงก็ติดตามทาง Mindset Mob  นะครับ ก็จะปล่อยเพงออกมาให้ฟังกันเรื่อยๆ ก็ฝากด้วยนะครับ"

การพูดคุยกันครั้งนี้ทำให้เห็นว่าหนุ่มคนนี้ นอกจากจะมีฝีมือการทำเพลงที่เก่งแบบหาตัวจับยากแล้ว เรื่องราวของชีวิตของเขายังน่าสนใจเอามากๆ เพราะเขาผ่านอะไรมามากมายเกินกว่าภาพลักษณ์ที่คนมองว่าเขานั้นได้ทุกอย่างมาได้อย่างง่ายดายด้วยฐานะทางสังคม นอกจากนี้หนุ่มป๊อกยังเผยให้เห็นมุมความอบอุ่นของความเป็นคุณพ่อและสามีที่น่ารักมากเลยทีเดียว

อัลบั้มภาพ 54 ภาพ

อัลบั้มภาพ 54 ภาพ ของ "ป๊อก ภัสสรกรณ์" เปิดทางล่าฝันที่ปูด้วยขวากหนาม เผยส่วนลึกในใจ ผมเกลียดคำว่า "ไฮโซ"

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook