“ไมค์ ภาณุพงศ์” เด็กชูป้ายไล่นายกฯ สู่แกนนำประท้วงที่ราชดำเนิน

“ไมค์ ภาณุพงศ์” เด็กชูป้ายไล่นายกฯ สู่แกนนำประท้วงที่ราชดำเนิน

“ไมค์ ภาณุพงศ์” เด็กชูป้ายไล่นายกฯ สู่แกนนำประท้วงที่ราชดำเนิน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ณ ขณะนี้ เราคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่า การออกมาชุมนุมประท้วงรัฐบาลของเยาวชนคนรุ่นใหม่ได้กลายเป็นกระแสหลักที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ นับตั้งแต่การชุมนุมของกลุ่มเยาวชนปลดแอกที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งจุดประกายให้เกิดแฟลชม็อบสุดสร้างสรรค์แทบจะรายวันในเวลาต่อมา อย่างไรก็ตาม นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ถนนสายการเมืองอย่าง “ถนนราชดำเนิน” ได้ทำหน้าที่เป็นเวทีแสดงพลังของคนรุ่นใหม่ หลังจากหลับใหลมานานหลายปี และหนึ่งในคนรุ่นใหม่ที่ได้ “เดบิวต์” บนถนนสายนี้ก็คือ “ภาณุพงศ์ จาดนอก” หรือ “ไมค์” ประธานกลุ่มเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย ที่หลายคนอาจจะคุ้นหน้าจากการชูป้ายประท้วงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขณะลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์โควิด-19 ที่ จ.ระยอง เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม

ไมค์ ภาณุพงศ์ (ซ้าย) ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังชูป้ายประท้วงนายกรัฐมนตรี ที่ จ.ระยองภาณุพงศ์ จาดนอกไมค์ ภาณุพงศ์ (ซ้าย) ให้สัมภาษณ์กับสื่อหลังชูป้ายประท้วงนายกรัฐมนตรี ที่ จ.ระยอง

ไมค์ วัย 24 ปี เล่าให้ Sanook ฟังว่า เขาเป็นลูกคนเล็กในครอบครัวชาวบ้านธรรมดาใน จ.ระยอง ที่สนใจการทำงานเพื่อสังคมมาตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี และเป็นผู้นำเยาวชนที่คนในชุมชนให้ความไว้วางใจ ทำให้เขาสามารถ “รวมแก๊ง” พาเยาวชนในชุมชนเข้าสู่การทำงานจิตอาสาเพื่อสังคม ก่อนจะพัฒนาเป็น “กลุ่มเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งมีสมาชิกเป็นเยาวชนทั้งเด็กมัธยม อาชีวะ และการศึกษานอกโรงเรียน ราว 1,500 คน ทำหน้าที่ลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาทุกรูปแบบ ตั้งแต่ปัญหาการลงโทษของครูในโรงเรียน ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไปจนถึงการเข้าไม่ถึงสวัสดิการของรัฐ

“ช่วงโควิด-19 เรามาคิดกันว่าจะช่วยคนที่ไม่ได้รับสวัสดิการของรัฐ หรือไม่ได้เงิน 5,000 บาท อย่างไร เช่น คนที่อยู่ในป่า เจ้าหน้าที่เข้าไปไม่ถึง เราก็เตรียมถุงยังชีพ เราแบ่งเป็น ‘3 อา’ คือ อาหาร เราคำนวณให้อาหารในถุงยังชีพต้องอยู่ได้ 1 เดือน อาที่สองคือ อาชีพ เรามีเด็กในเครือข่ายของเราที่เป็นเด็กอาชีวะ เข้าไปสอนเกี่ยวกับคหกรรม การเกษตร ที่มันตรงกับบริบทของเขา แต่เขาไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ และสามคือ อนามัย เราให้ลูกของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) พาแม่ไปหาคนเหล่านี้” ไมค์เล่าถึงการทำงานเชิงพื้นที่ของกลุ่ม

แม้ว่าการทำงานเชิงพื้นที่จะเอื้อให้สามารถช่วยเหลือคนในพื้นที่ได้อย่างรวดเร็วทันใจ แต่หลายครั้งไมค์ก็พบว่าการทำงานเชิงพื้นที่ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากนโยบายของภาครัฐยังไม่สนับสนุนให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้ในระยะยาว ยกตัวอย่างเช่น ปัญหามลพิษที่เกิดจากโรงงานอุตสาหกรรม ที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ทำให้ประชาชนต้องออกมาเรียกร้อง และจบลงที่โรงงานยอมจ่ายค่าเสียหาย ทว่าปัญหากลับวนเวียนไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้น กลุ่มเยาวชนตะวันออกเพื่อประชาธิปไตยจึงหันมาทำงานเชิงนโยบายมากขึ้น โดยการยื่นหนังสือเรียกร้องต่อคณะกรรมาธิการต่างๆ ให้ตรวจสอบโรงงานหรือหน่วยงานรัฐ

“เรามองเรื่องอนาคตของตัวเองและความเป็นอยู่ของพ่อแม่ เราอยากให้พ่อแม่เราสบาย ทุกคนก็ต้องสบายไปด้วย เราจะนึกถึงประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก เราตั้งธงอย่างนั้นมาตลอดเวลา เราไม่รู้ว่ามันจะเกิดผลสัมฤทธิ์ได้แค่ไหน แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มันก็จะไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงต้องเกิดจากการลงมือทำ” ไมค์กล่าว

จากการทำงานจิตอาสาด้านสังคมมาตั้งแต่อายุยังน้อย ไมค์เลือกเส้นทางชีวิตของตัวเองสู่การเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสังคม ประกอบกับการถูกลอบทำร้ายจากคนในพื้นที่ ดังนั้น ทันทีที่เขาเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 เขาตัดสินใจออกจากบ้านมาใช้ชีวิตด้วยตัวเอง ทำงานหาเงินส่งตัวเองเรียน และเลิกขอเงินแม่ตั้งแต่อายุ 19 ปี

“ถามว่าวันนี้ทำไมแม่เข้าใจ เพราะตั้งแต่อายุ 19 – 24 ปี แม่รู้แล้วว่าเราทำเพื่ออะไร และเราพิสูจน์ให้แม่เห็นว่าเราทำจริงๆ แม่บอกว่า ขอให้สู้อย่างคนที่รักชาติ สู้อย่างคนที่มีอุดมการณ์ที่จะช่วยคนอื่นจริงๆ ทุกวันนี้ไม่มีโทรมาด่าว่าอย่าไปทำอย่างนั้นอย่างนี้ มีแต่บอกว่า สู้นะลูก หนูทำดีแล้ว แม่ให้กำลังใจ กินข้าวด้วยนะลูก แม่เป็นห่วง แค่นั้นครับ แม่ไม่เคยบ่นเกี่ยวกับการที่เราลงมาทำ และไม่เคยบ่นเวลาเราโดนคดี” ไมค์อธิบาย

ภาณุพงศ์ จาดนอก

หลังจากการชูป้ายประท้วงนายกรัฐมนตรีที่ จ.ระยอง เส้นทางของไมค์ นักเคลื่อนไหวจากต่างจังหวัด ได้มาบรรจบกับกลุ่มเยาวชนในกรุงเทพฯ ในกิจกรรม “เยาวชนปลดแอก” เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน ที่เสียงของคนรุ่นใหม่ถาโถมออกจากโลกโซเชียลสู่ท้องถนน เพื่อแสดงความไม่พอใจต่อการทำงานของรัฐบาล พร้อมยื่นข้อเรียกร้องต่อรัฐบาล 3 ข้อ ได้แก่ ขอให้รัฐบาลประกาศยุบสภา หยุดคุกคามประชาชน และร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก่อนที่จะยุติการชุมนุมในที่สุด นอกจากนี้ นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ไมค์ได้เปิดตัวบนเวทีปราศรัยที่ถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นหนึ่งในความฝันของเขา

“เราฝันไว้ว่าวันหนึ่งฉันจะเป็นแกนนำปราศรัย เพื่อทำให้ประเทศไทยก้าวไปข้างหน้า เราพูดกับหลายคนที่ระยองว่า วันหนึ่งกูต้องได้เป็นแกนนำขึ้นเวทีปราศรัยและทำให้ทุกคนตาสว่างว่าสิ่งที่พวกเราทำกันอยู่มันคืออะไร นี่คือความฝัน แล้วมันเป็นความจริง” ไมค์เล่าถึงความฝันอย่างภาคภูมิใจ นอกจากนี้ เขายังอธิบายว่า ในการทำงานเคลื่อนไหว สิ่งที่จำเป็นคือการเติมพลังใจ เพื่อที่จะสู้ให้เร็วที่สุด ดีที่สุด ไม่ให้เกิดการนองเลือด สู้ด้วยเหตุผล สติปัญญา และการเจรจา

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์การต่อสู้ระหว่างรัฐกับประชาชนในอดีต หลายครั้งเราพบว่าประชาชนก็ไม่ได้เป็นฝ่ายชนะเสมอไป ไมค์กล่าวเกี่ยวกับการรับมือกับความผิดหวังเช่นนี้ว่า สำหรับเขาแล้ว ความผิดหวังคือการที่เขาตายโดยไม่ได้ทำประโยชน์ให้แก่สังคม แต่หากการตายของเขาสร้างประโยชน์ให้กับประชาชน ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ

“เราเคยถามแม่ว่า ถ้าไมค์ตายจะทำอย่างไร แม่บอกว่า มึงตายกูก็ตาย แต่กูไม่ได้โดนยิงตายเหมือนมึงนะ กูใจขาดตาย เพราะกูเห็นลูกโดนยิงตาย ครอบครัวเราไม่ได้คุยกันหวานๆ เป็นบ้านฮาร์ดคอร์ แต่เราดีใจที่มีครอบครัวแบบนี้ เป็นครอบครัวที่เห็นศักยภาพของเรา แล้วส่งเสริมเรา สิ่งที่เขาหล่อหลอมเราให้มาเป็นเราจนถึงทุกวันนี้ คือความอดทน การทำเพื่อคนอื่น การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แบ่งปัน” ไมค์เล่าพร้อมรอยยิ้ม

เมื่อถามถึงชัยชนะของประชาชนที่ออกมาประท้วง ไมค์บอกว่า

“แม่บอกว่าไม่ถึงร้อยคดีไม่ต้องกลับบ้าน แต่ถึงร้อยคดีก็ไม่กลับ ถ้ายังไม่ชนะ ชัยชนะของเราไม่ใช่การที่รัฐบาลยอมแพ้ แต่ชัยชนะของเราคือประชาชนต้องมีความสุข เศรษฐกิจต้องกลับมาดี ประเทศไทยต้องพัฒนา เพราะหลังจากที่รัฐบาลยุบสภาหรือเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ เราก็ต้องช่วยกันอยู่ดี เพื่อให้มันถึงเป้าหมายตรงนั้นจริงๆ” ไมค์กล่าว

และในมุมมองคนรุ่นใหม่ที่ออกมาแสดงจุดยืนและสร้างความเปลี่ยนแปลงเพื่ออนาคตเช่นเดียวกับคนรุ่นใหม่ทั่วโลก ไมค์เล่าว่า โลกที่เขาอยากเห็น คือโลกที่มีความเท่าเทียมทั้งในด้านการศึกษา ความเท่าเทียมทางเพศและสังคม ทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเสมอภาค และไม่มีการกดขี่จากกฎหมายและระหว่างประชาชนด้วยกัน

“อยากให้ทุกคนมองเห็นความสำคัญของคำว่ามนุษย์ เราก็คน เขาก็คน สะกดเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราอยากให้คนเห็นความสำคัญซึ่งกันและกัน นี่แหละคือสิ่งที่ไมค์หวังไว้” ไมค์ทิ้งท้าย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook