บริษัทยาสหรัฐฯ เล็งทดสอบ “พลาสมาเลือดวัว” ในมนุษย์ หวังรักษาโควิด-19
SAB Biotherapeutics บริษัทยาในเซาธ์ ดาโกตา สหรัฐอเมริกา เตรียมทดสอบแอนติบอดีจาก “พลาสมาในเลือดวัว” ในร่างกายมนุษย์ ว่าจะสามารถรักษาโรคโควิด-19 ได้หรือไม่ โดยการทดสอบจะเริ่มขึ้นในเดือนกรกฎาคมนี้
เอ็ดดี ซัลลิแวน ซีอีโอของ SAB Biotherapeutics กล่าวกับสำนักข่าว CNN ว่า วัวที่นำมาทดลองจะผลิตแอนติบอดีที่มีความเป็นกลาง ซึ่งสามารถฆ่าเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในห้องทดลองได้ และทีมวิจัยก็มีความคาดหวังอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำนวัตกรรมนี้เข้าสู่กระบวนการรักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 ได้ อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทยังไม่เปิดเผยว่าจะใช้คนกี่คนในการทดสอบทางคลินิกหรือจะใช้เวลาเท่าไร
สำหรับกระบวนการผลิตยาจากแอนติบอดีของวัว นักวิทยาศาสตร์จะตัดต่อพันธุกรรมของวัว เพื่อให้มีระบบภูมิคุ้มกันใกล้เคียงกับมนุษย์ โดยการนำยีนที่สร้างแอนติบอดีของวัวออกจากผิวของเซลล์วัว และเติมโครโมโซมมนุษย์เทียมที่ตัดแต่งพันธุกรรมแล้วเข้าไปแทน เพื่อทำให้วัวสามารถสร้างแอนติบอดีของมนุษย์สำหรับต่อสู้กับโรคโควิด-19 จากนั้นก็จะนำดีเอ็นเอจากเซลล์เหล่านั้นใส่เข้าไปในไข่ของวัว เพื่อให้เติบโตเป็นตัวอ่อน และฝังตัวอ่อนเข้าไปในร่างกายของวัว เพื่อให้วัวตั้งครรภ์ โดยในช่วง 20 ปี ที่ผ่านมา สามารถสร้างวัวที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเช่นนี้หลายร้อยตัว และทุกตัวมีภูมิคุ้มกันบางส่วนเหมือนมนุษย์
หลังจากนั้น นักวิทยาศาสตร์จะฉีดบางส่วนของเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคโควิด-19 ที่ไม่แพร่เชื้อเข้าสู่ร่างกายของวัว วัวจะผลิตแอนติบอดีของมนุษย์เพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสโคโรนา ก่อนที่จะพัฒนาแอนติบอดีดังกล่าวเป็นยาต้านไวรัส
SAB กล่าวว่า วัวมีคุณสมบัติหลายอย่างที่เหนือกว่าการเป็นผู้ให้พลาสมาของมนุษย์ คือหนึ่ง ตามธรรมชาติแล้ว วัวจะมีการตอบสนองของภูมิคุ้มกันที่เข้มข้นกว่ามนุษย์ การฉีดเชื้อไวรัสโคโรนาเข้าสู่ร่างกายของวัวซ้ำๆ จะทำให้การตอบสนองของภูมิคุ้มกันแข็งแรงมากขึ้น สอง วัวมีขนาดตัวใหญ่และมีพลาสมาจำนวนมาก และสาม วัวสามารถให้พลาสมาได้มากถึง 3 ครั้งต่อเดือน ในขณะที่มนุษย์สามารถให้พลาสมาได้เพียง 1 ครั้งต่อเดือน นอกจากนี้ ยาจากพลาสมาของวัวยังมีระดับแอนติบอดีที่เป็นกลางสูงกว่าแอนติบอดีที่มีศักยภาพมากที่สุดของมนุษย์ถึง 4 เท่า จากการทดสอบตัวอย่างของมหาวิทยาลัยพิตส์เบิร์ก
ขณะนี้ SAB ได้ผลิตยาหลายร้อยโดส ที่เรียกว่า SAB-185 เพื่อใช้ในการทดสอบทางคลินิก แต่ยังไม่ได้มีการประกาศว่าจะศึกษาในแง่การป้องกันหรือการรักษาโรคโควิด-19 หรือทั้งสองอย่าง
