WHO ชี้ การประท้วงคือเรื่องสำคัญ แม้ในช่วงการระบาดของโควิด-19

จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านการใช้ความรุนแรงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ และการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมอันมีสาเหตุมาจากความแตกต่างเรื่องสีผิว หลังจากที่ “จอร์จ ฟลอยด์” ชายผิวดำในเมืองมินนิอาโปลิส เสียชีวิตเนื่องจากขาดอากาศหายใจ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้หัวเข่าทับบนลำคอของเขาเป็นเวลานาน 8 นาที 46 วินาที จากนั้น การประท้วงก็ได้ลุกลามไปยังประเทศอื่น ๆ ในหลายทวีปทั่วโลก 

“WHO สนับสนุนความเท่าเทียมและการเคลื่อนไหวต่อต้านการเหยียดสีผิวอย่างเต็มที่ เราขอปฏิเสธการเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบ” นายเทดอรส อัดฮานอม เกเบรเยซุส ผู้อำนวยการใหญ่ WHO กล่าว เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน ที่ผ่านมา 

การชุมนุมประท้วงสร้างความกังวลให้กับหลายฝ่าย ว่าอาจจะส่งผลให้เชื้อไวรัสโคโรนากลับมาระบาดหนักอีกครั้ง โดยเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นถึง 136,000 ราย ภายในหนึ่งวัน ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า การระบุว่าผู้ชุมนุมประท้วงจะติดเชื้อโควิด-19 หรือไม่ในช่วงเวลานี้ เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เนื่องจากโรคโควิด-19 ใช้เวลาฟักตัวประมาณ 2 สัปดาห์ แต่ปัจจัยที่ชัดเจนที่จะทำให้เกิดการแพร่เชื้อก็คือ การอยู่ใกล้ชิดกัน ดังนั้น ภาพของผู้ชุมนุมประท้วงที่ยืนติดกัน ขณะที่หลายคนสวมหน้ากาก ก็ยังมีอีกหลายคนที่ไม่สวมหน้ากาก จึงก่อให้เกิดความกังวล โดยเฉพาะในหลายเมืองใหญ่ที่มีอัตราการติดเชื้อสูง 

อย่างไรก็ตาม WHO ก็ได้แนะนำให้ผู้ชุมนุมประท้วงปฏิบัติตามคำแนะนำของสำนักงานสาธารณสุขท้องถิ่นอย่างเคร่งครัด และดูแลป้องกันตัวเองไปพร้อม ๆ กับการเรียกร้องความยุติธรรม 

“เราขอแนะนำให้ผู้ประท้วงทุกคนปฏิบัติตัวเพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับตัวเอง ล้างมืออย่างสม่ำเสมอ เมื่อไอให้ใช้มือปิดปาก และสวมหน้ากากอนามัยเมื่อเข้าร่วมการชุมนุมประท้วง” นายเทดรอสกล่าว พร้อมแนะนำให้ผู้ชุมนุมพยายามรักษาระยะห่างกับผู้อื่น และเมื่อรู้สึกไม่สบายก็ให้อยู่บ้าน

อย่างไรก็ตาม การออกไปอยู่นอกบ้านอาจช่วยลดอัตราการติดเชื้อโควิด-19 ได้ เนื่องจากเชื้อไวรัสไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานท่ามกลางแสงแดด และมีการระบายอากาศที่ดี แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องการันตีว่าจะไม่ติดเชื้อ ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพยังกล่าวเตือนเรื่องกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประท้วง เช่น การโดยสารรถสาธารณะ การถูกจับและคุมขังรวมกับคนอื่น ๆ ก็สามารถเพิ่มความเสี่ยงที่จะติดเชื้อไวรัสได้