พีอาร์สาวสวยวัย 18 นั่งรถไปกับเพื่อนชาย ถูกตำรวจใช้อาวุธสงครามยิงจนขาพิการ
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/ns/0/ud/1582/7914842/newproject(457).jpgพีอาร์สาวสวยวัย 18 นั่งรถไปกับเพื่อนชาย ถูกตำรวจใช้อาวุธสงครามยิงจนขาพิการ

    พีอาร์สาวสวยวัย 18 นั่งรถไปกับเพื่อนชาย ถูกตำรวจใช้อาวุธสงครามยิงจนขาพิการ

    2019-10-03T16:52:40+07:00
    แชร์เรื่องนี้

    (3 ต.ค.62) เมื่อเวลา 10.00 น. ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา อ.เมือง จ.กาญจนบุรี นางฉัตรสุวรรณ พร้อมด้วย นายชัยเชษฐ อายุ 25 ปี แม่และพี่ชายของ น.ส.ชนากานต์ อายุ 18 ปี ได้ออกมาเรียกร้องของความเป็นธรรม โดยกล่าวว่า น.ส.ชนากานต์ มีอาชีพเป็นพีอาร์ในสถานบันเทิง โดยได้รู้จักกับชายหนุ่มคนหนึ่งได้ 3 สัปดาห์ และมารับไปกินข้าวหลังกินข้าวเสร็จชายหนุ่มคนดังกล่าวขอไปแวะบ้านเพื่อนในพื้นที่หมู่ที่ 7 ต.ลาดหญ้า อำเภอเมืองกาญจนบุรี

    แต่เมื่อไปถึงกลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจขับรถปิดทางเข้า และใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงเข้าใส่รถทันทีโดยไม่ได้มีการแจ้งหรือสั่งให้หยุดล่วงหน้า เป็นเหตุให้ น.ส.ชนากานต์ ถูกยิงเข้าที่ขาซ้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส กระดูกขาแตก เส้นเอ็นขาด และเส้นเลือดใหญ่ขาด จนปัจจุบัน น.ส.ชนากานต์ ต้องกลายเป็นคนพิการขาซ้าย โดยยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา จนถึงปัจจุบัน

    นอกจากนี้ นางฉัตรสุวรรณ กล่าวต่อว่า ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เคยรับผิดชอบอาการบาดเจ็บของลูกสาวที่เกิดขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาเคยมีการเจรจากันที่สถานีตำรวจภูธรลาดหญ้า พร้อมด้วยทหาร และพนักงานสอบสวน ที่ติดต่อเข้ามาขอเจรจาไปแล้ว 1 ครั้ง ซึ่งการเจรจาในครั้งนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ลงมือก่อเหตุ ซึ่งมียศสิบตำรวจโท ยอมรับว่าเป็นผู้ยิง น.ส.ชนากานต์ จริง และขอให้ครอบครัวยอมความไม่เอาเรื่อง เพื่อแลกกับการรับผิดชอบด้วยการชดใช้ค่ารักษาพยาบาลทั้งหมด ซึ่งครอบครัวได้เรียกค่าเสียหายในการดูแลรักษารวม 3 ล้านบาท  ที่ผ่านมามีเพียงเงินที่เจ้าหน้าที่มอบให้เบื้องต้นเพียง 30,000 บาท จนถึงขณะนี้ก็ยังไม่เคยมีหน่วยงานหรือเจ้าหน้าที่รายใด เข้ามาติดต่อขอชดใช้ค่าเสียหาย รวมไปถึงถูกบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด

    ปัจจุบัน นางฉัตรสุวรรณ และ นายชัยเชษฐ แม่และพี่ชาย ต้องลาออกจากงานประจำ เพื่อมาดูแล น.ส.ชนากานต์ ที่ยังคงรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลพหลพลพยุหเสนา  ซึ่งแพทย์ลงความเห็นว่าอาจใช้เวลาถึง 2 ปีในการรักษา เพื่อให้สามารถกลับมาเดินได้อีกครั้ง แต่ก็อาจเดินได้ไม่เหมือนปกติ

    จากนั้นเวลา 14.00 น. นายไชยา อายุ 46 ปี พร้อมด้วย นางฉัตรสุวรรณ พ่อและแม่ของ น.ส.ชนากานต์ ได้เดินทางไปที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ขอเข้าพบ พ.ต.อ.ธีระพงษ์ ฤทธิ์จรูญ ผกก.สภ.เมืองกาญจนบุรี เพื่อร้องขอความเป็นธรรม พร้อมกับขอให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ก่อเหตุให้ถึงที่สุด โดยกล่าวว่า หลังเกิดเหตุทาง สภ.ลาดหญ้า ได้รับเรื่องไว้สอบสวนแล้ว แต่จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานยืนยันได้ว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในท้องที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ซึ่งได้รับแจ้งว่ามีการปฏิบัติหน้าที่ตรงนี้ ดังนั้นทางสถานีตำรวจภูธรทั้งสองแห่งก็จะนำพยานหลักฐานที่ได้มารวบรวม และหากมีพยานหลักฐานอย่างไรก็ดำเนินการไปตามนั้น

    ในส่วนของเจ้าพนักงานที่อ้างว่า ปฏิบัติหน้าที่ และยิง น.ส.ชนากานต์ จนได้รับบาดเจ็บนั้น ทางเราไม่มีอำนาจในการสอบสวน โดยได้ส่งเรื่องไปยัง ป.ป.ช.ให้เป็นผู้พิจารณาในความผิดฐาน เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ ส่วนพยานหลักฐานที่เรารวบรวมส่งให้ ป.ป.ช.ขอไม่ลงลึกในรายละเอียดในส่วนนี้ เบื้องต้นอาวุธที่ใช้เป็นปืนเอ็ม 16 ของทางราชการ

    สำหรับการปฏิบัติหน้าที่ในท้องที่ สภ.เมืองกาญจนบุรี ตนไม่มีนโยบายให้ใช้อาวุธสงครามในการปฏิบัติหน้าที่ปราบปรามยาเสพติด แต่ในส่วนของหน่วยอื่น ตนไม่ขอก้าวล่วง เนื่องจากตนไม่ใช่ผู้บังคับบัญชา ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจนายดังกล่าวมียศ สิบตำรวจโท สังกัด ตชด. ส่วนการปฏิบัติหน้าที่อย่างไรนั้น ตนไม่ขอลงในรายละเอียด แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ร่วมปฏิบัติการในครั้งนี้ โดยเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานนอกทั้งหมด
    ทั้งนี้ ยังไม่สามารถติดตามจับกุมตัวเจ้าของรถยนต์คันที่ น.ส.ชนากานต์ นั่งมาด้วยได้ และไม่ขอพูดถึงในรายละเอียดในการตรวจค้นรถคันดังกล่าว เนื่องจากอยู่ระหว่างการรวบรวมพยานหลักฐาน และเกรงว่าจะกระทบกับคดีได้

    ส่วนผู้ที่หลบหนีไปนั้น ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบประวัติว่ามีความเกี่ยวพันกับยาเสพติดหรือไม่ ส่วนผลเป็นอย่างไรนั้น ตนไม่ขอนำมาเปิดเผยเช่นกัน โดยเราใช้หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์เป็นหลัก ส่วนของค่าชดเชยเยียวยาผู้เสียหายสามารถยื่นเรื่องได้ที่ยุติธรรมจังหวัดกาญจนบุรี เพื่อขอรับการเยียวยา    

    อย่างไรก็ตามในเรื่องนี้ทาง ผบช.ภ.7 ได้ให้ความสำคัญ และกำชับให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา และว่ากันไปตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ ซึ่งผลการตรวจสอบจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของ ป.ป.ช. เราไม่อาจไปก้าวล่วงได้