เกย์นที ออกโรงป้อง ไกรสร ไม่ใช่เกย์!! ชี้ เพชร ไม่มีอาการถูกพ่อข่มขืน

เกย์นที ออกโรงป้อง ไกรสร ไม่ใช่เกย์!! ชี้ เพชร ไม่มีอาการถูกพ่อข่มขืน

เกย์นที ออกโรงป้อง ไกรสร ไม่ใช่เกย์!! ชี้ เพชร ไม่มีอาการถูกพ่อข่มขืน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กลุ่มเกย์ฯออกโรงป้อง"ไกรสร แสงอนันต์" ไม่ใช่เกย์ ระบุ "น้องเพชร" ไม่เข้าข่ายมีอาการถูกพ่อข่มขืน ไกรสร" ขู่ฟ้อง"ลูกเพชร"-ผู้อยู่เบื้องหลัง ปูดข่าวละเมิดทางเพศลูกที่สหรัฐ ชี้ลูกหัวอ่อนให้ข่าวขาดสติ-มีคนเสี้ยม เล็งพาพบแพทย์ตรวจร่างกายพิสูจน์ความจริง ด้านญาติผู้ใหญ่รับอึดอัดศึกสายเลือด ติงน้องเพชรหยุดก้าวร้าว สภาทนาย แนะ อย่าเชื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

(20มิ.ย.) นายนที ธีระโรจนพงศ์ เลขาธิการกลุ่มเชียงใหม่อาริยะและประธานกลุ่มเกย์การเมืองไทย เปิดเผยว่า ในฐานะที่รู้จักกับนายไกรสร แสงอนันต์ เป็นการส่วนตัว และในฐานะที่เป็นผู้ร่วมงานกลุ่มเชียงใหม่อารยะมาด้วยกันหลายปี ขอยืนยันว่า นายไกรสร ไม่ใช่เกย์แต่เป็นผู้ชายที่ชอบผู้หญิง และค่อนข้างเจ้าชู้ด้วยซ้ำไป

ส่วนกรณีที่ถูกกล่าวหาว่าข่มขืนลูกชายตัวเองนั้น ไม่เชื่อว่าจะเป็นจริงได้ ทั้งนี้จากที่เคยได้พุดคุยรู้จักกับน้องปอแฟนเก่าน้องเพชร ซึ่งคบหาก่อนหน้าที่น้องเพชร จะไปคบกับน้องอ้อย แฟนสาวคนปัจจุบัน รวมทั้งข้อมูลจากแม่เลี้ยง หรือแม้กระทั่งตัวนายไกรสรเอง ก็ให้ข้อมูลว่าน้องเพชรเป็นคนอยู่ดีมีสุข ไม่ปรา กฏอาการของคนที่ซึมเศร้า หรือมีอาการเหมือนกับคนที่เคยถูกข่มขืน โดยเฉพาะหากเป็นการถูกข่มขืน โดยพ่อน่าจะมีอาการที่ไม่ปกติ แต่เท่าที่เห็นที่ผ่านมา และปัจจุบันน้องเพชร ก็ยังดูรื่นเริงดี

ทั้งนี้ได้ทดลองไปหาข้อมูล และพุดคุยกับจิตแพทย์ชื่อดังของ จ.เชียงใหม่ถึง 2 รายและได้ข้อมูลมาว่าเด็กผู้ชาย ที่เคยถูกพ่อข่มขืนน่าปรากฏอาการซึมเศร้า กลายเป็นคนไม่พูดจะเก็บตัวไม่กล้าแสดงออกไม่กล้าตัดสินใจที่สำคัญจะเป็นการยากมากที่จะไปมีแฟน หรือคบหาสัมพันธ์กับเพศหญิง และรายอาการหนักอาจถึงขั้นฟั่นเฟือน และวิกลจริต แต่ในรายของน้องเพชรนั้น เท่าที่ดูอาการจนถึงขณะนี้ยังไม่มีวี่แววที่จะมีอาการลักษณะดังกล่าวเลย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัญหาความขัดแย้งระหว่างนายสรภพ ลีละเมฆินทร์ หรือเพชร อายุ 22 ปี ทายาทคนเดียวของราชินีลูก ทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ กับนายไกรสร ลีละเมฆินทร์ (แสงอนันต์) ยังบานปลายเมื่อต่างฝ่ายต่างออกมาให้สัมภาษณ์ตอบโต้กันผ่านสื่อแบบวันต่อวัน ล่าสุดวันนี้ (20มิ.ย.) นายไกรสร แสงอนันต์ กล่าวผ่านรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ว่า เตรียมจะฟ้องผู้ที่เกี่ยวข้องในการให้ข่าวทำให้เสียหาย หรือแม้แต่ลูกชายตัวเอง

"อย่าเข้าใจผิดว่าผมจะฟ้องลูกเพื่อความเกลียดชัง หรือแก้ตัว ผมจะฟ้องบุคคลที่เกี่ยวข้อง แม้กระทั่งลูกหากไม่เปิดเผยความจริงว่าพ่อไม่ได้ทำอย่างนั้น ผมเสียหาย ผมเชื่อว่าลูกผมพูดไปโดยขาดสติ 2 วันที่ผ่านมา น้องเพชรไม่ได้มาเปิดประเด็น มีคนมาเปิดประเด็น ลึกๆ น้องเพชรมีจิตสำนึกรักผมอยู่" นายไกรสร กล่าวยืนยัน

สามีราชินีลูกทุ่ง กล่าวว่า จะนำลูกชายไปให้แพทย์ตรวจร่างกาย เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่ลูกชายพูดออกมาไม่ได้มาจากความคิดของตัวเอง และพูดโดยขาดสติ ทั้งนี้เหตุการณ์ที่วัดทับกระดาน มีนักจิตวิทยาโทรมาปรึกษาระบุว่าลูกชายไม่ปกติ ไม่สำรวม มีการระเบิดอารมณ์ ซึ่งเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า สมัยก่อนลูกไม่ได้เป็นแบบนี้

ส่วนประเด็นการแสดงความรักด้วยการกอดระหว่างพ่อกับลูกนั้น นายไกรสร กล่าวว่า ทำไม่ได้หรือ ใครคิดประเด็นนี้ไม่ใช่มนุษย์ ตนมีจริยธรรม ทุกวันนี้เดินไปไหนสังคมก็ยังแคลงใจ เลยต้องทำความจริงให้ปรากฏ โดยเฉพาะลูกที่กล่าวหาพ่อในเรื่องไม่จริง ถือว่ารุนแรงมาก รับไม่ได้

นายไกรสร ยอมรับว่าเป็นเรื่องที่เจ็บปวดกับการต้องฟ้องลูก ส่วนที่ลูกกล่าวหาพ่อฆ่าแม่ เขาเชื่อว่าเด็กไม่ได้คิดเอง ลูกเป็นคนหัวอ่อน หากอยู่กับคนดีก็ดี อยู่กับคนเลวก็เลว

"เพื่อนและผู้ใกล้ชิดที่สหรัฐ พร้อมยืนยันตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผมเลี้ยงลูกดีตลอด ไม่มีความผิดปกติด้านอารมณ์ ผมสอนให้ลูกเป็นผู้ชาย มีชีวิตปกติในโลก ไม่คิดลูกจะทำร้ายพ่อขนาดนี้ อยากให้ลูกคิดใหม่ ตั้งสติให้ดี วันนี้ผมเสียหาย พ่อแม่ปู่ย่าตายายเสียหายหมด ไปไหนทุกคนจะมองภาพลบ ผมต้องการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ ผมต้องการให้ลูกมาตรวจสมอง จิตใจ และให้น้องเพชรกลับสู่สังคม" นายไกรสร กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายไกรสร ระบุว่า ในวันที่ 22 มิถุนายนนี้ เวลา 10.30 น. เตรียมแถลงข่าวร่วมกับคณะแพทย์ที่ติดต่อไว้ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ จ.เชียงใหม่

ส่วนกรณีทรัพย์สมบัตินั้น นายไกรสร กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า "ซื้อมาขายไป ปล่อยหลุดไปบ้าง แต่ก็แบ่งให้ครอบครัวพุ่มพวงไปบ้างแล้ว"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้ตรวจสอบแฟ้มประวัติข่าวเรื่องสมบัติราชินีลูกทุ่งที่ได้มาจากหยาดเหงื่อสมัยที่รุ่งโรจน์ พบเคยมีลงรายละเอียดไว้ในนิตยสาร 191 ฉบับเดือนมิถุนายน 2535 ระบุว่ามรดกของพุ่มพวงมีเกือบร้อยล้าน แยกได้ดังนี้ ห้องพักอาคารชุดที่สยามคอนโดมิเนียม ใกล้สี่แยก อสมท ราคา 5 ล้านบาท สีลมคอนโดมิเนียม ราคา 4 ล้านบาท จุลดิสแมนชั่น ถนนเพชรบุรี ย่านประตูนํ้า ราคา 6 ล้านบาท บ้านในซอยราชครูใกล้กับบ้านพักของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ราคา 8 ล้านบาท และบ้านที่ อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 1 หลัง รวมทั้งที่ดินเปล่าอีกหายแปลง ได้แก่ ที่สามเหลี่ยมทองคำ จ.เชียงราย 22 ไร่ ใน จ.ลำพูน 22 ไร่ ที่หัวหินและชะอำที่จะทำเป็นรีสอร์ท 30 ไร่ นอกจากนี้ยังมีทองคำและเครื่องเพชรอีกจำนวนหนึ่งในตู้เซฟที่ธนาคารกสิกรไทย สาขาเชียงใหม่ โดยผู้ที่ร่วมทำพินัยกรรมนั้น ได้แก่ นายไพจิตร ศุภวารี นายสรพงษ์ ชาตรี และญาติของนายไกรสร เท่านั้น

ต่อมาผู้สื่อข่าวสอบถามไปยัง นายสรพงษ์ ชาตรี ศิลปินแห่งชาติ ถึงเรื่องมรดกของพุ่มพวง ซึ่งเจ้าตัวปฏิเสธว่าไม่รู้เรื่อง พร้อมแนะให้ไปสอบถามนายไพจิตร ศุภวารี ผู้ใหญ่ที่พุ่มพวง และนายไกรสรนับถือ

ด้านนายไพจิตร ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องมรดกของพุ่มพวงว่า ครั้งนั้นไม่มีการทำพินัยกรรม เป็นเพียงข้อตกลงที่ตนในฐานะผู้ใหญ่เป็นคนตัดสินให้โดยได้คุยกับทุกฝ่ายและก็ตกลงกัน ซึ่งรายละเอียดเท่าที่จำได้มีการมอบให้ฝ่ายแม่ของพุ่มพวงบางส่วน คือ รถยนต์เบนซ์ 1 คัน เงินสดจำนวน 5 แสนบาท และที่ดินที่แม่สาย จ.เชียงราย อีก 22 ไร่ จำได้ว่าทั้งหมดประมาณ 6 ล้านบาท

ผู้สื่อข่าวถามว่า มรดกพุ่มพวงในตอนนั้นมีประมาณเท่าใด นายไพจิตร กล่าวว่า ที่ประมวลได้ตอนนั้นประมาณ 50 ล้าน นอกจากนั้นมีทรัพย์สินบางรายการที่พิสูจน์ไม่ได้ด้วย ตอนนั้นบอกกับครอบครัวพุ่มพวงว่ามีอะไรที่แบ่งกันได้ก็ควรแบ่งกันไป นายไกรสรได้ไปประมาณ 20-30 ล้านบาท

"การที่ลูกเขาจะเข้ามาตรวจสอบมรดกของแม่นั้น ผมว่าไม่ควร เพราะพ่อเขาเป็นผู้จัดการมรดกอยู่แล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่อึดอัดมาก ว่าทำไมน้องเพชรพูดจาออกไปขนาดนี้ ไม่อยากตำหนินะ แต่ถ้าเป็นตัวผมมีพ่อเป็นนักโทษประหาร ผมก็จะกราบพ่อผม ไม่ว่าพ่อจะเป็นคนยังไง ไม่ใช่เอาเรื่องจริงบ้าง ไม่จริงบ้างมาพูดแบบนี้ อยากถามว่าเขาเป็นคนไทยหรือเปล่า ให้ดูวัฒนธรรมไทยด้วย อยากให้สังวรณ์ให้หนักเรื่องนี้" นายไพจิตร กล่าว

ขณะเดียวกัน น.ส.พรหมลักษณ์ ศักดิ์พิชัยมงคล ทนายจากสภาทนายความ กล่าวกรณีนายไกรสรเตรียมฟ้องผู้เกี่ยวข้องและนายสร ภพ หลังถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ต้องวิเคราะห์รอบด้าน และอย่าเชื่อฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดง่ายๆ กรณีที่ลูกชายกล่าวหาพ่อว่าเป็นผู้ล่วงละเมิดทางเพศ หากถูกกระทำจริง เหตุใดเพิ่งมาพูดตอนนี้ มีปัญหาเรื่องเงินหรือไม่ ตอนนี้ใครเป็นคนคุมเงิน และการที่แยกตัวไปอยู่กับครอบครัวของแฟน มีงานทำหรือไม่ มีเงินจากแหล่งใดใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ส่วนพ่อหากพูดในแง่ศีลธรรม ถ้ารู้ว่าลูกป่วยจริงต้องพาลูกไปบำบัดรักษา ถ้าเคยพาไปรักษาก็ต้องมีประวัติการรักษา ซึ่งจะสะท้อนถึงคุณธรรมในการเลี้ยงดูลูก แต่ถ้ารู้ว่าลูกป่วยไม่พาไปรักษา ตอนนี้ไม่รู้แล้วว่าใครป่วยกันแน่

"หากเอาแง่กฎหมายมาจับกรณีนี้ พ่อคงฟ้องลูกได้ในข้อหาหมิ่นประมาท มีโทษปรับและโทษจำคุก แต่พ่อต้องการเงินทอง เชื่อว่าก็คงไม่ใช่ อาจเป็นเพียงแค่ขู่หรือให้หยุดพูด หากมีการฟ้องร้องจริงๆ ก็ต้องมีหลักฐานการส่งคำฟ้อง มีหมายเรียกมาก่อน จึงถือว่ามีการฟ้องร้องกันจริงๆ" น.ส.พรหมลักษณ์ กล่าว

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook