อ่วมอรทัย แก๊งหนุ่มห้าวตามฟันคู่อริหน้าห้องฉุกเฉิน รพ.นาแก ศาลตัดสินจำคุก 12 ปี

อ่วมอรทัย แก๊งหนุ่มห้าวตามฟันคู่อริหน้าห้องฉุกเฉิน รพ.นาแก ศาลตัดสินจำคุก 12 ปี

อ่วมอรทัย แก๊งหนุ่มห้าวตามฟันคู่อริหน้าห้องฉุกเฉิน รพ.นาแก ศาลตัดสินจำคุก 12 ปี
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

จากกรณี เมื่อวันที่ 17 มี.ค.2561 กลุ่มวัยรุ่นในเขตเทศบาลตำบลนาแก อ.นาแก มีปากเสียงทะเลาะวิวาทแล้วยกพวกชกต่อยกัน หลังตั้งวงดื่มเหล้าภายในร้านจำหน่ายเหล้าแห่งหนึ่งในเขตเทศบาลตำบลนาแก และมีผู้พบเห็นเหตุการณ์บันทึกภาพเอาไว้แล้วนำไปเผยแพร่ลงในสื่อโซเชียล

หลังวัยรุ่นทั้ง 2 กลุ่ม ได้รับบาดเจ็บจากการชกต่อย ก็ต่างพากันทำแผลที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลนาแก ซึ่งมีอีกฝ่ายที่ไม่ยอมเลิกรา บุกเข้าทำร้ายคู่อริด้วยการรุมกระทืบซ้ำ ซึ่งในภาพวงจรปิดของโรงพยาบาล ยังเห็นว่ากลุ่มที่กระทืบนั้นมีมีดเป็นอาวุธ ไล่ฟันทำร้ายคู่อริอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย สร้างความแตกตื่นและหวาดกลัวให้กับประชาชนที่มาใช้บริการ

ศาลจังหวัดนครพนม ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา คดีหมายเลขดำที่ อ.4507/2561 คดีหมายเลขแดงที่ อ.1625/62 กรณีอัยการจังหวัดนครพนม เป็นโจทก์ และมี นายอธิชยนนท์ กับ น.ส.ชิดชนก เป็นโจทก์ร่วม ยื่นฟ้อง นายปฏิพล อายุ 25 ปี นายนลธวัช อายุ 22 ปี และนายวันชนะ อายุ 30 ปี ในข้อหาความผิดต่อชีวิต พยายาม คสวามผิดต่อร่างกาย ทำให้เสียทรัพย์ ลหุโทษ

โดยพิพากษาว่า จำเลยทั้ง 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบมาตรา 80, 295, 358, 371, 391 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้ง 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้อื่น ไม่ถึงเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจ กับ ฐานร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด

ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 เดือน ฐานร่วมกันพาอาวุธมีดไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยเปิดเผย โดยไม่มีเหตุสมควร ปรับคนละ 900 บาท ฐานร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่น จำคุกคนละ 12 ปี รวมจำคุกคนละ 12 ปี 2 เดือน และปรับคนละ 900 บาท ทางนำสืบของจำเลยทั้ง 3 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้คนละกระทงหนึ่งใน 3 คงจำคุกคนละ 8 ปี 1 เดือน 10 วัน และปรับคนละ 600 บาท

หลังสิ้นสุดคำพิพากษา จำเลยทั้ง 3 ถูกควบคุมตัวไปขังไว้ในห้องขังใต้ถุนศาลจังหวัดนครพนม โดยมีญาติยื่นขอประกันตัว ศาลฯอนุญาตให้ประกันตัวคนละ 350,000 บาท

นพ.ประพนธ์ ตั้งศรีเกียรติกุล รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงกรณีศาลจังหวัดนครพนม สั่งจำคุก 3 วัยรุ่นที่ก่อเหตุรุนกระทืบ ไล่ฟันคู่อริกลาง รพ.นาแก จ.นครพนม คนละ 12 ปี แต่ลดเหลือ 8 ปี ว่า เหตุทะเลาะวิวาทดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ศาลเพิ่งมีการตัดสินออกมา โดยนับเป็นครั้งแรกที่มีการสั่งตัดสินลงโทษตามกฎหมายออกมาให้เห็นอย่างเป็นทางการ ทั้งนี้ เรื่องการก่อเหตุรุนแรง ทะเลาะวิวาทในโรงพยาบาลนั้นเกิดขึ้นหลายครั้ง ถึงขั้นบุกยึดโรงพยาบาลก็มี ขอเรียนว่า 1. โรงพยาบาลเป็นสถานที่ราชการ และ 2. โรงพยาบาล กาชาด ตามหลักสากลจะเป็นสถานที่ที่ได้รับการละเว้นก่อเหตุรุนแรง ขนาดในยามศึกสงครามก็ยังเป็นจุดละเว้น ดังนั้นผู้ที่ก่อเหตุรุนแรงในโรงพยาบาลถือว่ามีความผิดแน่นอน 

นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า ปลัด สธ.ได้สั่งการว่า ให้ดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ก่อเหตุรุนแรงในโรงพยาบาลทุกกรณีให้ถึงที่สุด ทั้งกรณีที่เข้ามาตีกันในโรงพยาบาล หรือกรณีที่กระทำความรุนแรงต่อบุคลากรในโรงพยาบาล ซึ่งเอาผิดถึงที่สุดนั้น ก็ขึ้นกับพยาบาล หลักฐานที่มีว่าเป็นอย่างไร ระดับของการกระทำเป็นเช่นไร และขึ้นกับตำรวจ อัยการในการทำหน้าที่ฟ้อง ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2562 - สงกรานต์ที่ผ่านมา มีการก่อเหตุทะเลาะวิวาท รุนแรงในโรงพยาบาล 4 เหตุการณ์ คือ รพ.ห้วยแถลง จ.นครราชสีมา รพ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ รพ.แก้งค้อ จ.ชัยภูมิ และ รพ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ซึ่งจะมีการดำเนินการทางกฎหมายทุกคดีแน่นอน เพื่อไม่ให้เป็นแบบอย่างว่า อย่าไปทำความรุนแรงในโรงพยาบาลอีก คิดจะทำอะไรขอให้นึกถึงผลที่ตามมาด้วย เพราะความผิดนี้ร้ายแรง

นพ.ประพนธ์ กล่าวว่า สธ.เป็นห่วงบุคลากรที่ทำงานในโรงพยาบาล โดยเฉพาะห้องฉุกเฉินที่ต้องทำงานบนความกดดัน ความหวังญาติผู้ป่วย ขณะนี้ได้วางมาตรการสร้างระบบความปลอดภัย ทั้งการกั้นห้องไม่ให้บุคลภายนอกเข้าไปได้ง่าย ประตูห้องฉุกเฉินจะเปิดได้ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่เป็นคนเปิด มี รปภ.ตลอด 24 ชั่วโมง ประสานเจ้าหน้าที่ตำรวจมาตรวจเป็นระยะ ติดกล้องวงจรปิด

อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งอยากขอร้องว่า การมาห้องฉุกเฉินต้องเป็นเรื่องที่ฉุกเฉินจริงๆ แต่ความฉุกเฉินของประชาชนกับบุคลากรทางการแพทย์อาจจะแตกต่างกัน ทำให้เกิดเหตุกระทบกระทั่งหรือก่อความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่ อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะต้องดูแลผู้ที่มีความวิกฤตมากกว่า อยากให้ประชาชนเข้าใจ หากเจ็บป่วยที่สามารถดูเองได้ก็ขอให้ดูแลตัวเองก่อน

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook