อ.เดชา แถลงกรณีแจกน้ำมันกัญชาช่วยผู้ป่วย ลั่นเป็นเรื่อง "ศีลธรรม" ที่ต้องทำ

อ.เดชา แถลงกรณีแจกน้ำมันกัญชาช่วยผู้ป่วย ลั่นเป็นเรื่อง "ศีลธรรม" ที่ต้องทำ

อ.เดชา แถลงกรณีแจกน้ำมันกัญชาช่วยผู้ป่วย ลั่นเป็นเรื่อง "ศีลธรรม" ที่ต้องทำ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

วันนี้ (10 เม.ย. 62) เพจเฟซบุ๊กของมูลนิธิชีววิถี เผยแพร่คำแถลงของ อ.เดชา ศิริภัทร กรณีเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมการมีกัญชาทางการแพทย์ในครอบครองเมื่อเร็วๆ นี้ โดยมีเนื้อหาคำแถลงดังต่อไปนี้

"คำแถลงอย่างเป็นทางการของอาจารย์เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิข้าวขวัญ หลังกลับจากการเดินทางไปต่างประเทศ กรณีการจับกุมการมีกัญชาทางการแพทย์ในครอบครอง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ ปปส.

ท่าอากาศยานดอนเมือง
วันที่ 10 เมษายน 2562

1. ผมขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่มาต้อนรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยซึ่งแม้ป่วยไข้แต่ก็ยังเดินทางมาเพื่อเป็นประจักษ์พยานว่า การเข้าถึงยาจากกัญชาเป็นเรื่องสำคัญเพียงใด 
ผมเสียใจที่ไม่สามารถเดินทางกลับมาก่อนหน้านี้ได้ ด้วยภารกิจที่องค์กรในประเทศลาวได้เชิญไปศึกษา เรียนรู้ แลกเปลี่ยนกับหมอสมุนไพรพื้นบ้านของลาว จึงไม่สามารถยื่นขอประกันตัว และเดินทางไปรับตัวคุณพรชัย ชูเลิศ เจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญออกจากที่คุมขังด้วยตนเอง 

2. ผมยืนยันว่าการแจกจ่ายน้ำมันกัญชาเพื่อรักษาผู้เจ็บป่วยโรคมะเร็ง พาร์กินสัน โรคข้อ ลมชัก และอื่นๆ นั้นเป็นเรื่องศีลธรรมที่ต้องทำ เรื่องนี้อยู่เหนือกฎระเบียบล้าหลังใดๆ เพราะสิทธิของผู้ป่วยที่จะได้รับยาและการรักษาเป็นสิทธิพื้นฐาน และศีลธรรมพื้นฐานของเรา

อย่างไรก็ตาม หลังจาก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ฉบับปรับปรุงแก้ไข มีผลบังคับใช้ในช่วงต้นปี 2562 เป็นต้นมา และเปิดโอกาสให้ “หมอพื้นบ้าน” สามารถยื่นขอนิรโทษกรรมการมีกัญชาเพื่อครอบครองทางการแพทย์ได้นั้น ก่อนการเดินทางไปประเทศลาวผมได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้เจ้าหน้าที่ยื่นเรื่องขอนิรโทษกรรม แต่กลับมาถูกจับกุมเสียก่อนทั้งๆ ที่ยังอยู่ในระยะเวลา 90 วัน

ผมเพิ่งทราบด้วยว่า หลังจากที่ตัวแทนของผมได้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขเพื่อขอนิรโทษกรรมเมื่อวานนี้ (10 เมษายน 2562) แต่ได้รับการปฏิเสธ โดยอ้างว่าการยื่นขอนิรโทษกรรมต้องมีหลักฐานว่าได้ครอบครองกัญชา ซึ่งตำรวจได้ริบไปหมดแล้ว อีกทั้งอ้างว่าไม่มีหลักฐานยืนยันว่าผมเป็นหมอพื้นบ้าน ซึ่งจะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ทั้งๆ ที่มีหนังสือรับรองจากมูลนิธิสุขภาพไทยที่เป็นผู้ประสานงานเครือข่ายหมอพื้นบ้านทั่วประเทศ ได้แสดงหลักฐานยืนยันก็ตาม

3. ผมขอยืนยันว่านอกเหนือจากการส่งเสริมเกษตรกรรมยั่งยืนที่ไม่ใช้สารเคมีใดๆ และเป็นครูสอนการปรับปรุงพันธุ์ข้าวแล้ว ผมยังทำหน้าที่เป็นหมอพื้นบ้านในการแนะนำการใช้สมุนไพร การปลูกพืชที่มีคุณค่าทางอาหารและยา มานานกว่า 20 ปี ได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ในหนังสือ เทคโนโลยีชาวบ้าน หมอชาวบ้าน เป็นต้น เป็นประจักษ์พยาน 

กล่าวเฉพาะในช่วงกว่า 10 ปีมานี้ ผมได้สนใจค้นคว้าทดลองยาจากกัญชามาโดยต่อเนื่อง ทั้งจากตำราต่างประเทศ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และการทดลองใช้ด้วยตนเองและคนใกล้ชิด เมื่อเห็นว่าสามารถรักษาโรคของผู้คนได้จึงเริ่มแจกจ่ายยาจากกัญชาเพื่อหวังให้ผู้ป่วยเหล่านั้นพ้นทุกข์จากความป่วยไข้

ผมยืนยันว่าหมอพื้นบ้านทุกคนมีสิทธิที่จะได้รับอนุญาตให้มีการปรุงยาจากกัญชาเพื่อการรักษาผู้คน โดยในส่วนของผมเองนั้น ได้หารือในเบื้องต้นกับ ภญ.สุภาภรณ์ ปิติพร ในการทำงานร่วมกับโรงพยาบาลอภัยภูเบศร ซึ่งจะหาโอกาสแถลงข่าวร่วมกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากนี้

4. ผมขอแจ้งให้ทราบว่า ในวันพรุ่งนี้ (วันพฤหัสบดีที่ 11 เมษายน 2562) ผมและทีมทนายความจะเดินทางไปแสดงตัวต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ถนนดินแดง ในเวลาประมาณ 10.00 น. เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ หลังจากนั้นจะประสานงานกับเจ้าหน้าที่สถานีตำรวจในพื้นที่เพื่อกำหนดนัดหมายวันเข้าพบเพื่อรับทราบข้อกล่าวหาต่อไป

5. ในสุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณเป็นอย่างสูงต่อประชาชนเป็นจำนวนมากที่ได้บริจาคเงินผ่าน มูลนิธิเกษตรกรรมยั่งยืน (ประเทศไทย) มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค และมูลนิธิชีววิถี (BIOTHAI) ที่ได้ร่วมรณรงค์ #SaveDecha #SaveSong #RightToMedicne เพื่อเรียกร้องสิทธิในการเข้าถึงยากัญชาของประชาชน ซึ่งทราบว่าล่าสุดเกิน 1 ล้านบาทแล้ว สำหรับการขอประกันตัวคุณพรชัย ชูเลิศ และสำหรับการต่อสู้คดีของทั้งผมและคุณพรชัยต่อไป

ขอขอบคุณคุณอนุทิน ชาญวีรกูล และผู้ที่ได้ประกาศสนับสนุนการต่อสู้คดี เช่น ท่านรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายวิวัฒน์ ศัลยกำธร ประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ ที่ประกาศใช้ตำแหน่งของตนเพื่อประกันตัวผม รวมทั้งอดีตรัฐมนตรีบางท่านที่ไม่ประสงค์จะออกนามเตรียมใช้หลักทรัพย์เพื่อใช้ในการประกันตัว เป็นต้น

ผมขอขอบพระคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงอีกครั้งหนึ่ง

วันพุธที่ 10 เมษายน 2562
ท่าอากาศยานดอนเมือง"

การแถลงดังกล่าวมีขึ้นหลังจากก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และ ปปส. ร่วมกันเข้าจับกุมเจ้าหน้าที่ในมูลนิธิขวัญข้าว ในข้อหาครอบครองกัญชาทางการแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต

>> บุกรวบศูนย์ปลูกข้าว ที่แท้บังหน้าผลิตกัญชา 200 ต้น

ต่อมามีกระแสในโลกออนไลน์และบุคคลมีชื่อเสียงหลายคนเรียกร้องให้ภาครัฐปล่อยตัวผู้ที่ถูกจับ พร้อมกับสนุนนโยบายการนำกัญชามาใช้อย่างถูกกฎหมาย 

>> "เนวิน" ดันกระแสแฮชแท็ก #saveเดชา ค้านตำรวจบุกจับกัญชาเพื่อการแพทย์

>> “อนุทิน” ยันลุยแก้กฎหมาย ให้ประชาชนทุกคนมีสิทธิในกัญชา

ขณะเดียวกันหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่างประสานเสียงว่าการจับกุมดังกล่าวเป็นการกระทำตามกฎหมาย และย้ำว่าการครอบครองกัญชาในปัจจุบันยังเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายอยู่

>> ป.ป.ส. ย้ำ "กัญชายังผิดกฎหมาย" ต้องขออนุญาตให้ถูกต้อง

>> อย.ประกาศย้ำ “กัญชา” ครอบครองได้ เพื่อทางการแพทย์เท่านั้น

>> ป.ป.ส.ย้ำจับกัญชาทำตามกฎหมาย ขณะ 3 มูลนิธิรวมพลังเซฟ "อ.ซ้ง-เดชา"

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ศาลจังหวัดสุพรรณบุรีอนุญาตให้เจ้าหน้าที่มูลนิธิที่ถูกจับกุมประกันตัวได้ในวงเงิน 5 แสนบาท

>> ศาลสั่งปล่อยตัว เจ้าหน้าที่มูลนิธิข้าวขวัญ หลังโดนจับปลูกกัญชารักษาผู้ป่วย

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook