น้าชาย-เพื่อนบ้าน ข่มขืนเด็กออทิสติกวัย 13 ปี ขู่ลั่นพ้นโทษจะฆ่ายกครัว

น้าชาย-เพื่อนบ้าน ข่มขืนเด็กออทิสติกวัย 13 ปี ขู่ลั่นพ้นโทษจะฆ่ายกครัว

น้าชาย-เพื่อนบ้าน ข่มขืนเด็กออทิสติกวัย 13 ปี ขู่ลั่นพ้นโทษจะฆ่ายกครัว
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ตำรวจ สภ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ รวบน้าแท้ๆ และเพื่อนบ้านหื่นมีดจี้บังคับข่มขืนหลานสาวป่วยออทิศติก พร้อมขู่อาฆาตหากพ้นโทษจะฆ่าทิ้งยกครัว พ่อสุดช้ำใจถามกินข้าวหม้อเดียวกันทำไมทำได้ลงคอ อยากให้ลงโทษถึงที่สุด พร้อมเผยพฤติกรรมหลานสุดเลวเสพยาคลั่งอาละวาดทำร้ายคนในบ้านประจำ จนต้องพายาย ลูก เมียหนีไปซุกบ้านญาติ

(28 พ.ย.61) เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ ได้จับกุม นายทวิพงษ์ หรือ ติ๊ก อายุ 37 ปี และ นายสุวิน หรือ น็อต อายุ 25 ปี ชาวบ้านน้ำใส ต.อิสาณ อ.เฉลิมพระเกียรติ หลังจาก น.ส.เมย์ (นามสมมติ) อายุ 22 ปี ได้เข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ศักดิ์ชาย กิตติอุดมพันธ์ รองสารวัตร (สอบสวน) สภ.เฉลิมพระเกียรติ ว่าผู้ต้องหาทั้งสองได้บังคับข่มขืน ด.ญ.เอ (นามสมมติ) อายุ 13 ปี น้องสาวของตนเองซึ่งป่วยเป็นออทิสติก เหตุเกิดตั้งแต่ช่วงกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา โดยนายสุวิน หรือ น๊อต ผู้ต้องหาที่ก่อเหตุเป็นน้าชายแท้ๆ ของ ด.ญ.เอ ส่วนนายทวิพงษ์ หรือ ติ๊ก เป็นเพื่อนบ้าน

จากการสอบสวนเบื้องต้น นายทวิพงษ์ หรือ ติ๊ก ยอมรับสารภาพว่าได้ลงมือก่อเหตุข่มขืน ด.ญ.เอ จริง ทั้งหมดจำนวน 3 ครั้ง โดยอ้างว่าที่ก่อเหตุเพราะความเมาจึงเกิดอารมณ์ทางเพศ ส่วนนายสุวิน ซึ่งเป็นน้าชายแท้ๆ ยังให้การปฏิเสธ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำตัวนายทวิพงษ์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านของผู้ต้องหาเอง ส่วนนายน๊อต ที่ยังให้การปฏิเสธ ก็ได้ควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีตามกฎหมาย เพราะมั่นใจในพยานหลักฐาน ประกอบกับนายติ๊ก ก็ให้การซัดทอดว่านายน๊อต เคยเล่าให้ตนเองฟังว่าเคยลงมือข่มขืน ด.ญ.เอ หลานของตัวเองจริง

เด็กหญิงเอ (นามสมมติ) ผู้เสียหาย

จากการสอบถาม ด.ญ.เอ ผู้เสียหาย เล่าว่า ครั้งแรกที่ถูกนายน๊อต น้าชายข่มขืนกระทำชำเรา คือช่วงกลางเดือน ส.ค. โดยวันเกิดเหตุมีนายน๊อต อยู่บ้านคนเดียว พ่อไปทำงานต่างจังหวัด ส่วนยาย พี่ชาย และพี่สาว ย้ายหนีไปอยู่บ้านญาติอีกหมู่บ้านหนึ่ง เนื่องจากกลัวนายน๊อตจะทำร้ายเพราะติดยาเสพติดและชอบอาละวาด แต่ขณะที่ตนเองกลับมาเอารองเท้าที่บ้าน นายน๊อต ก็ใช้มีดจี้ที่เอวแล้วบังคับให้เดินเข้าไปในห้อง พร้อมบังคับให้ถอดเสื้อผ้าแล้วลงมือข่มขืนจนสำเร็จความใคร่ ด้วยความกลัวจึงไม่กล้าขัดขืนและไม่กล้าไปบอกใคร

จากนั้นช่วงกลางเดือน ต.ค. ตนปั่นจักรยานไปเล่นในหมู่บ้านตามปกติ แต่ขณะปั่นผ่านหน้าบ้านนายทวิพงษ์ หรือ ติ๊ก ก็ออกมายืนขวางรถจักรยานแล้วบังคับให้เข้าไปในบ้าน แล้วใช้กำลังบังคับข่มขืน หลังข่มขืนเสร็จนายติ๊ก ก็ให้เงิน 200 บาท ก่อนที่ตนจะปั่นจักรยานกลับบ้าน แต่ไม่กล้านำเรื่องไปบอกใครเพราะกลัวจะถูกทำร้าย กระทั่งพี่สาวมาเค้นถามเมื่อสองวันก่อนจึงตัดสินใจบอกความจริง

ตำรวจนำตัวนายทวิพงษ์ หรือ ติ๊ก เพื่อนบ้าน ทำแผนประกอบคำรับสารภาพ

ด้าน น.ส.เมย์ พี่สาว ผู้เสียหาย บอกว่า เมื่อวันที่ 25 พ.ย. เห็นน้องสาวมีอาการผิดปกติ จึงเค้นถามน้องว่าเกิดอะไรขึ้น จนน้องสาวยอมเล่าให้ฟังว่าถูกนายน๊อต ซึ่งเป็นน้าชายแท้ๆ ใช้มีดจี้บังคับข่มขืนขณะน้องกลับมาเอารองเท้าที่บ้าน และได้ถูกนายติ๊ก เพื่อนบ้านใช้กำลังข่มขืนอีกหลายครั้ง ก็รู้สึกตกใจมากเพราะไม่คิดว่านายน๊อต ซึ่งเป็นน้าชายแท้ๆ ที่อาศัยในบ้านและกินข้าวหม้อเดียวกัน จะทำกับน้องสาวที่ป่วยเป็นออทิสติกได้ลงคอ ก็อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ต้องหาทั้งสองให้ถึงที่สุด

ขณะที่ นายบุญเพ็ง (ขอสงวนนามสกุล) ผู้เป็นพ่อ บอกว่า รู้สึกเสียใจมากไม่คิดว่าคนในครอบครัวเดียวกันและเพื่อนบ้านใกล้ชิด จะมาทำกับลูกสาวของตนเองที่ป่วยเป็นออทิสติกได้ลงคอ หัวอกคนเป็นพ่อรับไม่ได้ก็อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีตามกฎหมายผู้ต้องหาทั้งสองให้ถึงที่สุด ซึ่งที่ผ่านมา ครอบครัวก็เอือมระอากับพฤติกรรมของนายน๊อตมาตลอด เพราะนอกจากจะไม่ทำการทำงานแล้วยังติดยาเสพติด แล้วเกิดอาการคลุ้มคลั่งอาละวาดคนในบ้าน ทั้งยังทำร้ายร่างกายภรรยาตนเองหลายครั้ง จนต้องให้ยาย และลูกๆ ย้ายไปอยู่บ้านญาติเพื่อความปลอดภัย ซึ่งที่ผ่านมาก็มีการแจ้งตำรวจจับดำเนินคดีแล้วหลายครั้ง แต่พอออกมาก็มีพฤติกรรมเดิมๆ ซ้ำอีกไม่เข็ดหลาบ และล่าสุดตอนที่เจ้าหน้าที่มาจับกุมที่ก่อเหตุข่มขืนลูกสาว ยังขู่อาฆาตว่าหากพ้นโทษออกมาจะฆ่าให้ตายทั้งบ้าน ซึ่งครอบครัวก็กลัวจะไม่ปลอดภัย

ทางด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองไว้ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยเบื้องต้นได้แจ้งข้อหา “พราก พา เด็กอายุไม่เกินสิบห้าปีไปเสียจากบิดามารดาผู้ปกครอง, กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภรรยาของตนโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม”

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook