โจ๋กร่างดึงประตู-ทุบรถหวังชิงทรัพย์ขณะเจ้าของไม่อยู่ แถมมีพักดื่มน้ำอย่างชิลล์

( 8 ต.ค. 61 ) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ จ.ลำปาง ได้มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Kriengkrai Chanprasert  ได้นำคลิปภาพขณะวัยรุ่นคนหนึ่ง กำลังก่อเหตุดึงประตูรถยนต์กระบะ จำนวน 2 คัน โดยดึงประตูรถอย่างแรง เพื่อหวังให้เปิดออก

เหตุเกิดขึ้นที่บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ตั้งอยู่หลังกาดม่วนใจ๋เดิม ใกล้กับสี่แยกนาก่วมเหนือ เขตชุมชนบ้านปงชัย ต.ชมพู อ.เมือง เขตเทศบาลนครลำปาง

ซึ่งภาพของกล้องวงจรปิดที่อยู่บริเวณหน้าบ้านสามารถบันทึกภาพเหตุการณ์ดังกล่าวไว้ได้อย่างชัดเจน และวัยรุ่นชายคนนี้ ตั้งใจที่จะเปิดประตูรถยนต์กระบะให้ได้ สันนิษฐานว่า ต้องการขโมยทรัพย์สินภายในรถ ซึ่งทางเจ้าของบ้าน ก็ได้นำคลิปภาพมาลงในโซเชียลมีเดีย เพื่อเตือนภัยสังคมให้ระวังรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน โดยเฉพาะรถที่ไม่ได้จอดอยู่ในรั้วบ้าน

ผู้สื่อข่าวได้เข้าไปสอบถาม นายเกรียงไกร (สงวนนามสกุล)  อายุ 53 ปี เจ้าของบ้านหลังที่เกิดเหตุ ทำให้ทราบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายของวันที่ 6 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา ซึ่งตนเองออกไปทำงาน พอกลับเข้ามาบ้านในช่วงเวลาประมาณ 16.00 น.ของวันดังกล่าว ก็พบวัยรุ่นชายคนดังกล่าวกำลังพยายามเปิดประตูรถ จึงได้ตะโกนสอบถามว่า ทำอะไร ชายคนดังกล่าว ก็ปฎิเสธ ว่า ไม่ได้ทำอะไร ก่อนที่จะรีบหนีออกไป

ตนเองก็รีบตามไป พร้อมกับจะไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจบริเวณตู้ยามนาก่วมของ สภ.เขลางค์นคร ที่ตั้งอยู่ใกล้ แต่ก็ไม่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่

จากการตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิด พบว่า ชายวัยรุ่นคนดังกล่าวได้มาก่อเหตุดึงประตูรถยนต์กระบะที่จอดอยู่หน้าบ้าน อย่างใจเย็น ตั้งแต่ช่วงเวลา 13.00 น. ซึ่งได้ก่อเหตุนานถึง 3 ชั่วโมง แต่ก็ไม่สามารถเปิดรถได้จนเหนื่อย มีการกินน้ำที่ถืออยู่ในมือเป็นระยะ

นอกจากนี้ ยังพบว่าชายวัยรุ่นคนนี้ยังใช้ทั้งเท้าถีบประตูรถ และใช้มือทุบกระจกรถด้วย ทั้งนี้ ตนเองก็ได้ไปสอบถามเพื่อนบ้านก็ทราบว่า ชายคนดังกล่าวเดินวนเวียนอยู่บริเวณนั้น ซึ่งเพื่อนบ้านก็คิดว่าเป็นญาติของตนเอง จึงไม่ได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ กระทั่งมาทราบว่า เป็นคนไม่หวังดีที่เข้ามาก่อเหตุดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าของบ้านจึงได้นำคลิปภาพมาลงในสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก เพื่อเตือนภัยสังคมให้ระวังบุคคลดังกล่าว และให้ระมัดระวังรถยนต์ที่จอดอยู่หน้าบ้าน รวมถึงให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตรวจตรา เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นอีก