ช็อก! นักธุรกิจใหญ่เมืองคอนติดยาขู่ฆ่ายกครัว-ผู้ว่าตรังฯ ออกโรงช่วยเหลือ

( 23 ส.ค. 61 ) จากกรณีที่ทางจังหวัดตรัง หน่วยงานความมั่นคง และทหาร ให้ความช่วยเหลือคุ้มครอง 7 ชีวิต ซึ่งเป็นคนแก่ ผู้หญิง และเด็ก ครอบครัว “กุลคง” ซึ่งเป็นเกษตรกรและนักธุรกิจส่งออกส้มโอ “ทับทิมสยาม” รายใหญ่ ชาว อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช ที่หลบหนีการติดตามไล่ล่าของ นายวิรัตน์ อายุ 51 ปี ผู้เป็นลูกเขย และเป็นผู้กว้างขวางในจังหวัดนครศรีธรรมราช และมีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบและติดตามการบริหารงานตำรวจ (กต.ตร.) สภ.ปากพนัง ที่ข่มขู่จะฆ่ายกครัว เหตุเพราะติดยาเสพติดอย่างหนัก และเกิดอาการหลอน กลัวคนในครอบครัวจะออกไปคบค้ากับบุคคลภายนอก และเปิดเผยถึงพฤติการณ์ที่เกี่ยวพันกับยาเสพติดให้เจ้าหน้าที่และสังคมภายนอกได้รับรู้
ที่ผ่านมาจึงมีการทำร้ายร่างกายภรรยาอย่างรุนแรงมาโดยตลอด โดยเฉพาะการใช้อาวุธปืนข่มขู่จะฆ่าภรรยา รวมทั้งบุคคลในครอบครัวทุกคนไม่เว้นแม้แต่ลูกๆ ก็ถูกขู่ฆ่ารายวันมาโดยตลอด ทำให้ทุกคนหวาดกลัว และไม่กล้าต่อสู้
จนกระทั่งเมื่อบ่ายวันที่ 14 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้ทำร้ายร่างกายภรรยาอย่างรุนแรงอีกครั้ง และข่มขู่จะยิงทิ้งทุกคนในครอบครัว ทำให้ทุกคนต้องหนีออกจากบ้านด้วยเสื้อผ้าชุดเดียวในเย็นวันเดียวกัน ( 14 ส.ค. ) ก่อนจะเข้าตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลและเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ นายวิรัตน์ ข้อหาทำร้ายร่างกายและพยายามฆ่า แต่ทางตำรวจ สภ.ปากพนัง ไม่ดำเนินการใดๆ จากนั้นทั้งหมดต้องเร่ร่อนหลบซ่อนตัวไปตามที่ต่างๆ นานกว่า 1 สัปดาห์ โดยที่เด็กๆ ทั้ง 3 คน ต้องขาดโรงเรียน
จนในที่สุด เมื่อเย็นวันที่ 21 สิงหาคม ที่ผ่านมา นายวิรัตน์ ได้ติดตามไปจนพบแหล่งกบดานซ่อนตัวของทุกคน จึงได้ระดมพวกพร้อมอาวุธปืนครบมือไปปิดล้อมแหล่งหลบซ่อนตัว จนทั้งหมดต้องหนีออกจากจังหวัดนครศรีธรรมราช มุ่งหน้าข้ามมาจังหวัดตรัง เพื่อเอาตัวรอด
จากนั้นได้เข้าขอความช่วยเหลือจาก นายศิริพัฒ พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ซึ่งอดีตเคยเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช จนในที่สุดทุกคนได้รับการคุ้มครองจากทางจังหวัดตรัง หน่วยงานความมั่นคง และทหาร ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์จังหวัดตรัง
ทั้งนี้ ภาพจากกล้องวงจรปิดภายในบ้าน สามารถจับภาพ นายวิรัตน์ ที่สวมใส่เพียงกางเกงในตัวเดียวในมือขวาถืออาวุธปืนเดินไปมาอยู่ในบ้านไว้ได้อย่างชัดเจน ในตอนกลางดึกเวลาประมาณ 23.14 น. ของคืนวันที่ 14 สิงหาคม ซึ่งเป็นเวลาหลังที่ทุกคนหนีออกจากบ้านกันหมดแล้ว
นายศิริพัฒ พัฒกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจ เป็นเรื่องมนุษยธรรม ทางจังหวัดตรังจึงให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เนื่องจากเป็นการหนีร้อนมาพึ่งเย็น สายข่าวของกองทัพทราบมาว่า มีเรื่องดังกล่าวเกิดขึ้น ทางครอบครัวต้องการหนีออกมาจากพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราชให้ได้ก่อน ไม่ว่าจะเป็นจังหวัดอะไร แต่บังเอิญหนีเข้ามาในจังหวัดตรัง และบังเอิญตนเคยเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราชมาก่อน
ซึ่งกรณีที่เกิดเหตุแบบนี้ไม่ใช่จะเป็นเรื่องของจังหวัดไหนๆ ที่ต้องทำ แต่เป็นเรื่องของมนุษยธรรมที่ต้องให้ความช่วยเหลือ จึงสั่งการให้ปลัดจังหวัดตรัง รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดตรัง เร่งช่วยเหลือ
โดยทาง พ.อ.พิชิต โชติแก้ว รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดตรัง จึงได้ประสานไปยังหน่วยทหารเจ้าของพื้นที่เกิดเหตุ คือ มณฑลทหารบกที่ 41 นครศรีธรรมราช ว่าเกิดเหตุเรื่องนี้ขึ้น เพื่อให้ความช่วยเหลืออีกทางหนึ่งด้วย เพราะปัญหาลักษณะนี้จะต้องมีการถ่วงดุลอำนาจกัน ระหว่าง ตำรวจ ทหารและฝ่ายปกครองต้องช่วยกันหลายทาง จากนั้นจึงพาทั้งหมดไปอาศัยอยู่ในค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ เพื่อความปลอดภัย
ทั้งนี้ เมื่อคืนวันที่ 22 ส.ค. ที่ผ่านมา ทางผู้บังคับการตำรวจภูธรนครศรีธรรมราชก็โทรติดต่อมาหาตนว่า อยากทราบว่าทำไมจึงหนีมาหาตน จึงแจ้งไปว่าเขาไม่ได้ตั้งใจโดยตรง แต่ว่าทั้งหมดต้องการออกจากพื้นที่นครศรีฯ จึงตัดสินใจเข้ามาที่จังหวัดตรัง ส่วนตัวเชื่อว่าทางด้านกองทัพ และตำรวจภูธรนครศรีธรรมราชคงเดินหน้าเต็มที่ ส่วนจังหวัดตรังเราเป็นเพียงให้ความคุ้มครองให้ดีที่สุด
โดยทางผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 4 กรมทหารราบที่ 15 ค่ายพระยารัษฎานุประดิษฐ์ยืนยันว่า จะดูแลความปลอดภัยให้ดีที่สุด ตนเองก็รับประกันความปลอดภัย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าตกใจว่าคนที่อาละวาดขู่ฆ่าทุกคน เป็นสามีจะฆ่าภรรยา ฆ่าลูก ฆ่าพ่อตาแม่ยาย พี่สะใภ้ เป็นเรื่องที่น่ากลัว และคนก่อเหตุก็อายุมากแล้ว อายุ 51 ปี
ทั้งนี้ จากสายข่าวทราบข่าวนอกจากเป็นผู้เสพยาเสพติดแล้ว ยังเกี่ยวพันเป็นเอเย่นต์จำหน่าย และมีเครือข่ายใหญ่ มีเงิน มีอิทธิพล มีการย้ายภูมิลำเนาไปจังหวัดนครปฐม ส่วนถ้าจะให้ทั้งครอบครัวกลับบ้านที่จังหวัดนครศรีธรรมราชได้นั้น ตนเองมีเงื่อนไขคือ เจ้าหน้าที่จะต้องจับกุมคนก่อเหตุให้ได้ก่อน และทุกคนจะต้องปลอดภัย และต้องประสานมาทางจังหวัดและหน่วยงานความมั่นคงเท่านั้น จึงจะอนุญาตให้กลับได้
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวฝ่ายความมั่นคงยืนยันว่า นายวิรัตน์ ผู้ก่อเหตุคนดังกล่าว นอกจากเป็นผู้ติดยาเสพติดอย่างรุนแรงแล้ว ยังเป็นผู้ค้า และเป็นเครือข่ายใหญ่ในพื้นที่ ที่ผ่านมาสนิมสนมกับนายตำรวจในพื้นที่เกือบทุกโรงพัก ทำให้ครอบครัวที่เดือดร้อน ไม่กล้าวิ่งเข้าขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานราชการต่างๆ ในพื้นที่ เพราะไม่มั่นใจในความปลอดภัย จึงต้องหลบหนีออกไปตั้งหลักในต่างจังหวัด
ล่าสุด ทราบว่าทาง สภ.ปากพนัง ได้ออกหมายเรียกตัว นายวิรัตน์แล้ว แต่ขณะที่ตำแหน่ง กต.ตร.ประจำ สภ.ปากพนัง ยังไม่มีการปลดแต่อย่างใด
อัลบั้มภาพ 5 ภาพ