ปลดเจ้าอาวาส-ชาวบ้านร้องเจ้าคณะจังหวัดสอบพระครูชื่อดัง หลังพบเงินบัญชีวัดหลักแสนเหลือ 39 บาท

( 20 ก.ค. 61) ที่ จ.นครศรีธรรมราช บริเวณตำหนักสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดเขาขุนพนม ตำบลบ้านเกาะ อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นตำหนักที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก (เจริญ สุวฑโน) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 19 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เคยเสด็จมาประทับยังตำหนักแห่งนี้ หลังจากพุทธศาสนิกชนหลายฝ่ายได้ร่วมกันจัดสร้างถวาย
แต่ขณะนี้ได้ถูกปิดป้ายห้ามเข้าและมีหนังสือคำสั่งจากพระศรีธรรมประสาธน์ เจ้าคณะจังหวัดนครศรีธรรมราช พักการปฏิบัติหน้าที่ของพระครูปิยะคุณาธาร จากพระสังฆาธิการและเจ้าอาวาสของวัดเขาขุนพนม พร้อมทั้งคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินวัดเขาขุนพนม ขึ้นเพื่อทำการตรวจสอบทรัพย์สินทั้งหมดของวัด
โดยการเข้าปิดคำสั่งดังกล่าวนั้นหนึ่งในข้อร้องเรียนของพุทธศาสนิกชน คือ พระครูปิยะคุณาธาร ได้ถือวิสาสะในการเป็นเจ้าอาวาสเข้าไปพำนักในตำหนักสมเด็จพระสังฆราช อย่างไม่เหมาะสม และประกอบอีก 7 ประเด็นคือ 1. การบริหารการเงินไม่โปร่งใส 2. มีอุบาสิกาคนหนึ่งเป็นผู้บริหารการเงินของวัด 3. ขายวัตถุมงคลของวัดที่จัดสร้างไว้แล้วไม่สามารถตรวจสอบเงิน และไม่นำเงินเข้าบัญชีวัด 4. เงินผ้าป่าไม่เข้าบัญชีวัดทั้งที่มียอดผ้าป่าหลายครั้งมีวงเงินสูง 5. ใช้อำนาจปลดกรรมการวัดโดยไม่ชอบธรรม 6. ขัดขวางการจัดทำทะเบียนทรัพย์สินของวัด 7. ใช้จ่ายเงินของมูลนิธิสินพนมพรหมคีรีพิทักษ์ธรรมโดยมิชอบด้วยกฎหมาย
ขณะที่สำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินของวัด ได้เข้าตรวจสอบเบื้องต้นนั้นพบว่า เงินในบัญชีมูลนิธิของวัดนั้นมีทุนเริ่มต้น 5 แสนบาท คงเหลืออยู่ในบัญชีเพียง 39 บาท โดยไม่ทราบว่า เงินดังกล่าวนั้นถูกเบิกถอนไปใช้จ่ายการใดบ้าง ซึ่งยังไม่ปรากฏหลักฐาน
ส่วนเงินของวัดคงเหลืออยู่ประมาณ 1 ล้าน 4 แสนบาท และยังไม่สามารถตรวจสอบบัญชีรายจ่ายใดๆ ได้ โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบทรัพย์สินอีกครั้งในวันที่ 22 ก.ค.นี้
ด้านพระครูปิยะคุณาธร ซึ่งยังคงพำนักอยู่ในกุฏิหลังหนึ่งในวัดระบุว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความพยายามในการเข้ามาจัดการผลประโยชน์ของวัดแล้วไม่สำเร็จ เป็นการขัดผลประโยชน์จึงเกิดข้อร้องเรียนไปตลอดหลายปีที่ผ่านมา ทางผู้ปกครองสงฆ์จึงต้องตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน และยินดีที่จะให้คณะกรรมการกลางเข้ามาตรวจสอบ และรับช่วงในการบริหารจัดการวัดแทน และยืนยันการใช้จ่ายเงินของวัดมีรายได้เพียงเดือนละ 8-9 หมื่นบาทเท่านั้น ซึ่งหมดไปกับค่าไฟ้ฟ้าและค่าบริหารจัดการ
นายนิภา หนึ่งในผู้ร้องเรียนยืนยันว่า ไม่ใช่เฉพาะการร้องไปยังคณะผู้ปกครองสงฆ์เท่านั้น ยังได้แจ้งความดำเนินคดีในฐานะเหรัญญิกมูลนิธิ ที่ไม่สามารถเข้าจัดการทางการเงินให้ถูกต้องได้ และเงินสดจำนวน 5 แสนบาท ของมูลนิธิกลายเป็นว่าเหลือเพียง 39 บาท ถูกเบิกจ่ายไปอย่างผิดขั้นตอนกฎหมาย ที่ควบคุมการบริหารจัดการมูลนิธิโดยไม่รู้ว่ามีการใช้จ่ายอะไร
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านใกล้เคียงกับวัดตั้งข้อสังเกตว่า เงินที่ไหลเข้าวัดในรอบหลายปีที่ผ่านมามีเป็นจำนวนมาก แต่ไม่มีใครตรวจสอบได้ และไม่มีรายละเอียดการใช้จ่ายใดๆ แจ้งให้ชาวบ้านทราบ ทำให้ชาวบ้านต่างเกิดข้อกังขาซึ่งหากมีการตรวจสอบและจัดการอย่างชัดเจนจะก่อให้เกิดศรัทธาที่ดีมากขึ้น