"ฝันดี-ฝันเด่น" เผยประสบการณ์ช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง โต้ดราม่าอยากดัง

"ฝันดี-ฝันเด่น" เผยประสบการณ์ช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง โต้ดราม่าอยากดัง

"ฝันดี-ฝันเด่น" เผยประสบการณ์ช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง โต้ดราม่าอยากดัง
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ฝันดี-ฝันเด่น จรรยาธนากร ฝาแฝดชื่อดังคนบันเทิงที่หลายคนรู้กันดีว่าเป็นดาราจิตอาสากู้ภัยที่ได้มีโอกาสเข้าไปช่วยค้นหาทีมหมูป่าอะคาเดมีทั้ง 13 คน ที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง จังหวัดเชียงราย และในวันนี้ 2  ฝาแฝดจะมาแชร์ประสบการณ์การค้นหา พร้อมทั้งอัพเดทสถานการณ์จากคนที่ลงพื้นที่จริงๆ พร้อมเปิดใจโต้ประเด็นทีมกู้ภัยเมืองไทยไร้ประสิทธิภาพ เคลียร์คำครหาไปช่วยเด็กเพราะอยากดัง  

งานที่พวกพี่ทำกันอยู่ตอนนี้คือทำอะไร

เล็ก : "เป็นอาสาสมัคร จิตอาสา ปัจจุบันก็จะมีอาสาสมัครมากขึ้น ในสังคมไทยนี่คำว่าจิตอาสามีบทบาทมากในการที่จะกระตุ้นเตือนให้ประชาชนใช้เวลาที่ตัวเองมีเพื่อสังคม"

ทำมานานเท่าไหร่แล้ว ??

เล็ก :  "นานแล้ว ประมาณ  20 กว่าปีแล้ว"

ทำมานานจนตอนนี้ก็มีชมรมเป็นของตัวเองแล้ว ?

ใหญ่ : "เป็นเหมือนกลุ่มชมรมออฟโรดมากว่า ที่มีความคิดเหมือนกัน ชอบในเรื่องของงานกู้ภัยก็มารวมกลุ่มกันได้หลายปีแล้ว" 

ตอนนั้นที่มีข่าวเด็ก 13 คน ติดในถ้ำ พี่คิดจะทำอะไร ?

เล็ก : "พอเกิดเหตุการณ์ขึ้นเราก็พอจะมีเครือข่ายทางภาคเหนือที่มีปฎิสัมพันธ์อันดี ในตอนนั้นทางทีมศิริกรณ์กับทางอัมรินทร์ใต้เขาได้มีการเข้าสู่หน้างาน ก็มีการพูดคุย ส่งข้อมูลกัน"

ใหญ่ : "ลักษณะท่าทางเป็นยังไง ลักษณะถ้ำ ปริมาณน้ำเป็นยังไง เข้าไปได้ขนาดไหน เราก็เอาข้อมูลมาคุยกัน เราควรจะไปช่วยกันมั้ย เราไม่ได้ไปเพราะมันเป็นเคสที่ใหญ่หรือเป็นที่รับรู้ของสาธารณะชน เราก็คิดว่าเป็นแค่เด็กติดถ้ำ" 

ตอนที่มีคนแจ้งว่าเด็กติดถ้ำพี่คิดมั้ยว่าจะสโคปใหญ่ ?

เล็ก : "ไม่เลย เพราะภาพที่เขาส่งให้ดูเป็นภาพที่เข้าไปมุดไปในถ้ำ แล้วก็ไปหา ไปหลงอยู่ตรงไหน ใน 24 ชม. ที่เกิดเหตุผมเช็คข้อมูลอยู่ตลอดเวลา เช็คเจ้าหน้าที่ด้วย เพราะพวกเรามีหน้าที่การงานกันอยู่แล้ว เรื่องการทำงานอะไรต้องเป็นขั้นตอน  เมื่อเราไปถึงมันเป็นระบบการสั่งการแบบเมืองนอก เราต้องไปรายงานกับผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ไม่ใช่เข้าพบนะ คือไปลงทะเบียนที่โต๊ะ ว่าเป็นใคร กี่คน เอาอะไรมาบ้าง" 

พอลงทะเบียนแล้วพี่ไปเห็นสโคปงานแล้วเป็นยังไง

เล็ก :  "เราเห็นหน้าเดียวคือตรงปากถ้ำ ในฐานะที่เราเป็นคนนอกเราก็จะไปเจอคนในพื้นที่ก่อนไม่ว่าจะเป็นอัมรินทร์ใต้ ศิริกรณ์ แสงธรรม สยามรวมใจ หรืออะไรก็แล้วแต่ที่อยู่ตรงนั้น เพื่อไปคุยกันแล้วก็รวมตัวกันแล้วใช้ชื่อเดียวเลย การจัดสรรงานมาก็จะมีตัวแทนกลุ่มไปคุยกับทหาร"

ของพี่ไปทำอะไร ?

เล็ก : "เป็นการค้นหาในบริเวณนั้นก่อนในหน้าถ้ำและรอบข้าง แรกๆ คือทหารจะเป็นฝ่ายค้นหาถ้าเขาเจอปล่องชิ้นอะไรขึ้นมาเขาก็จะให้กู้ภัยเข้าไป

เรียกว่ายากที่สุดของการทำกู้ภัยเลย ?

เล็ก : ใช่ เพราะเราเป็นมนุษย์เมือง ต้องยอมรับอย่างงี้ก่อน ความชำนาญหรือเทคนิคต่างๆ มันจะสู้คนในพื้นที่ไม่ได้ ภูมิประเทศแต่ละที่ไม่เหมือนกัน"

ตอนที่พวกพี่ๆ ค้นหาเด็กทำกันวันที่หนึ่ง วันที่สองไปเรื่อยๆ แล้วไม่เจอเด็ก ความรู้สึกเป็นไง ?

เล็ก : "ความกดดันมันเกิดขึ้นอยู่แล้ว มันไม่ได้แบกแค่ตัวเองไป ไม่ได้แบกแค่สิ่งของ แต่มันแบกความหวัง" 

ใหญ่ : "แบกความหวังนี่ไม่ได้เกิดจากความหวังที่ทุกคนมาฝากเราไว้นะ แต่เป็นความหวังที่เราตั้งไว้ ที่เราฝึกมา ที่เราทำสิ่งต่างๆ มันอยู่ในจิตวิญญาณของนักกู้ภัย มันเลยยิ่งกดดัน"

อะไรคือความหวังของการทำงานตรงนี้ ?

เล็ก : "ในฐานะที่เรียกตัวเองว่ากู้ภัย ไม่ว่าจะผ่านไป 24 ชั่วโมง 48 ชั่วโมง 72 ชั่วโมง ผมยังให้ความหวังเสมอว่าผู้ประสบภัยยังคงมีลมหายใจ ผมจะไม่ตีค่าว่าผ่านไป 4 วัน 5 วัน จะหมดหวังไม่ได้ ตราบใดที่เราไม่ได้สัมผัสตัว ไม่ได้ข้อมูลที่ชัดเจนว่าเป็นอย่างงั้น ความหวังคือสิ่งที่สำคัญต่อการช่วยเหลือ" 

ทำงานวันละกี่ชั่วโมง ?

เล็ก : "ไม่กำหนด เริ่มแต่ไม่มีจุดจบก็ได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าทีมผมทำอยู่ทีมเดียว มีอยู่อีกหลายทีมเลย" 

พี่ไปถึงตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ?

เล็ก : "เหตุเกิด 23 วันที่ 24 หาข้อมูล เดินทาง 24 กลางคืน ถึง 25 ตอนเที่ยง"

ตอนเขาบอกว่าเจอเด็กแล้ว พี่รู้สึกยังไงบ้าง ?

เล็ก : "สำหรับตัวผม ผมเพิ่งเดินลงเขามา ยังไม่ถึงพื้นราบ ตอนแรกข่าวลือในแต่ละวันเยอะมาก พวกข่าวลือ ข่าวหลอกมันบั่นทอนความรู้สึกของคนมาก ล้วนแล้วแต่ทัศนวิสัยการทำงานแย่ลง"

ใหญ่ : "มันทำให้เจ้าหน้าที่ชะลอ ต้องกลับมาหาข้อมูล มันเหมือนตัดโอกาสช่องเวลาของวินาที"

เล็ก : "เราพูดในวันนี้คือเราเจอเด็กแล้ว แต่ในวันนั้นเราไม่เจออะไรเลย มันคนละความรู้สึกกัน เหมือนฟุตบอลอ่ะ ครึ่งแรกเราเจอแล้ว ทีนี้ครึ่งหลังเนี่ยเหนื่อยกว่า มันมีแรงกดดัน มันไม่เวลาที่ไม่มีการต่อเวลา" 

ใหญ่ : "มันเป็นการคาดหวังที่รู้แล้วว่าเด็กอยู่ตรงไหน น้ำหนักทั้งหมดจะตกไปสู่ท่านผู้ว่าฯ ที่ทุกๆคนคาดหวังว่าจะต้องทำยังไง" 

ตอนที่เขาบอกว่าเจอเด็กแล้ว แล้วเรารู้ว่าเป็นข่าวจริง ความรู้สึกแรกรู้สึกยังไง ?

เล็ก : "นิ่งนะ มันไม่ได้เหมือนในหนังนะจะมาเฮ เพราะเราเดินมาแล้วหลายวันมาก พอผู้ว่าแถลงแล้วมันไม่ได้มีคำพูดเหมือนในหนัง หันหน้ามองกันว่าเจอแล้ว" 

ใหญ่ : "ดีใจ มีอยู่แล้ว ชื่นใจในสิ่งที่เราลงแรง เราไป เราไม่ได้คาดหวังว่าเราต้องเจอเป็นคนแรก แต่เป็นใครก็ได้ที่เข้าไปในที่นี้แล้วเจอ เราก็รู้สึกดีใจ"

เล็ก : "ในการกู้ภัยครั้งนี้มันคือ 1 ภารกิจคือการตามหาเด็กให้เจอ ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะมาจากกู้ภัยใดเพราะฉะนั้นมันคือ 1 เรื่อง ไม่ว่าใครจะเจอมันคือเรื่องเดียวกัน"

รู้สึกอย่างไรที่มีคอมเม้นท์ว่าทีมงานของไทยทำงานสู้ต่างประเทศไม่ได้ ?

ใหญ่ : "ต้องอย่าลืมว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้วนะ มันมีเรื่องของโครงสร้าง เรื่องของน้ำหนัก กายภาพต่างๆ ดังนั้นศักยภาพของนักกู้ภัย ของกองทัพ มีพร้อมหมด เพียงแต่ว่าสิ่งที่เราได้รับจากต่างประเทศที่เหมือนเขาเก่งกว่าก็คือเขามีประสบการณ์ เราถึงต้องใช้สิ่งนี้มาเรียนรู้ "

แล้วกับคอมเม้นท์ที่พูดถึงเด็กว่าไปเที่ยวทำไมในนั้น อยากพูดอะไร ?

ใหญ่ : "มันคือที่เที่ยวอ่ะ ข้อผิดพลาดของมนุษย์แต่ละคนมีอยู่เสมอ สิ่งที่เขาไปมันไม่ใช่หุบเขาต้องห้าม หรือมีเขตกั้นห้ามเข้าโดยเด็กขาด คือวนอุทยาน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนึง ใครก็เข้าได้ตามเวลาที่กำหนด น้องเข้าไปไม่ผิดเวลา เจ้าหน้าก็ไม่ได้ผิด ก็ยังเปิดทำการ เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แล้วเข้าไปเขาก็เข้าไปตามเส้นทางที่เส้นทางที่เคยมีการสำรวจไว้แล้ว สิ่งที่มันเกิดขึ้นก็คือธรรมชาติกับอุบัติเหตุมันเกิดพร้อมกัน" 

สรุปคือถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอนคือสถานที่ที่เราไปท่องเที่ยวได้ ?

เล็ก : "ใช่ วนอุทยาน"

ใหญ่ :  "มีการเข้าออก มีเจ้าหน้าที่ มีรีสอร์ท มีโรงแรม มีอะไรพัก มีร้านอาหาร มีที่ท่องเที่ยว ไม่ใช่ถ้ำปิด"

พูดถึงโค้ชเอกหน่อยเห็นบอกว่ามีร่างกายอ่อนแอที่สุด

เล็ก : "มันเป็นความเสียสละ เป็นความรับผิดชอบในฐานะที่โตกว่าทุกคนด้วย แล้วด้วยหมวกที่สวมใส่เป็นโค้ชด้วย ในความเป็นจริงแล้วเราควรมองว่ามันคืออุบัติเหตุ มันไม่มีใครอยากจะพาใครเข้าไปอย่างงี้ เรื่องดราม่าเกิดขึ้นได้ตามกระแส เมื่อน้องๆ ออกมาได้จะมีข้อมูลต่างๆ มากกว่าที่จะทำให้คนได้กระจ่างว่าเกิดอะไรขึ้น"

เด็กๆ ต้องติดอีก 4 เดือนจริงมั้ย ?

เล็ก :  "ไม่ใช่ มันเป็นแผนทางกองทัพเรือ คือถ้าคนปกติที่อยู่ตรงนั้นเขาจะรู้ว่าเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนถ้ำหลวงจะค่อยๆ เพิ่มประมาณน้ำมากขึ้น และกว่าจะหมดฝนและกว่าน้ำจะออกจากถ้ำเนี่ยใช้เวลา 4 เดือน  แต่ถ้าเราช่วยออกมาก็คือจบ แต่มันเป็นการประมาณ"

แล้วเด็กว่ายน้ำก็ไม่เป็น ไม่เคยดำน้ำแล้วจะทำยังไง ?

ใหญ่ : ก็เขาถึงมีแผน 2 แผนออกมาไง แผนที่ 1 ก็คือเอาออกจากการดำน้ำ ทางช่องเดิมที่เค้าเคยเข้า แผนที่ 2  คือหาจากพื้นที่สูงแล้วโรยตัวไปเอา ถ้าย้อนกลับมาในเรื่องของโค้ช เขาจะเป็นบุคคลที่น่าสงสารที่สุด ถ้าเป็นผมนะ เจอเหตุการณ์อย่างนี้ ผมยอมตายในถ้ำดีกว่า เพื่อแลกกับเด็ก หรือถ้าออกมาแล้วผมโดนปากคนครอบยิ่งกว่าถ้ำ เหมือนตายทั้งเป็นยิ่งกว่า มันไม่มีใครอยากให้เกิด" 

เกิดอะไรขึ้นถึงกลับมา กลับมาคือต้องกลับมาทำงาน ?

เล็ก :  "ไม่ใช่ ประเด็นนั้นประเด็นรอง ประเด็นหลักเลยคือทีมเราทั้งหมดไปเพื่อตามหา เมื่อค้นหาแล้วกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งในทีมเจอ นั่นคือแสดงว่าภารกิจนั้นสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว หลังจากนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นการช่วยเหลือ ฉะนั้นเมื่อเรามีกรอบอาชีพเราไม่ได้มีหน้าที่นั้น เราเป็นจิตอาสาประชาชน ใช้เวลา 10 วันที่ไปก็สมควรแล้ว แต่เราไม่ได้กลับทั้งหมด ทั้งชุด ยังมีทีมเหลืออีกนะ อีก 8 คนนี้เขาหาช่อง ปล่องอื่นที่อาจจะเป็นทางออกได้"

ใหญ่ : "สิ่งที่เราทำทั้งหมดในฐานะที่เราเป็นดาราด้วย เราก็มาสื่อสารประชาสัมพันธ์รับรู้ในสิ่งที่อยากจะรู้ว่าอะไรเป็นแบบไหน สิ่งที่เราไปคือสิ่งที่เราเห็นและสิ่งที่เขาทำ สิ่งที่เราเห็นด้วยตาคือทุกหน่วยเขาทำอะไร ปัญหาที่เกิดขึ้นมันคืออะไร เราเล่าแบบชาวบ้านสู่ชาวบ้าน" 

ติดตามรายการคุยแซ่บ Show ได้ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 14.00-15.00 น. ทางช่อง one31 Facebook Page : คุยแซ่บ Show รับชมย้อนหลังได้ที่ Youtube Channel : Orange Mama

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ

อัลบั้มภาพ 7 ภาพ ของ "ฝันดี-ฝันเด่น" เผยประสบการณ์ช่วย 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง โต้ดราม่าอยากดัง

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook