อีกมุมจากพนักงานคาร์โก้ กรณีสุนัขตายระหว่างโหลดขึ้นเครื่องบิน

อีกมุมจากพนักงานคาร์โก้ กรณีสุนัขตายระหว่างโหลดขึ้นเครื่องบิน

อีกมุมจากพนักงานคาร์โก้ กรณีสุนัขตายระหว่างโหลดขึ้นเครื่องบิน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

กรณีเหตุการณ์สุนัขพันธุ์ไซบีเรียนฮัสกี้วูลลี่ตายขณะโหลดขึ้นเครื่องและเจ้าของสุนัขได้โพสต์เรื่องราวพร้อมระบุว่าสายการบินดังปัดความรับผิดชอบ (อ่านข่าวเกี่ยวข้อง>>>หนุ่มส่งสุนัขขึ้นเครื่องบิน แต่ตายสุดอนาถ สายการบินปัดรับผิดชอบ)

ล่าสุด มีอีกมุมจากหนุ่มทีระบุว่าเป็นพนักงานคาร์โก้นกแอร์ ได้ออกมาชี้แจงผ่าน "เฟซบุ๊ค" พร้อมกับเขียนว่า #ชี้เเจงเรื่องสุนัขตายบนเครื่องนกเเอร์‬ โดยมีข้อความระบุว่า "ผมขอชี้แจงความจริงในฐานะพนักงานคาร์โก้นกแอร์ โดยไม่ได้เกี่ยวกับสายการบินนกแอร์ ผมทนไม่ได้ที่บอกว่านกแอร์ทำสุนัขตาย คาร์โก้นกแอร์รับ-ส่ง สัตว์เลี้ยงอยู่ 3 ชนิด คือ สุนัข แมว กระต่าย มาประมาณ 8 ปี ขนส่งมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 แสนตัว ยอมรับว่ามีสุนัขตายมาแล้ว 7-8 ตัว เฉลี่ยปีละ 1 ตัว สุนัขที่ตายกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นสุนัขพันธุ์หน้าสั้น พันธุ์ปั๊ก ซึ่งเจ้าของก็ยอมรับและเข้าใจดี อีกไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ เจ้าของยอมรับว่าสุนัขมีปัญหาด้านสุขภาพอยู่แล้ว"

"และกว่าครึ่งหนึ่งของสุนัขที่เสียชีวิตทั้งหมดเกิดขึ้นตอนหน้าร้อนของปีนี้ซึ่งมีอุณหภูมิสูงมาก ซึ่งทางคาร์โก้ได้ประกาศงดรับสัตว์เลี้ยงช่วงนั้นเป็นเวลา 1 เดือน และงดรับสุนัขพันธุ์หน้าสั้น ซึ่งก็ทำให้ไม่มีสุนัขตายอีกเลย ซึ่งตัวที่ตายล่าสุดเจ้าของได้เรียกร้องเงินชดเชย 16,800 บาท แต่ทางคาร์โก้ปฏิเสธ เขาจึงไปโพสต์ในโซเชียลจนเป็นข่าวโด่งดัง บอกว่าสุนัขไม่ได้อยู่ในห้องแอร์ตลอดตามที่เคยถามพนักงาน คาร์โก้นกแอร์เป็นขนส่งสัตว์เลี้ยงภายในประเทศเจ้าเดียวที่มีห้องแอร์ให้สัตว์เลี้ยงพัก"

"คงจะไม่มีพนักงานคนไหนที่จะมาอธิบายถึงขั้นตอนอย่างละเอียดในกรณีที่ถามว่าสุนัขอยู่ในห้องแอร์ไหม ทุกคนต้องตอบว่าอยู่ในห้องแอร์ แต่ขั้นตอนการปฏิบัติงานจริงๆ ไม่มีทางเป็นไปได้เลยว่าสุนัขจะต้องอยู่ห้องแอร์ตลอดเวลา เพราะมันจะต้องมีการเอาออกไปเตรียมในที่จัดเตรียมสินค้าของแต่ละเที่ยวบิน เพื่อจัดส่งเข้าไปในลานจอดเครื่องบินต่อไป"

"และบอกว่าสถานที่ของคลังสินค้าคับแคบ ร้อน ไม่มีการระบายอากาศ ไม่มีแม้แต่พัดลม ในคลังสินค้ามีพัดลมแต่จำนวนไม่มาก เพราะกายภาพของคลังสินค้ามีอากาศถ่ายเทอย่างสะดวก หลังคาสูงกว่า 10 เมตร ผนังด้านข้างเป็นรั้วตาข่ายเหล็ก ด้านหลังมีประตูขนาดใหญ่เชื่อมกับลานจอดเครื่องบิน ทำให้มีลมพัดเข้ามาตลอด ถ้ามันร้อนจริงพนักงานเขาจะอยู่กันอย่างไร"

"ถ้าท่านใดหรือสำนักข่าวไหนอยากเข้าไปพิสูจน์สถานที่ ติดต่อผมได้ตลอดเวลา"

"ที่บอกว่าเอาเข้าไปในลานจอดคงเอาสุนัขไปตากแดด พนักงานคาร์โก้ไม่มีใครวิกลจริต ไม่มีใครบกพร่องทางจิตที่จะได้ทำเช่นนั้น เขาไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยถ้าหากทำเช่นนั้น เรากำชับทุกคนให้นำสัตว์เลี้ยงจอดในที่ร่ม และเขาจะถูกลงโทษทันทีถ้าฝ่าฝืน ที่เห็นอยู่ในลานจอดเขาออกไปหลังจากเครื่องลงแล้วเท่านั้น แล้วสุนัขตัวนี้มันอยู่นอกห้องแอร์ไม่ได้เลยหรือ เห็นรูปที่โพสต์และตอนที่ติดต่อ ทำเรื่องส่งก็เห็นอยู่นอกห้องแอร์ตลอด ถ้าแจ้งเราว่าเขาออกจากห้องแอร์ไม่ได้เลยเราคงไม่รับขนส่งแน่นอน"

"และพูดถึงการปรับความดันของอากาศใต้ท้องเครื่องบินที่สุนัขอยู่มีอะไรขัดข้องหรือไม่ ผมจะพูดถึงเครื่องลำที่สุนัขเสียชีวิตเท่านั้น บินไฟล์ทแรกของวันไปอุบลราชธานี มีสุนัขไปด้วยทั้งไปและกลับ กลับมาบินไปตรังที่มีสุนัขตัวนี้เสียชีวิต แล้วบินต่อไปเชียงใหม่ก็มีสุนัขเดินทางไปด้วย ถ้ามีอะไรขัดข้องจริง สุนัขทุกตัวต้องตายหมด"

"บอกสุนัขตายเพราะอ่อนเพลียจากการอยู่นอกห้องแอร์ บอกสุนัขตายเพราะความร้อนในลานจอด บอกสุนัขตายเพราะระบบความดันอากาศใต้ท้องเครื่อง สรุปว่าทุกขั้นตอนของคาร์โก้นกแอร์ผิดหมดใช่ไหม? ดีนะไม่ตายตอนอยู่ในห้องแอร์ คงจะบอกว่าปรับอุณหภูมิเย็นเกินไป"

"ตลอดระยะ 8 ปี เราขนส่งสุนัขพันธุ์นี้มาแล้วมากจนจำไม่ได้ว่าเท่าไรไม่เคยมีตายเลย แม้แต่ตัวเดียว เขาพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เลือกพูดเฉพาะที่ตัวเองได้ประโยชน์เท่านั้น ถ้าคาร์โก้นกแอร์ผิดจริง ทำไมไม่แจ้งความดำเนินคดี ผมรออยู่ มาพิสูจน์กันเลย ทำไมถึงเลือกไปโพสต์ในโซเชียล เพื่อให้กระแสสังคมมากดดัน มันเป็นการพูดข้างเดียว คนที่เข้ามาแสดงความคิดเห็น ไม่มีใครรู้ความจริง ไม่มีใครเห็นเหตุการณ์ ไม่มีใครเห็นสถานที่ ทุกคนจินตนาการเอาเองทั้งนั้น"

"ถ้าเขารักสุนัขจริงเขาต้องสนใจรายละเอียดต่างๆ มากกว่านี้ เขาเอาสุนัขซึ่งอายุยังน้อยเดินทางไกลมาจากเพชรบูรณ์ มาไกลขนาดนี้คนเป็นผู้ใหญ่ยังแย่เลยและเขายังเอาสุนัขใส่ในกรงที่สุนัขยืนและกลับตัวไม่ได้ จนทางคาร์โก้ต้องให้เปลี่ยนกรงให้ใหญ่ขึ้นถ้ามันไม่จริงเขาจะยอมเปลี่ยนกรงไหมเพราะมันต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่ม"

"เราย้ำกับพนักงานเสมอว่า สัตว์ก็มีชีวิตเหมือนเรา ถ้าเขาจับเราเข้าไปในกรงที่ยืนและกลับตัวไม่ได้ เราจะรู้สึกอย่างไร ทางคาร์โก้เราบังคับให้สุนัขทุกกรงติดขวดน้ำตลอด เราสนใจในรายละเอียดต่างๆ มากกว่าคนที่บอกว่ารักสุนัขเหมือนลูกอีก แต่เขาทำเพียงขอให้ได้ส่งเท่านั้น แถมเงินในตัวยังไม่พอจ่ายค่ากรง พนักงานคาร์โก้ต้องช่วยจ่ายให้ก่อนแล้วเขาถึงโอนมาให้ภายหลัง"

"และสิ่งที่ผมจะบอกต่อไปนี้คือสิ่งที่เขาไม่เคยบอกกับสื่อที่ไหนเลย คือเขานำสุนัขเดินทางมาถึงที่คาร์โก้ช้ากว่าเวลาที่กำหนด เขาเป็นฝ่ายขอร้องให้ช่วยรับสุนัขไว้ คาร์โก้ช่วยแก้เอกสารซึ่งปิดไปแล้วสำหรับเที่ยวบินนั้น เพราะเห็นใจว่าเดินทางมาไกล สุนัขเดินทางมาไกล อายุยังน้อย เขาบอกว่าสุนัขสุขภาพแข็งแรงดี พิสูจน์ได้จากไหน มีใบรับรองการตรวจสุขภาพจากสัตวแพทย์มาแสดงไหม มีคนตั้งมากมายเดินแข็งแรงอยู่ดีๆ ล้มลงเสียชีวิตก็มี สุนัขเขาบอกไม่ได้ว่า เขาเหนื่อย เขาเครียด เขาตื่นเต้น และต้องไปอยู่กับคนแปลกหน้าในสถานที่ ที่เขาไม่คุ้นชิน มีทั้งเสียงดังจากอุปกรณ์ต่างๆ รวมทั้งเสียงดังของเครื่องบิน"

และเมื่อมาไม่ทันเวลา ก็ทำให้สุนัขไม่มีโอกาสได้พักผ่อน ก่อนขึ้นเครื่องบิน รวมถึงเวลาที่อยู่ในห้องแอร์ก็น้อยตามไปด้วย ตกลงการมาช้า คาร์โก้นกแอร์ผิดอีกใช่ไหม และที่สำคัญก่อนการส่งสุนัข เขาได้ลงรายมือชื่อ พร้อมแสดงเบอร์โทรศัพท์ พร้อมลงรายละเอียดในเอกสารเพื่อยอมรับว่าในการขนส่งสัตว์เลี้ยงทางอากาศครั้งนี้ หากมีการตาย บาดเจ็บ หรือเสียหายเกิดขึ้น ผู้ขนส่งจะไม่รับผิดชอบหรือชดใช้ค่าเสียหายใดๆ คนอย่างเขาถ้าไม่เข้าใจ ถ้าไม่ยอมรับและเห็นว่าไม่เป็นธรรม เขาคงไม่ยอมลงชื่อย่างแน่นอน"

"ผมยืนยันว่า เราปฏิบัติตามขั้นตอนการทำงานทุกอย่าง ไม่ได้ปล่อยปะละเลย วันนั้นทั้งวันมีสัตว์เลี้ยงขนส่งผ่านทางนกแอร์ ร้อยกว่าตัว ไม่ใช่ตัวนี้ตัวเดียว ทำไมถึงมีตายแค่ตัวเดียว ปกติแล้วถ้าพนักงานคาร์โก้คนใด แค่เอามือแหย่เข้าไปในกรงสุนัขเรายังเรียกมาตักเตือนเลย ผมไม่ใช่คนโลกสวย ไม่ประดิษฐ์ประดอยคำพูด ผมอยู่กับความจริง สุนัขตัวนี้ไม่ใช่ตัวแรกหรือตัวเดียวในโลกที่เพิ่งตาย วันๆ หนึ่งเฉพาะในประเทศไทย มีสุนัขตายเท่าไหร่ ถูกทำร้าย ถูกทารุณเท่าไหร่ เอาเฉพาะรถชนตายอย่างเดียวก็ไม่รู้เท่าไหร่ ถูกฆ่าเป็นอาหารอีกเท่าไหร่"

"เขาไม่ได้รักสุนัขมากมายอะไร ถ้าได้เงินตั้งแต่แรกก็จบไปแล้ว และสิ่งที่ผมอยากจะบอกสังคมเกี่ยวกับสุนัขคือ นกแอร์เราทำเพื่อสุนัขมาโดยตลอด และทำมานานแล้ว โดยที่สังคมไม่เคยได้รับรู้ เพราะนกแอร์ทำด้วยใจจริงๆ ไม่ต้องการทำเพื่อเอาหน้า คือท่านผู้บริหารระดับสูงของนกแอร์ให้การอุปถัมภ์ มูลนิธิสุนัขในซอย (SOI DOG) ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสุนัขจรจัด ถูกทำร้าย หรืออยู่ในภาวะที่เป็นอันตรายต่อชีวิต หรือกำลังจะถูกฆ่าเป็นอาหารให้ได้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย โดยการจัดหาเจ้าของใหม่ให้ (แต่ไม่ใช่การส่งไปขายเพื่อหารายได้ แต่มาบอกว่าส่งไปหาพ่อแม่ใหม่ และเป็นค่านม) โดยนกแอร์ยกเว้นค่าจัดส่งทั้งหมด ไม่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขใด ๆ ทั้งสิ้น"

"ขอเพียงแจ้งล่วงหน้าว่าจะส่งไปจังหวัดไหน แล้วนำมาส่งที่คลังสินค้าคาร์โก้นกแอร์ ให้ทันเวลาเครื่องออกเท่านั้น นกแอร์ช่วยให้สุนัขเหล่านี้รอดตายมาแล้วมากมาย จนจำไม่ได้ว่าจำนวนเท่าไหร่ มูลนิธิสุนัขในซอย ท่านออกมาบอกสังคมหน่อยเถิดว่า ท่านและนกแอร์ ทำให้สุนัขรอดตายไปแล้วเท่าไหร่ และบอกด้วยว่า สุนัขที่นกแอร์จัดส่ง เคยมีตายบ้างไหม และตอนที่น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2554 คนที่เลี้ยงสุนัข ที่มีบ้านเดิมอยู่ต่างจังหวัด มีเพื่อน มีญาติ มีคนรู้จักอยู่ต่างจังหวัด ส่งสุนัขเพื่อหนีน้ำไปต่างจังหวัด จำนวน ผมใช้คำว่า "มหาศาล" ผ่านทางนกแอร์ เพราะเส้นทางคมนาคมทางบกถูกตัดขาดหมด และไม่มีสายการบินใด ที่ดอนเมืองรับ-ส่ง สัตว์เลี้ยงเลย เราอำนวยความสะดวก โดยที่ไม่ต้องมีเงื่อนไขอะไรเลย เพียงขอให้สุนัขได้ไปอยู่ในที่ปลอดภัย"

"นกแอร์ทำให้สุนัขเหล่านี้รอดตายจากน้ำท่วมโดยที่ไม่เคยป่าวประกาศให้สังคมได้รับรู้เลย นกแอร์ไม่ได้ทำให้สุนัขตาย เราปฏิบัติอย่างถูกขั้นตอน ไม่เช่นนั้น 8 ปีที่ผ่านมา กว่า สองแสนตัว คงมีตายอย่างมากมาย ตรงกันข้าม นกแอร์ช่วยให้สุนัขรอดตาย มาแล้วเป็นจำนวนมาก"

"คนโลกสวยไม่ต้องเข้ามา ถ้าผิดจริง ผมบอกให้ไปแจ้งความดำเนินคดีแล้ว ใครก็ตามที่ตำหนินกแอร์เรื่องสุนัข ก้มลงสำรวจตัวเอง เสียก่อนว่า ทำได้สักหนึ่งในล้านที่นกแอร์ทำเพื่อสุนัขไหม ผมเป็นห่วงและเห็นใจธุรกิจที่เคยทำร่วมกับนกแอร์มาตลอด ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาตลอด ตอนนี้เขากำลังเดือดร้อนอย่างหนัก แม้แต่พันธ์ปลา ปลาสวยงาม ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย สะใจใช่ไหม? สบายดีอยู่ไหม?

‪#‎ช่วยเเชร์ให้โลกรู้หน่อยนะครับ‬
ขอบคุณครับ

เป็นอีกมุมจากพนักงานคาร์โก้ หลังจากสายการบินนกแอร์ยกเลิกขนส่งสัตว์เลี้ยงและได้ประกาศไว้ตั้งแต่วันที่ 2 สิงหาคม 2559 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook