มาเลย์ประกาศค้นหาเครื่องบินMH370จนกว่าจะพบ

มาเลย์ประกาศค้นหาเครื่องบินMH370จนกว่าจะพบ

มาเลย์ประกาศค้นหาเครื่องบินMH370จนกว่าจะพบ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

อธิบดีกรมการบินพลเรือนมาเลเซีย ประกาศจะไม่มีการกำหนดกรอบเวลาสำหรับภารกิจค้นหาเครื่องบินที่หายไปโดยจะค้นหาต่อไปจนกว่าจะพบ ยันคราบน้ำมันไม่ใช่ MH370-ตร.สากลพบพาสปอร์ตปลอมเพิ่มอีก1ราย

สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานจากการแถลงของ นายอาซารุดดิน อับดุล เราะห์มาน  อธิบดีกรมการบินพลเรือนมาเลเซีย ที่ออกมาประกาศต่อผู้สื่อข่าวว่าทางการมาเลเซียในทุกๆฝ่ายจะไม่มีการกำหนดกรอบเวลาหยุดการค้นหาเครื่องบินโอบิ้ง777 MH370 ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ โดยจะเดินหน้าค้นหาต่อไปจนกว่าจะพบ พร้อมกับอ้างกรณีเครื่องบินแอร์บัสของสายการบินแอร์ฟรานซ์ตกในทะเล เมื่อปี 2552 ก็ใช้เวลาถึงสองปีกว่าจะพบซากเครื่องบิน

นอกจากนี้ อธิบดีกรมการบินพลเรือนมาเลเซีย ยืนยันว่า จนถึงขณะนี้ยังไม่มีการตรวจพบเศษชิ้นส่วนใดๆจากเครื่องบิน แม้มีข่าวจากเวียดนามมาทุกระยะว่ามีการค้นพบวัตถุต้องสงสัย แต่ศูนย์ประสานงานการค้นหาและกู้ภัยของเวียดนามแถลงตามมาว่า เครื่องบิน 6 ลำและเรือ 7 ลำจากเวียดนามได้ใช้เวลาตลอดคืนวานค้นหาวัตถุที่เฮลิคอปเตอร์ตรวจพบ และเชื่อว่าอาจเป็นชิ้นส่วนหน้าต่างหรือประตูฉุกเฉิน แต่จนถึงขณะนี้ก็ไม่พบวัตถุชิ้นนั้น ทั้งนี้ อธิบดีกรมการบินพลเรือนมาเลเซียกล่าวทิ้งท้ายว่า ยังไม่อาจตัดประเด็นความเป็นไปได้ที่ว่าอาจเกิดเหตุการก่อการร้ายและทางการจะตรวจสอบความเป็นไปได้ทุกอย่างที่อาจเกิดขึ้นกับเที่ยวบินนี้

 

มาเลย์ยันคราบน้ำมันไม่ใช่MH370-ตร.สากลพบปลอมเพิ่ม

สำนักข่าวต่าวประเทศ รายงานจากการเปิดเผยของ โฆษกหญิงสำนักงานควบคุมการใช้กฎหมายทางน้ำของมาเลเซีย เปิดเผยว่า ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างคราบน้ำมันที่พบนอกชายฝั่งมาเลเซีย ปรากฏว่าไม่ได้มาจากเครื่องบินของสายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ ที่สูญหายไปแต่อย่างใด โดยระบุว่า จากการวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการทางเคมีพบว่า คราบน้ำมันที่พบไม่ใช่น้ำมันเครื่องบิน แต่เป็นน้ำมันที่ใช้กับเรือ จนถึงขณะนี้ยังไม่พบหลักฐานเกี่ยวกับเครื่องบินที่สูญหาย ทั้งที่ได้มีการระดมกำลังออกค้นหาครั้งใหญ่คราบน้ำมันดังกล่าวอยู่ห่างจากชายฝั่งรัฐกลันตัน ทางตะวันออกของมาเลเซียไปทางเหนือราว 185 กิโลเมตร และอยู่ห่างออกไปทางใต้ของบริเวณที่มีรายงานจากหน่วยควบคุมการจราจรทางอากาศว่าขาดการติดต่อกับเครื่องบินลำดังกล่าว

ขณะที่ทางอินเตอร์โพล หรือตำรวจสากล ที่เข้ามาช่วยสืบสาเหตุการหายไปและข้อผิดปกติของเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้เปิดเผยข้อมูลล่าสุดว่า พบว่ามีการใช้พาสปอร์ตปลอมเพิ่มใหม่มาอีก 1 ราย แต่ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดใดๆเพื่อเสียรูปคดี และยังไม่แน่ชัดว่าเกี่ยวข้องกับการก่อการร้ายหรือไม่ ทั้งนี้ ตำรวจสากลยอมรับว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากที่ผู้โดยสารสามารถนำพาสปอร์ตปลอมที่มีผู้แจ้งความว่าสูญหายและได้รับการบันทึกไว้ในฐานข้อมูลของอินเตอร์โพลเรียบร้อยแล้วไปใช้ในการเดินทางข้ามประเทศได้อีก นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนงำชวนพิศวงอีกเมื่อมีรายงานว่า ผู้โดยสาร 5 คนที่จองตั๋วเรียบร้อยแล้วกลับไม่มาขึ้นเครื่องและกระเป๋าสัมภาระของพวกเขาก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไป

 

ออสเตรเลียเผยพาสปอร์ตหายเกือบ4หมื่นเล่มต่อปี

ขณที่กระทรวงการต่างประเทศออสเตรเลีย ออกมาเปิดเผยข้อมูลว่า ในแต่ละปีมีหนังสือเดินทางออสเตรเลียสูญหาย ประมาณ40,000 เล่ม โดยมีรายงานสูญหายตามเมืองดังๆของโลก รวมทั้ง กทม.ของไทย จากรายงานว่า ผู้โดยสาร 2 คนใช้พาสปอร์ตที่ถูกขโมยมาขึ้นเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์ซึ่งขาดการติดต่อไปยิ่งทำให้กังวลกันเรื่องการก่อการร้าย โดยกระทรวงต่างประเทศของออสเตรเลีย รายงานข้อมูลพาสปอร์ตหายหรือถูกขโมยระหว่างปีการเงิน 2555-2556 จำนวน 37,720 เล่ม ส่วนใหญ่ร้อยละ 75 สูญหายในออสเตรเลีย นอกนั้นสูญหายตามแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิต เช่น กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส,กรุงมาดริด สเปน  กรุงโรม อิตาลี กรุงลอนดอน อังกฤษ นครแอลเอสหรัฐ และ กทม. ของประเทศไทย

ด้าน โฆษกต่างประเทศออสตรเลีย แถลงว่า กองหนังสือเดินทางออสเตรเลีย ได้เร่งจัดการสำหรับพาสปอร์ตที่สูญหายหรือถูกขโมยอย่างเคร่งครัด และมีมาตรการป้องกันกรณีที่อาจถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ขณะที่พาสปอร์ตทั้งหมดที่มีรายงานสูญหายจะถูกยกเลิกและรายงานต่อตำรวจสากลในทันที

 

ตม.ยันโอกาสสวมพาสปอร์ตปลอมบินมาเลย์ทำยาก

พ.ต.อ.เชิงรณ ริมผดี ผู้กำกับการด่านตรวจคนเข้าเมืองท่าอากาศยานกรุงเทพฯ กล่าวถึงกรณีผู้โดยสาร 2 คน บนสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ใช้พาสปอร์ตที่ถูกขโมยมาในการเดินทาง ว่า กรณีดังกล่าว ส่งผลให้มาตรการตรวจคนเข้าเมืองของไทย มีความเข้มงวดมากขึ้นในทุกช่องทาง โดยในส่วนของการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศ สำหรับประเทศไทย มีขั้นตอนในการตรวจสอบยืนยันตัวบุคลหลายขั้นตอน อาทิ การตรวจเล่มหนังสือเดินทาง และวีซ่าในการเข้าออกแต่ละประเทศ กรณีที่มีการปลอมแปลงเอกสารเกิดขึ้น ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่ ที่ผ่านการฝึกฝนมักตรวจพบได้ ขณะที่การเดินทางออกนอกประเทศไทย เมื่อทำการเช็กอินกับเคาน์เตอร์สายการบินก็จะมีการเก็บข้อมูลผู้โดยสารด้วยระบบพาสปอร์ตลีดเดอร์ จากนั้นเข้าสู่ขั้นตอนตรวจค้นเข้าเมืองโดยจะตรวจสอบอีกว่า บุคคลนั้นๆ เข้าออกตามเวลาที่กำหนด หรือมีชื่อในบัญชีบุคคลต้องห้ามหรือไม่ โอกาสในการถูกสวมหนังสือเดินทางจึงมีน้อยมากที่จะเกิดขึ้น

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา คดีอาชญากรรมที่เกิดขึ้นจากการลักลอบเข้าประเทศโดยผิดกฎหมาย มีมากในอดีต แต่ปัจจุบันลดลง โดยส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด


แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook