เปิดประวัติ เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์

เปิดประวัติ เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์

เปิดประวัติ เสธ.อ้าย พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

พลเอก บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ. อ้าย อดีตประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก อดีตตุลาการศาลทหารสูงสุด และประธานองค์การพิทักษ์สยาม เกิดเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2485 ที่จังหวัดลพบุรี เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่ 1 พ.ศ. 2503 ร่วมรุ่นกับ พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ และเป็นนักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ 12 พ.ศ. 2508

ด้านครอบครัวสมรสกับ นางธิดา แก้วประสิทธิ์ มีบุตรด้วยกัน 2 คนคือ ร้อยโทจิตรลดา แก้วประสิทธิ์ และนายบรรดาล แก้วประสิทธิ์ 

ประวัติด้านการเมือง  ในช่วงปี พ.ศ. 2520 พลตรีบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (ยศในขณะนั้น) ได้เป็นหนึ่งใน กบฎ พ.ศ. 2520 ที่มี พลเอก ฉลาด หิรัญศิริ เป็นแกนนำในการล้มรัฐบาลของ นายธานินทร์ กรัยวิเชียร ที่มาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของ พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ อย่างไรก็ตามการก่อรัฐประหารครานั้นไม่ได้ประสบความสำเร็จ (ข้อมูลจากวิกิพีเดีย)

นับจากวันนั้นเป็นเวลาถึง 35 ปี ที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ "เสธ.อ้าย" ห่างหายจากสารบบทางการเมือง แต่ทว่าในวันนี้ชื่อของเสธ.อ้ายได้กลับมามีบทบาททางการเมืองอีกครั้ง ในฐานะประธานองค์การพิทักษ์สยาม ที่ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าจะเป็นแกนนำมวลชนชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ดีเดย์วันที่ 24 พฤศจิกายนนี้ โดยมี "ธง" นำประเทศไทยย้อนเวลาไปสู่การ "แช่แข็ง" นักการเมืองไม่ให้มายุ่งกับการปฏิรูปประเทศเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี

เสธ.อ้ายเล่าถึงการได้เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของคณะปฏิวัติว่า ด้วยความที่ พล.อ.ฉลาด เป็น "ผู้มีพระคุณ" ตั้งแต่ "เสธ.อ้าย" รับราชการครั้งแรกเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการพิเศษที่จังหวัดเชียงราย จึงทำให้ตัดสินใจกระโดดลงไปร่วมเป็น 1 ในแกนนำคณะปฏิวัติ

"ครั้งนั้นท่าน (พล.อ.ฉลาด) เป็น พล.ต.ดูแลกรมยุทธการ ท่านชวนผมไปอยู่กรุงเทพฯ และถือว่ามีบุญคุณ ต่อมาได้ไปร่วมสงครามกับสหรัฐอเมริกาที่เวียดนามด้วยกัน ท่านเป็น ผบ.ของกองกำลังไทยในเวียดนาม ยิ่งทำให้สนิทกันมากขึ้น ในวันแต่งงานของผมท่านเป็นเจ้าภาพแต่งงานให้ นี่ก็คือที่มาที่เราต้องรับใช้ ซึ่งพอเขาชวนให้มาปฏิวัติได้ไหม ผมบอกว่าได้ ก็มาเลย เพราะขณะนั้นเป็นผู้บังคับกองพันอยู่และทำการแทน 2 กองพันในเวลาเดียวกัน คือ กองพลทหารราบที่ 19 กองพันที่ 2 และ 3 เป็นกองกำลังหลักในการปฏิวัติ เลยเหิมเกริม แต่ก็แพ้และต้องมาเป็นกบฏไปในที่สุด" เสธ.อ้ายเล่าถึงสาเหตุในการร่วมวงปฏิวัติ

ย้อนกลับไปก่อนหน้าที่จะร่วมวงกับคณะปฏิวัติกับ พล.อ.ฉลาด "เสธ.อ้าย" จบจากโรงเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 (ตท.1) รุ่นเดียวกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี พล.อ.สำเภา ชูศรี อดีต ผบ.สส. พล.อ.ธวัช เกษอังกูร อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ร.อ.ทวีศักดิ์ โสมาภา อดีตผบ.ทร.

"ผมเป็นประธานเตรียมทหารรุ่น 1 ตั้งแต่ปี 2548 ครั้งแรกโดยวิธีการสรรหา ท่าน (พล.อ.สำเภา) เห็นว่าผมอยู่ที่นี่ มีที่จอดรถ มีอาหาร เพื่อนจะไปมาหาสู่ก็แวะได้ กินข้าวได้ เผื่อใครเดือดร้อน เพราะผมเริ่มมีสตางค์นิดหน่อยจากเงินเดือนสนามม้า ใครทุกข์ร้อนอย่างไรจัดการปัดเป่าให้ พล.อ.สำเภาบอกว่าไปสรรหาหน่อยว่าใครเหมาะ ในที่สุดคณะกรรมการสรรหาก็ชี้มาที่บุญเลิศนี่แหละ สมาชิกโอเค ได้ดำรงตำแหน่งวาระละ 2 ปี พอจบปีที่ 2 ก็โหวตกันใหม่ทั่วทั้งรุ่น เขาให้เป็นต่อ และเป็นมาถึงวันนี้และควบตำแหน่งประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหารอีกตำแหน่งด้วย น้องๆ บอกว่าเอาพี่อ้าย เพราะว่าเป็นรุ่น 1 ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้มีความวิเศษอะไร"

"เสธ.อ้าย" ยังยอมรับแบบไม่ไว้ลายประธาน ตท.1 ว่า "ผมเรียนไม่ค่อยเก่งเท่าไร แต่ส่วนมากที่ได้ตำแหน่งเพราะว่ามีคนมาขอให้เป็น เขาอาจจะเห็นว่าเราเป็นคนพูดจริง ทำจริง และพูดง่าย ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม บอกอยู่ อยู่ บอกออก ออก บอกไป ไป บางคนบอกโง่ บางคนบอกว่าพูดง่าย แต่สิ่งสำคัญที่ผมยึดถือมาตลอดคือ ต้องรู้ ผิดถูก จะต้องรู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี ต้องรู้จัก"

นอกจากนั้น พล.อ.บุญเลิศยังดำรงตำแหน่งเลขาธิการกิตติมศักดิ์และประธานอำนวยการแข่งม้าราชตฤณมัยสมาคม หรือสนามม้านางเลิ้ง จากการชักชวนของ พล.ต.สนั่น "เพราะเคยติดคุกมาด้วยกันสมัยเป็นกบฏ 8 เดือน กับอีก 8 วัน และตอนนั้นไม่มีที่ไป ตอนที่รับราชการอยู่ก็มาเล่นกอล์ฟบ้าง พอเกษียณอายุราชการแล้วท่านบอกว่าให้มาอยู่ที่นี่ จนกระทั่งมาเป็นกรรมการอำนวยการถึงปัจจุบัน"

ส่วนอีกผลงานที่ถือว่าเข้าตา คือยุคที่ "เสธ.อ้าย" กุมบังเหียนสมาคมมวยสากลสมัครเล่นฯ ด้วยการปลุกปั้นให้ แก้ว พงษ์ประยูร ได้เป็นนักชกเหรียญเงินโอลิมปิกคนล่าสุด "ลอนดอนเกมส์ 2012" ที่ประเทศอังกฤษ หลังจากแพ้นักชกจากประเทศจีนแบบค้านสายตาเป็นเหตุให้เขาต้องประกาศลาออกจากการเป็นนายกสมาคมมวยสากลฯในที่สุด

ส่วนการเคลื่อนไหวทางการเมืองในการนัดชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลวันที่ 24 พฤศจิกายน น่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตครั้งสำคัญของ "เสธ.อ้าย" ที่อาจจะเป็นการบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อีกครั้ง

"ตลอดเวลาที่ผ่านมาเพิ่งจะมาปลุกคนให้ออกมาชุมนุมก็ครั้งนี้แหละ ที่ตัดสินใจออกมา เพราะว่ามันมีที่มาที่ไป เริ่มจากเมื่อเดือนพฤษภาคมมีองค์กรต่างๆ เช่น สยามไทย และสยามสามัคคี ของหมอตุลย์ (นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์) และอีกหลายคนมาเชิญขอให้มาเป็นประธานองค์การพิทักษ์สยามได้ไหม ผมถามกลับไปว่า ผมมีบารมีมากพอไหม ถามในที่ประชุม ผมมีบารมีที่จะเป็นหัวหน้าหรือไม่ มีประโยชน์ไหม มีขีดความสามารถไหม ที่จะมาเป็นผู้นำ เขาตอบมาว่าผมมีทั้ง 3 อย่าง ผมจึงบอกว่า เอา"

หลังจาก "โยนหินถามทาง" จัดงานทำบุญประเทศทั่วประเทศ (กรุงเทพฯและ 60 จังหวัด) ปรากฏว่ามีผู้ให้การตอบรับประมาณ 5-6 พันคน จากนั้นจึงคิดต่อว่าจะทำอย่างไรต่อไปและมาได้บทสรุปด้วยเหตุผล 3 ข้อ ในการขับไล่รัฐบาล คือ 1.รัฐบาลมีการปล่อยให้มีการจาบจ้วง ล่วงละเมิดพระเจ้าแผ่นดิน และดูเหมือนว่าจะยุยงด้วยซ้ำ 2.เป็นรัฐบาลหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะว่าจะเอาใครออก ใครเข้า ต้องไปดูไบ หรือว่าไปฮ่องกง ไม่มีประสิทธิภาพในการทำงาน และ 3.มีการทุจริตคอร์รัปชั่น

"ผมไม่เคยเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยจะดีตรงไหนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เช่น ถ้าคุณเป็นคนดีของจังหวัด แต่ไม่มีเงิน ลงสมัคร ส.ส.ก็ไม่ได้รับเลือก แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยอย่างไร ลองอธิบายหน่อย พอรูปแบบเป็นอย่างนี้ก็คิดฉ้อฉลเอาเงินงบประมาณไปใช้กันอย่างไม่โปร่งใส ออกนโยบายเพื่อประโยชน์เพื่อคนชอบ แต่ว่าบ้านเมืองเสียหายเท่าไรไม่รู้ ไม่สน ขอให้ตัวเองชนะ" เสธ.อ้ายเผยความคิดส่วนลึกทิ้งท้ายที่จะเลือกอยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยโดยไม่สะทกสะท้านกับกระแสอันเชี่ยวกรากในโลกโลกาภิวัตน์

(ข้อมูลจากมติชนออนไลน์)

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook