BIGBANG ความสำเร็จบนหยาดเหงื่อ และคราบน้ำตา
คำที่ถูกค้นบ่อย
    Sanook//s.isanook.com/sr/0/images/logo-new-sanook.png60060
    //s.isanook.com/jo/0/ud/11/57641/17376_002.jpgBIGBANG ความสำเร็จบนหยาดเหงื่อ และคราบน้ำตา

    BIGBANG ความสำเร็จบนหยาดเหงื่อ และคราบน้ำตา

    2009-08-08T00:00:00+07:00
    แชร์เรื่องนี้
    5 หนุ่มสมาชิก BIGBANG ศิลปินไอดอลยอดนิยมที่สุดของเกาหลีในยามนี้ พ็อกเกตบุ๊กที่มีชื่อว่า Shout To The World ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวชีวิตการทำงานของพวกเขาแต่ละคน จนกระทั่งประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ หนังสือเล่มดังกล่าวกลายเป็นหนังสือขายดีไปชั่วพริบตา เรื่องราวที่เกิดขึ้นในหนังสือ พวกเขาตั้งใจไว้ว่าจะเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังตามหาความฝัน เอาชนะความยากลำบาก เพื่อพบกับวันแห่งความสำเร็จที่เฝ้ารอคอย



    5 หนุ่มสมาชิก BIGBANG ได้แสดงให้เห็นว่า "ไม่มีสิ่งใดจะสัมฤทธิ์ผล หากขาดความพยายาม" พวกเขาเคาะประตูบริษัท YG Entertainment และต่อสู้ต่อการแข่งขันมากมายจนก้าวสู่ศิลปินกลุ่ม BIGBANG เมื่อคุณมองกลุ่มศิลปินวง BIGBANG พวกเขาเป็นมากกว่าเพื่อน ซึ่งคุณพร้อมจะปรบมือ มากกว่าจะเป็นพวกเซเลบริตี้ที่ดูหรูหราไปวันๆ แม้ว่าการปรากฏตัวของพวกเขาจะเต็มไปด้วยความแตกต่าง แต่ก็สามารถสร้างความดึงดูดได้อย่างล้นหลาม

    พวกเขาเริ่มเดบิวต์ในปี 2006 พวกเขาค่อนข้างจะขี้อาย ตามปกติแล้วไอดอลกรุ๊ปส่วนใหญ่จะมีรูปร่างที่สูง และมีบุคลิกภาพที่ไม่เหมือนใคร แต่สมาชิก BIGBANG กลับดูเป็นเหมือนคนธรรมดาในสายตาของใครหลายๆ คน ความสูงของพวกเขาถ้าไม่นับรวม TOP แล้ว พวกเขาสูงเพียงแค่ 170 เซนติเมตรเท่านั้น พวกเขาได้ทลายกำแพงความนิยมในรูปแบบของไอดอลกรุ๊ปไปจนหมดสิ้น และสามารถประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม และหนึ่งในปัจจัยความสำเร็จเริ่มจากความคุ้นเคยในสายตาของสาธารณชน 5 หนุ่ม BIGBANG แสดงให้เห็นถึงความพยายามที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งทำให้พวกเขามีวันนี้

    "ไม่มีใครจะได้รับการคัดเลือกหากใช้ชีวิตอยู่ข้างถนน แต่เราต้องพยายามอย่างหนักเพื่อจะพาตัวเองแทรกเข้ามายังบริษัท หรือหาช่องทางเปิดโอกาสให้ตัวเอง" ความฝันเป็นจริงตั้งแต่อายุน้อยๆ พวกเขาต่างหลงใหลในเสียงดนตรี พวกเขาไม่กลัวต่อคำท้าทาย และไม่กลัวต่อการแข่งขันอันดุเดือด แถมยังไม่เคยเกียจคร้านในการฝึกฝน พวกเขาต้องอยู่ในโรงเรียน และในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นศิลปินฝึกหัด พวกเขาสร้างสรรค์งานเพลงมาจากตัวตนของตัวเอง นอกจากนี้ยังต้องเนรมิตท่าเต้น รวมไปถึงการแร็พขึ้นมาเองด้วย พวกเขาชี้ให้เห็นว่า พวกเขาคือกลุ่มศิลปินที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเสมอมา



    จี-ดราก้อน & แทยัง : พวกเขาเป็นศิลปินฝึกหัดนานถึง 6 ปี สิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเขาหลงใหลและยึดติดกับบางสิ่ง
    จี-ดราก้อน และ แทยัง ใช้เวลาในการเป็นศิลปินฝึกหัด 6 ปี นับตั้งแต่พวกเขาศึกษาชั้นมัธยมต้น เหล่าศิลปินฝึกหัดหลายต่อหลายคนใช้ระยะเวลาในการเตรียมตัวนานและโดดเดี่ยวมาก แต่พวกเขาไม่เคยสนใจในรายละเอียดของความยากลำบาก จี - ดราก้อน เดบิวต์ในฐานะของ Little Rula สมัยเด็กๆ เขาไม่เคยหวังเลยว่าจะก้าวมาสู่การเป็นศิลปินฝึกหัด เขาไม่พร้อมที่จะเริ่มต้นเป็นใครสักคนที่อยากจะเป็น แต่หลังจาก 6 ปีให้หลัง ไฟจากก้นบึ้งในหัวใจลุกโชนขึ้น การที่จะเริ่มต้นเป็นหนึ่งในสมาชิกวง BIGBANG เขาได้เขียนเพลงและยังเป็นหนึ่งในผู้นำแฟชั่น



    แทยัง มีเป้าหมายชัดเจนอยู่ในหัว และชอบการท้าทายตั้งแต่เด็กๆ เขาได้รับการคัดเลือกในการแสดงในเอ็มวีของศิลปินดูโอแนวฮิพฮอพของค่าย YG Family หลังจากมีคำแนะนำจำนวนหนึ่งเขาตัดสินใจถาม ยังฮยอนซอก ( ประธานบริษัท YG Family ) ให้เขามาเป็นศิลปินฝึกหัดไหม? และ ยังฮยอนซอก ตอบว่า "แน่นอน เราจะเรียกตัวคุณกลับมาในไม่ช้า" หลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือนเขาเดินทางกลับไปยังบริษัทอีกครั้ง และถามกับ ยังฮยอนซอก ว่า "ทำไมไม่โทร.หาผมสักที ผมอยากเป็นศิลปินฝึกหัด ผมสามารถเรียนรู้ทุกอย่างได้ หากคุณให้ผมผ่านการคัดเลือก ไม่มีสิ่งใดที่เราไม่สามารถจะเอาชนะได้"

    จี-ดราก้อน และ แทยัง เซ็ตจุดหมายของชีวิตไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ และเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองมี เมื่อมิตรภาพของพวกเขาเกิดขึ้นในชั่วโมงวิชาภาษาอังกฤษ พวกเขาเรียนรู้ที่จะแต่งท่อนแร็พและเต้นรำ เมื่อพวกเขาออกกำลังกายที่พื้นโรงเรียน พวกเขาเรียนรู้ที่จะเต้นรำท่วงท่าต่างๆ โดยปราศจากความเหน็ดเหนื่อย และเมื่อเพื่อนของพวกเขามีความสุขกับการสอบไล่ได้ พวกเขากลับไปทำแบบฝึกหัดและลองทำมันอีกครั้ง และเมื่อเพื่อนๆ กำลังนอนหลับพักผ่อนในช่วงพักเที่ยง ซึ่งพวกเขาก็พักเช่นกันแต่ก็มิวายฝึกซ้อมให้หนักขึ้น และเมื่อเพื่อนรู้สึกเหนื่อยใจกับคำถากถางของแม่ในเรื่องการกิน แต่พวกเขากลับส่งยิ้มให้แม่ เพราะว่ามีโอกาสเจอครอบครัวเพียงระยะสั้นๆ ในแต่ละเดือนเท่านั้น และต้องน้ำตาไหลพรากเมื่อต้องเดินทางกลับไปฝึกซ้อม



    ซึงรี : เรียนรู้ความขมของชีวิต ตั้งแต่อายุ 15 จากความผิดหวัง
    เรื่องราวในชีวิตของ ซึงรี เหมือนกับละครมากๆ สิ่งที่เลวร้ายที่สุดของเขาก็คือ การเต้น แต่เขามั่นใจว่าเขาจะทำมันได้อย่างไม่มีปัญหา เขาได้รับโอกาสที่ดีหลังจากที่ แทยัง ฉายเดี่ยว ตอนนี้เขาอายุเพียง 18 ปี การแสดงของเขาดูเด็กที่สุดในกลุ่ม เขามีความล้มเหลวและโอกาสมากมายผ่านเข้ามาในมือ ซึงรี หลงเสน่ห์การเต้นตอนที่เรียนอยู่เกรด 7 ถึงแม้ว่าการเต้นจะไม่ใช่ชีวิตของเขา แต่เขาเลือกที่จะเข้ามาอยู่ในทีมเต้น แต่เมื่อเริ่มการแข่งขันทีมของเขาถูกยกเลิก แต่ละคนต่างมีทางเป็นของตัวเอง เขาพยายามจะชักชวนสมาชิกแต่ละคนกลับมารวมวงกันอีกครั้ง จากนั้นทีมของเขาก็ออกแบบท่าเต้นเสียใหม่ และพวกเขาก็สามารถคว้าชัยชนะเป็นผลสำเร็จ

    จากนั้น ซึงรี เข้าร่วมการออดิชั่นจากทาง Mnet ในตอนสนามรบแห่งวง Shinhwa เมื่อปี 2005 แต่เขาถูกตัดออกในการแข่งขันช่วงสุดท้าย จากนั้น ซึงรี ได้เดินทางมายัง SM Entertainment และที่นี่คือโรงงานแห่งความฝันของเขา แต่สุดท้ายเขาก็ต้องพบความผิดหวังทุกเวลา อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ล้มเลิกเขาไม่ได้รับการยกเลิกจาก YG Entertainment กระนั้นเลยเขาก็ต้องพบกับความผิดหวังอีกครั้งในการคัดเลือกรอบสุดท้าย "ผมไม่ได้มาตรฐานอะไรเลยในวง ผมมีเวลาน้อยมากในการฝึก และเริ่มต้นเป็นศิลปินฝึกหัด ผมเรียน ผมเต้นรำ และร้องเพลง มันยากมาก" เขาถาม ยังฮยอนซอก จากการคัดเลือกครั้งที่ 2 ซึ่งเขาตอบว่า โอกาสที่เขามอบให้ ซึงรี ในการเป็นหนึ่งในสมาชิกวง BIGBANG เป็นอะไรที่น้อยมาก แต่เขาไม่ล้มเลิกความตั้งใจ พร้อมทั้งเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า เขาต้องทำมันให้ได้ จากนั้นเขาก็ได้ก้าวมาเป็นสมาชิกของวงนี้



    แดซอง : โอกาสมากมายที่ได้รับเป็นเรื่องที่ดี
    รอยยิ้มแห่งนางฟ้า แดซอง มักจะมีทัศนคติด้านบวกเสมอ เขามักจะปะทะคารมกับพ่อบ่อยๆ จากนั้นก็เดินออกจากบ้านเพื่อมาเป็นศิลปินฝึกหัดของ YG แต่เขายอมรับทุกอย่างในเชิงบวก "ถ้าปราศจากปากเสียงในวันนั้น ผมคงไม่มีวันนี้ ถ้าสมมติว่าพ่อให้การสนับสนุนผมตั้งแต่แรก ผมอาจจะไม่สนใจดนตรีก็เป็นได้" แดซอง เริ่มต้นมีความฝันเป็นของตัวเองในการเป็นนักร้องตอนที่เรียนอยู่เกรด 8 เมื่อครูพูดว่า "คุณสามารถเป็นนักร้องได้"

    เสียงของเขายังไม่ได้รับการฝึกฝนในครั้งแรกที่เข้าออดิชั่น แต่รอยยิ้มของเขากระตุ้นความสนใจของ ยังฮยอนซอก และตัว แดซอง ควบคุมจิตใจของตัวเองให้มองสิ่งต่างๆ ในแง่บวก และยังเชื่อว่าหากเราเชื่อมั่น เราสามารถทำมันได้ และเขาก็ทำได้จริงๆ "ถ้าหากผมไม่มีนิสัยที่คิดบวกแล้ว ผมอาจจะพับเก็บความฝันของตัวเองไปแล้ว เพราะว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝัน แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำได้ ผมจะต้องทำมัน ไม่ว่ามันจะยาวนานเท่าไหร่ แต่เมื่อความหวังนั้นมันโอบกอดคุณไว้ และแล้วปาฏิหาริย์ก็จะเกิดขึ้น ทำให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป"



    ท็อป : ความเสื่อมถอยนำพามาซึ่งชื่อเสียง
    ท็อป หลงรักการร้องเพลงตั้งแต่เรียนอยู่เกรด 5 เมื่อเขาเข้าเรียนชั้นมัธยมปลาย เขาเป็นเด็กดื้อคนหนึ่งเลยทีเดียว จนกระทั่งเมื่อเขาเข้าเรียนเกรด 9 เขาต้องสูญเสียเพื่อนสนิทถึง 2 คนไปจากอุบัติเหตุ จากนั้นทำให้เขาตระหนักถึงความสำคัญของชีวิต และกลับมาใช้ชีวิตปกติเหมือนคนอื่นๆ เขาต้องการเป็นแร็พเปอร์ ดังนั้นเขาเริ่มต้นแสดงความสามารถบนเวทีต่างๆ และจากนั้นเข้าออดิชั่นกับทาง YG Entertainment อย่างไรก็ตามเขาพบว่าการเต้นรำเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ผู้ออดิชั่นต้องทำได้ แต่ความจริงแล้วเขาเกลียดการเต้นอย่างมาก แต่เขามองให้เป็นเรื่องตลก และหากไม่ทำครั้งนี้โอกาสที่มีก็จะหายไป

    "หากผมถอดใจในครั้งนั้น ผมคงไม่สามารถสานฝันของตัวเองให้เป็นจริงได้ ผมคิดเอาเองว่าหากผมได้มีโอกาสเป็นแร็พเปอร์จริงๆ เราต้องมีความสามารถไร้ขีดจำกัด เหมือนกับดนตรีที่ทั้ง บัลลาด บอสซาโนว่า และเต้นรำ" ท็อป เป็นคนหนึ่งที่เชื่อมั่นในความสำเร็จ เขาคิดถึงสิ่งต่างๆ มากมาย เมื่อเพื่อนของเขาเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เขาเข้าเรียนในโรงเรียนดนตรี และเมื่อเพื่อนมีความสุขกับชีวิตมหาวิทยาลัย เขาต้องฝึกฝนตัวเองอย่างหนักในห้องฝึกซ้อม โลกของเขาเต็มไปด้วยความฝัน เขาแทบจะไม่มีเวลาในการดำเนินชีวิตปกติเลย "โอกาสที่มีมันจะล้มเหลวทันที หากคุณสูญเสียมันไป แต่ถ้าคุณได้คว้ามันเอาไว้ คุณจะเป็นคนที่โชคดีมาก เราไม่รู้หรอกว่าสิ่งใดที่จะเพียงพอกับการดำเนินชีวิต เราเองบางครั้งก็ต้องพบกับความเจ็บปวด เพื่อทำให้เราเติบโตขึ้นอย่างสมบูรณ์"

    และหนุ่ม ซึงรี กล่าวเสริมว่า "เมื่อผมรู้สึกกดดัน ผู้คนมากมายจะเห็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ของผม ผมชอบอ่านหนังสือ เพราะมันจะช่วยในการแสดงเดี่ยวของผม และผมยังมีโครงการที่จะเรียนต่อมหาวิทยาลัยปีหน้าด้วย" ส่วน จี-ดราก้อน ขอพูดปิดท้ายอย่างกินใจว่า "ถ้าคุณไม่เคยทำอะไร ก็อย่ากลัวว่าจะต้องพบกับความล้มเหลวใดๆ เลย"


    ขอบคุณเนื้อหาข่าวจาก

    Asian Plus Magazine Vol.45 - July 2009