คุยกับ Jeremy Zucker ถึง “CRUSHER” ภาคต่อของ “love is not dying” เวอร์ชั่นตัวร้าย | Sanook Music

คุยกับ Jeremy Zucker ถึง “CRUSHER” ภาคต่อของ “love is not dying” เวอร์ชั่นตัวร้าย

คุยกับ Jeremy Zucker ถึง “CRUSHER” ภาคต่อของ “love is not dying” เวอร์ชั่นตัวร้าย
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

การกลับมาของ Jeremy Zucker ศิลปินที่ปล่อยเพลงเศร้าเหงาเคล้าน้ำตาแต่สวยงามและลึกซึ้งกินใจ จนถูกใจแฟนๆ รุ่นใหม่ทั่วโลกรวมถึงแฟนๆ ชาวไทย ที่อัลบั้มที่ 2 อย่าง CRUSHER เปรียบเสมือนภาคต่อของอัลบั้มที่แล้วที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงอย่าง love is not dying แต่แทนที่จะบอกว่าเป็นเรื่องราวของความสัมพันธ์ในชีวิตรักของ Jeremy ที่น่าจะ Happy Ending กลับกลายเป็นเรื่องราวของความรักในอดีตที่สุดแสนจะขมขื่น และเต็มไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดที่ราวกับ Jeremy สวมบทตัวร้ายในเรื่องของตัวเอง มากกว่าจะรับบทเป็นพระรองที่แสนดีที่เป็นผู้ถูกกระทำเหมือนอัลบั้มก่อนหน้า

CRUSHER ชื่ออัลบั้มนี้ Jeremy บอกว่าเป็น “บางสิ่งหรือบางคนอาจเคยโดนทำร้ายความรู้สึกจนหัวใจแหลกสลาย อย่างเช่นในกรณีของผม ผมก็เคยโดนบางคนทำร้าย และขยี้หัวใจผมมาแล้วเช่นกัน”

และเพื่อสอดส่ายสายตาหันไปเห็นชื่อเพลงในอัลบั้มที่แสบๆ คันๆ อย่าง “Don’t come over, i’m an a**hole” และ No one hates you (like i do)” รวมไปถึง “Sociopath” ที่ได้ศิลปินแนวอินดี้ที่เป็นที่รักของแฟนเพลงชาวไทยอีกคนอย่าง keshi มาร่วมแต่งด้วย ยิ่งทำให้เห็นภาพอารมณ์ของอัลบั้มนี้ได้มากขึ้น ว่า Jeremy Zucker ในเวอร์ชั่นนี้ ไม่ใช่ Jeremy Zucker คนที่เคยโทษตัวเองและแบกรับความเจ็บปวดเอาไว้อยู่คนเดียวอีกต่อไปอย่างแน่นอน

Sanook Music มีโอกาสได้สัมภาษณ์ Jeremy Zucker ร่วมกับสื่อมวลชนฝั่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถึงที่มาของอัลบั้ม CRUSHER รวมถึงตัวตนของเขาที่เปลี่ยนไประหว่างทำอัลบั้มนี้ให้แฟนๆ ได้เข้าใจถึงที่มาของเพลงต่างๆ ในอัลบั้มนี้มากยิ่งขึ้น รับรองว่าน่าสนใจ และแฟนๆ จะหลงรักในเสียงเพลงและตัวจนของเขามากยิ่งขึ้นแน่นอน


“Cry with you” เป็นเพลงฟังสบายแต่ก็เศร้าในเวลาเดียวกัน อยากให้ช่วยอธิบายถึงที่มาที่ไปของเพลงนี้

Jeremy Zucker: เพลงนี้ค่อนข้างจะพูดถึงเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นจริงอย่างชัดเจนเพลงหนึ่งเท่าที่คนเคยทำมาเหมือนกันครับ ตอนนั้นผมกับเพื่อนๆ นั่งแต่งเพลงนี้กันอยู่ที่ฝั่ง East Coast เพื่อนของผมคนหนึ่งชื่อ Lauren อยู่ที่ฝั่ง East Coast ช่วงนั้นชีวิตของเธอเจอเรื่องลำบากมากๆ เป็นเรื่องที่ยาวนานมากๆ เธอโทรมาระบายทุกข์กับผมแบบนานๆ ครั้ง ผมคอยฟังเธอ และพยายามให้เธอผ่อนคลายอยู่เรื่อยๆ แต่ด้วยความที่เราอยู่ไกลกัน และการคอยปลอบใจกันผ่านโทรศัพท์ก็เป็นเรื่องที่ค่อนข้างยาก จนถึงจุดหนึ่งที่ผมรู้สึกว่า “ผมไม่รู้ว่าต้องทำยังไงดี” จนมาถึงวันหนึ่งที่ผมบอกเธอว่า “แม้ว่าผมจะอยู่กับเธอจริงๆ ตอนนี้ไม่ได้ แต่ผมร้องไห้ไปเธอได้นะ” ตอนนั้นเธอได้ยินแล้วก็บอกว่า “ประโยคเมื่อกี้เอามาแต่งเป็นเพลงได้เลยนะ” ผมก็เลยบอกเธอไปว่า “งั้นก็ได้” (ยิ้ม)

เพลง “Cry with you” แม้ว่าจะเป็นเพลงที่อารมณ์ไปทางเศร้าๆ หน่อย แต่ก็ยังเป็นสไตล์การแต่งเพลงแบบที่ผมแต่งอยู่เป็นประจำ เพลงนี้เหมือนเป็นเพลงที่เอา 3 เพลงที่ผมแต่งมาก่อนหน้านี้มารวมกัน หม่นๆ เศร้าๆ แต่ก็มีพลัง สดใส และเพิ่มความมั่นใจให้ผมเองมากขึ้น ทั้งในแค่ของการเป็นนักร้อง นักแต่งเพลง และโปรดิวเซอร์ครับ

CRUSHER เป็นอัลบั้มที่คุณบอกว่าคุณนำเสนอความเป็นตัวเองออกมามากที่สุด ช่วยอธิบายเพิ่มเติมหน่อยว่าคุณแสดงความเป็นตัวของตัวเองผ่านอัลบั้มนี้ออกมาอย่างเต็มที่อย่างไรบ้าง

Jeremy Zucker: ผมคิดว่าชีวิตคนเรามันไม่มีทางลัด เราเติบโตไปพร้อมๆ กับช่วงเวลาที่ดีและร้ายมาตลอด ผมเริ่มเข้าใจว่าผมจะไม่ได้เป็นผมอย่างทุกวันนี้ถ้าผมไม่เคยผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบากมาก่อน ผมเลยพยายามโอบกอดรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเต็มใจ โดยปราศจากความกลัวหรืออายที่ยอมรับมัน ในอัลบั้มที่แล้ว love is not dying มันเต็มไปด้วยเพลงที่สื่อถึงความเห็นอกเห็นใจ ผมรู้สึกอย่างนั้นตลอดเวลาอยู่ประมาณ 4-5 เดือน กว่าจะเริ่มแต่งเพลงใหม่ได้ เป็นเพราะมีโควิด-19 ด้วย ผมรู้สึกเหมือนกำลังหลงทางอยู่แปบนึงหลังอัลบั้มนั้นออกมา แต่ในที่สุดผมก็รวบรวมสติกลับมาได้ จนเริ่มเข้าใจตัวเอง และเริ่มรู้ตัวเองว่ากำลังทำอะไร อยากจะสื่อสารอะไรให้คนอื่นได้รับรู้อีกครั้ง

ในความสัมพันธ์ของคนเราที่ผ่านความไม่สมหวัง หัวใจสลาย มันใช้เวลาจนกว่าเราจะก้ามข้ามอารมณ์ในช่วงนั้นมาได้ มันอาจทำให้คุณหลุดจากความเป็นตัวของตัวเองในช่วงห้วงอารมณ์กันรุนแรงนั้นไปได้ง่ายๆ ผมเลยคิดว่า CRUSHER เป็นอัลบั้มที่สื่อถึงตัวผมที่กลับมาค้นพบตัวเองอีกครั้งครับ

keyjeremyzucker

แต่งเพลงในช่วงโควิด-19 ที่ค่อนข้างจะหาแรงบันดาลใจได้ยากแบบนี้ได้อย่างไร

Jeremy Zucker: สำหรับผมใช้เวลาราว 4-5 เดือนหลังจากเจอวิกฤตโควิด-19 ในการกลับมาแต่งเพลงใหม่ๆ ได้ต่อเหมือนกันครับ เพราะผมเองก็ไม่อยากจะแต่งเพลงที่ส่งไปให้เพื่อนและค่ายเพลงฟังแล้วพวกเขาบอกว่า “นี่มันเหมือนเพลงที่มาจากอัลบั้ม love is not dying เลยนะ” เพราะผมไม่อยากทำเพลงที่เหมือนอัลบั้มเก่าๆ ออกมาซ้ำๆ ด้วยเหตุนี้ผมเลยได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น เรียนรู้ที่จะทำความรู้จักกับตัวเองให้มากขึ้น ให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์กับคนอื่นๆ มากขึ้น เพราะเราไม่สามารถออกไปเจอพวกเขาตัวเป็นๆ ได้ ผมไม่ได้ออกไปพบเจอกับประสบการณ์อะไรใหม่ๆ มากนัก แต่นั่นอาจเป็นเหตุผมที่ทำให้ผมเติบโตมากขึ้น เพราะผมได้ใช้เวลาเพาะบ่มและวิเคราะห์สิ่งต่างๆ รอบตัวอย่างลึกซึ้งมากขึ้น มากกว่าที่จะแต่งเพลงจากเรื่องที่เกิดขึ้นในชีวิตทันทีทันใด ในช่วงที่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นยังคงสดใหม่อยู่

CRUSHER ได้อิทธิพลมาจากการฟังเพลงของศิลปิน หรือเพลงไหนเป็นพิเศษบ้างไหม

Jeremy Zucker: ก่อนหน้านี้ผมลองเปิดดูเพลงที่ผมฟังใน Spotify มาบ้างเหมือนกันครับ ผมฟังเพลงเยอะมากๆ แนวที่ผมฟังบ่อยๆ ช่วงนี้น่าจะเป็นอิเล็กทรอนิกส์ เฮาส์ เวิลด์มิวสิค โพสต์พังค์ อัลเทอเนทีฟร็อคช่วงปี 2000 ผมค่อนข้างจะเปิดใจลองฟังเพลงแนวใหม่ๆ เพื่อที่จะได้ซึมซับแนวเพลงต่างๆ มากขึ้น มีแนวเพลงแปลกๆ ที่ผมลองฟังแล้วผมพยายามหยิบจับผสมนู่นนิดนี่หน่อยในเพลงของผม เพื่อให้ฟังสนุกขึ้น ทั้งจังหวะเพลง เสียงกลอง และในส่วนต่างๆ ของเพลง รวมถึงเนื้อเพลงที่ผมเน้นเป็นจุดสำคัญ ทั้งความหมายและเสียงทีฟังออกมาแล้วดูสวยงาม ประมาณนี้ครับ

จากชื่อเพลงในอัลบั้ม CRUSHER เหมือนว่าเป็นอัลบั้มที่แต่งเพื่อ “แก้แค้น” คนที่พูดถึงในอัลบั้ม love is not dying หรือเปล่า?

Jeremy Zucker: (ยิ้ม ปรบมือ) เยี่ยมเลย ผมบอกใบ้เกี่ยวกับเพลงในอัลบั้มนี้มาเรื่อยๆ ผมแต่งเพลงอัลบั้มนี้โดยใช้ประสบการณ์เดิมที่เกิดขึ้นกับผมตอนที่แต่งเพลงอัลบั้ม love is not dying แต่เป็นช่วงเวลาถัดมาที่ผมมีเวลาได้นั่งลงและคิดวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้ง ใน love is not dying ผมค่อนข้างมีความรู้สึกต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในทางที่เข้าอกเข้าใจมากๆ มากจนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป คอยถามตัวเองว่า ทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นกับตัวเอง ทำไมความรู้สึกที่เกิดขึ้นถึงมีอิทธิพลต่อชีวิตของผมในทางที่แย่ๆ ได้มากขนาดนี้

ใน CRUSHER ผมได้มีเวลาทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอีกครั้ง แล้วมันทำให้ผมค้นพบว่า ตัวผมเองไม่ได้รับการปฏิบัติที่ดีเท่าที่ควร ถูกละเลย 2-3 เพลงแรกที่ผมแต่งมันค่อนข้าง… ผมไม่อยากจะใช้คำว่าใจร้าย แต่การแต่งเพลงก็เหมือนกับการสื่ออารมณ์ผ่านดนตรี… มันก็ไม่เชิงว่าจะเป็นอัลบั้มแห่งการ “แก้แค้น” อะไรขนาดนั้น แต่เป็นเหมือนการแสดงอารมณ์โกรธออกมาผ่านเพลงมากกว่า ผมไม่ได้ตั้งใจจะแต่งเพลงเพื่อทำร้ายจิตใจใคร แต่เป็นเพลงที่สื่อถึงอารมณ์โกรธที่ผมมีต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นมากกว่า ผมได้ระบายอารมณ์โกรธส่วนตัวของผมผ่านเพลงกว่าครึ่งอัลบั้ม แต่ในส่วนที่เหลืออารมณ์โกรธของผมก็เริ่มจางลง และทุกอย่างมันก็เริ่มผ่อนคลาย ฟังง่ายมากขึ้นครับ

นอกจากทำเพลงด้วยตัวเองทุกอย่างแล้ว ใน CRUSHER ยังได้ keshi มาร่วมทำเพลงด้วย เป็นอย่างไรบ้าง แล้วคุณทั้งสองคนผสมผสานแนวดนตรีของแต่ละคนมารวมด้วยกันได้อย่างไร

Jeremy Zucker: ทำเพลงกับ keshi สนุกมากครับ ปกติเวลาผมทำเพลงกับใครที่ไม่เคยทำงานด้วยมาก่อน ผมจะพยายามทำเพลงให้เสร็จทั้งเพลงแล้วส่งไปให้อีกคนฟัง เพราะผมไม่แน่ใจว่าเราควรทำงานด้วยกันยังไง จะเอาในส่วนของอีกคนมาใส่ในเพลงของผมเองได้ยังไงในแบบที่ผมรู้สึกว่ามันโอเคกับเพลงนี้ ตอนนั้นผมเลยแต่งเพลงสำหรับทั้งอัลบั้มเสร็จหมดแล้ว แล้วค่อยตัดสินใจว่า โอเค น่าจะมีศิลปินรับเชิญมาทำเพลงด้วยสักเพลง

ผมนั่งฟังเพลงในอัลบั้มนี้ทั้งหมดอีกครั้ง แล้วรู้สึกว่า เพลงที่ควรมีศิลปินมาร่วมทำด้วยมีแค่เพลง “Sociopath” แล้วผมก็นึกถึง keshi ที่ผมคุยด้วยมาเรื่อยๆ เป็นพักๆ อยู่แล้ว เพราะผมเองก็เป็นแฟนเพลงของเขาเหมือนกัน ผมเลยลองถามเขาดูว่าทำเพลงด้วยกันสักเพลงไหม เขาก็ตอบตกลง เขาบอกว่าเขาอยู่ LA ประมาณอาทิตย์นึง ผมก็บอกเขาว่าผมต้องปิดอัลบั้มนี้ให้ได้ภายในอาทิตย์นึงเหมือนกัน ผมเลยส่งเพลงไปให้ เขาก็ส่งเสียงร้อง และเสียงกลองกลับมาให้ ตอนนั้นเพลงนี้ผมรู้สึกว่ามันเสร็จไปแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง แต่ผมไม่รู้จะจบเพลงนี้ยังไง จนกระทั่งได้ keshi มาช่วย แล้วมันลงตัวกับเพลงได้พอดี เราส่งเพลงกันไปกันมาอยู่สักพัก จนกระทั่งผมทำเพลงจนเสร็จ keshi ก็ได้มา LA และเราได้ออกไปเจอกัน เป็นช่วงเวลาที่ดีมากครับ

ผมคิดว่าหลายคนอาจจะประหลาดใจกับเพลงนี้ มันเป็นเพลงที่นุ่มนวล เศร้าเหงา แต่ก็เข้มข้น เริ่มเพลงด้วยเสียงอะคูสติก เสียงฟอลเซตโต ฟังง่าย แต่ก็จะมีท่อนที่จำได้ง่าย และในท้ายที่สุดก็กลายเป็นเพลงที่สดใส และก็หม่นหมองในคราวเดียว เป็นเพลงที่มีหลายเลเยอร์มากๆ แล้วเสียงกลองที่ keshi ทำมาให้คือเท่มากๆ ครับ

เพลงของคุณมักจะสื่อสารโดยตรงไปถึงคนในวัย Gen Z ได้มาก เป็นวิธีของคุณที่อยากจะบอกว่าพวกเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังคนเดียวหรือเปล่า

Jeremy Zucker: แน่นอนครับ แม้ว่าจะฟังดูเห็นแก่ตัวก็ตาม แต่ผมก็ยืนยันว่าผมแต่งเพลงเพื่อตัวเอง แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากๆ ที่หลายคนบอกว่าเพลงของผมพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเขาได้เป๊ะมากๆ ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ กับผม มันทำให้ผมรู้ว่าคนเราก็มีโอกาสที่จะเกิดเรื่องคล้ายๆ กันในชีวิต และรู้สึกต่อเรื่องนั้นคล้ายๆ กันเช่นกัน แม้ว่าเราจะไม่ได้รู้จักกันเลยก็ตาม ผมเลยค่อนข้างรู้สึกดีที่มีคนฟังวัย Gen Z รู้สึกมั่นใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นเมื่อได้ฟังเพลงของผม แม้ว่าผมจะทราบแล้วว่าเพลงของผมอาจไปตรงกับประสบการณ์และความรู้สึกของใครหลายๆ คน แต่ผมก็ยังคงทำเพลงที่มาจากประสบการณ์และความรู้สึกของตัวเองจริงๆ อยู่ดี เหมือนผมแต่งเพลงเพื่อตัวเอง แต่ผมร้องเพลงเพื่อพวกเขามากกว่า

pressreleasejeremyzucker-

คุณเคยบอกว่า “เป็นเรื่องที่ดีที่ได้อยู่ข้างหน้าและเป็นศูนย์กลางเพื่อสนับสนุนดนตรี แทนที่จะเอาดนตรีมาไว้ข้างหน้าผมเหมือนที่ผมเคยทำเมื่อก่อน” ในส่วนนี้คุณหมายความว่าอย่างไร หมายถึงแต่ก่อนคุณเป็นที่พูดถึงในส่วนของเพลงหรือดนตรีมาก่อนตัวตนของคุณจริงๆ หรือเปล่า

Jeremy Zucker: ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นหรอกครับ ผมคิดว่าผมอยากจะบอกว่าผมพยายามแสดงให้ถึงความมั่นใจในตัวเองที่ผมมีมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนมากกว่า แต่ก่อนผมจะทำนองว่า โอเค ผมจะให้เพลงของผมเป็นคนอธิบายทุกอย่างด้วยตัวของมันเอง ตอนนี้เหมือนผมรู้ตัวว่าผมเป็นศิลปิน และทำหน้าที่ของผมในฐานะศิลปินอย่างชัดเจนมากขึ้นมากกว่า 

แต่ก่อนผมจะแค่รู้สึกเหมือนเป็นเด็กคนหนึ่งที่ทำเพลงออกมาให้คนอื่นฟังเฉยๆ แต่ตอนนี้ผมไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นแล้ว ผมจริงจังว่านี่คืออาชีพของผม และผมอยากทำผลงานออกมาให้ดีจริงๆ ผมไม่ได้มีพรสวรรค์ในการเป็นเพอร์ฟอร์เมอร์ หรือเป็นนักร้อง ที่จะคุมเวทีหรืออยู่ต่อหน้ากล้องได้อย่างเป็นธรรมชาติมาตั้งแต่เกิดขนาดนั้น ผมพยายามทำให้ตัวเองเป็นศิลปินที่เก่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ขึ้นแสดง เพราะอย่างนั้นผมเลยพูดถึงการเป็นศูนย์กลางและการอยู่ด้านหน้าของดนตรี เพราะผมกำลังพยายามที่จะเป็นศิลปินที่เก่งขึ้นเรื่อยๆ ครับ ผมยังคงเป็นผมที่มีความกังวลใจและตื่นเต้นในการทำงานเพลงอยู่ตลอดเวลา เพราะนั่นคือตัวตนจริงๆ ของผม แต่ในแง่ของการเป็นศิลปิน ผมพยายามที่จะแสดงโชว์ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจในการแสดงออกทางดนตรีให้มากขึ้น ผมว่าตัวตนผมจริงๆ กับผมที่เป็นศิลปินจะแตกต่างกันในแง่นั้น แต่ทั้งสองอย่างนั้นก็คือผมทั้งสิ้น ผมคิดว่าผมกำลังเรียนรู้ที่จะเป็นผมในทั้งสองแง่นั้นให้มากขึ้นครับ

ในวงการดนตรีที่มีการแข่งขันสูง และการปล่อยเพลงที่มีซาวด์แบบ Noise ดังๆ อาจเป็นทางหนึ่งที่เรียกความสนใจจากคนฟังได้ดี คุณคิดว่าซาวด์แบบ Noise เป็นสิ่งที่ดีต่อการทำเพลงหรือเปล่า

Jeremy Zucker: น่าสนใจมากครับ เป็นเรื่องจริงที่อาจจะมีบางคนทำเพลงที่มี Noise ดังๆ เพื่อเรียกความสนใจจากคนฟัง แต่สำหรับตัวผมเอง ผมพยายามที่จะไม่ทำแบบนั้นครับ ผมไม่ได้มีแรงผลักดันอะไรที่อยากจะทำเพลงที่มี Noise ชัดๆ หรือเสียงดังๆ มากขนาดนั้น ในแง่ของการใช้ชีวิตผมเองก็ไม่ได้ทำตัวโดดเด่นอะไรมากใน social media หรือแม้แต่การทะเลาะเบาะแว้ง ใช้เสียงดังข่มกัน นั่นก็ไม่ใช่ทางของผมเช่นกัน สำหรับผมแล้ว หากมีใครกรีดร้องเสียงดังออกมา วิธีที่จะเรียกความสนใจจากคนอื่นได้ คือการกระซิบเบาๆ กลับไปมากกว่า

เพลงในอัลบั้ม CRUSHER ที่คุณชอบที่สุดตอนที่ทำเพลง คือเพลงอะไร

Jeremy Zucker: อืม… อาจจะเป็นเพลงแรกอย่าง “i-70” ที่ผมคิดว่าค่อนข้างแตกต่างจากหลายๆ เพลงที่ผมเคยแต่งมา หรืออาจจะเป็น “Don’t come over, i’m an a**hole” และ “No one hates you (like i do)” ที่ผมชอบตอนแต่งสองเพลงนี้มากๆ ครับ

“Don’t come over, i’m an a**hole” เป็นเพลงที่ผมชอบฟังบ่อยๆ อยู่เหมือนกันครับ เป็นเพลงที่ฟังสนุกและลื่นไหล เป็นอีกเพลงที่ค่อนข้างแตกต่างจากที่เคยทำ เลยเป็นอีกเพลงที่โดดเด่นมากในอัลบั้มนี้

ถ้ามีแฟนเพลงใหม่ๆ เพิ่งรู้จักและเข้ามาฟังเพลงของคุณเป็นครั้งแรก อยากแนะนำเพลงไหนในอัลบั้ม CRUSHER ให้พวกเขาได้ฟังกัน

Jeremy Zucker: เอ่อ น่าจะเป็น “Deep End” ครับ เหมือนเป็นเพลงคลาสสิกของผม เป็นแนวที่ผมแต่งบ่อยๆ และเป็นเพลงแรกๆ ที่ผมแต่งในอัลบั้มนี้ เป็นเหมือนจุดเริ่มต้นของตัวผมเองในอัลบั้มที่แล้วอย่าง love is not dying และตัวผมใน CRUSHER มีทั้งดนตรีหม่นๆ เศร้าๆ แต่ก็เพิ่มตะโกนและความสนุกสนานโยกหัวโยกตัวตามได้ลงไปด้วย

Jeremy Zucker เป็นศิลปินที่แฟนๆ รู้จักกันดีในฐานะศิลปินที่แต่งเพลงเศร้าได้ไพเราะและงดงามมากที่สุดคหนึ่ง แล้วในอัลบั้ม CRUSHER นี้ มีเพลงไหนที่คุณรู้สึกว่าแต่งยากมากที่สุดบ้างไหม

Jeremy Zucker: น่าจะเป็น “Sex & cigarettes” ครับ จริงๆ แล้วเพลงนี้เกือบจะได้เป็นเพลงในอัลบั้ม love is not dying แต่ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าจะแต่งเพลงนี้ต่อให้เสร็จได้ยังไง ผมกลับไปแต่งใหม่ซ้ำๆ หลายต่อหลายครั้ง ถึงขั้นให้คนอื่นช่วยดูให้ด้วย เลยใช้เวลากว่าจะทำเพลงนี้เสร็จออกมาค่อนข้างนานครับ แต่สุดท้ายก็หาทางลงกับเพลงนี้ได้ 

มันเป็นเพลงชิลล์ๆ เพลงหนึ่งที่ทำให้ผมนึกถึงเพลง “all the kids are depressed” มีเนื้อเพลงที่บ่งบอกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้ชัดเจน เป็นเพลงดาร์คๆ ที่อาจจะดาร์คกว่า “all the kids are depressed” ด้วยซ้ำ (หัวเราะ) แต่ก็ยังเป็นเพลงที่มีจังหวะและอารมณ์ที่นุ่มนวลน่าฟังอยู่ครับ

ฝากอะไรถึงแฟนๆ ที่ได้ฟังอัลบั้ม CRUSHER 

Jeremy Zucker: นานมากเลยนะครับกับอัลบั้มนี้ที่ผมทำมา ผมตั้งใจมากๆ จนตอนนี้ปล่อยออกมาแล้ว ผมได้มีส่วนร่วมในอัลบั้มนี้ทุกอย่างตั้งแต่เพลง visual ต่างๆ ที่ใช้ในอัลบั้ม เตรียมทัวร์คอนเสิร์ต งานเบื้องหลังต่างๆ ในทัวร์เพื่อให้ทุกคนที่มาร่วมชมปลอดภัยจากโควิด-19 ผมตื่นเต้นมากๆ ที่ได้แบ่งปันสิ่งที่ผมทำมาตลอดให้ทุกคนได้ฟังกันครับ

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook