รู้จัก "ONF" บอยแบนด์ที่ "เกิดใหม่" หลังเดบิวต์มาสามปี โดย คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
ผู้เขียนเคยกล่าวอยู่บ่อยครั้งทั้งในบทความหรือการพูดกับเพื่อนฝูงว่าวงการเคป็อปนั้นโหดร้ายที่มีศิลปินมากมายเป็นร้อยราย แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกวงจะประสบความสำเร็จ บางวงอาจดังแค่เพลงเดียว หลายวงไม่ดังเลยสักเพลง แต่เลวร้ายที่สุดคือวงประเภทที่ไม่ว่าจะเดบิวต์หรือยุบวงไปแล้ว ผู้คนก็ยังไม่รับรู้ถึงการดำรงอยู่ของพวกเขา
บอยแบนด์ที่ชื่อว่า ONF (อ่านว่า On and Off) ก็เกือบจะมีชะตากรรมข้างต้น พวกเขามาจากค่าย WM Entertainment (ศิลปินค่ายนี้เช่น B1A4 และ Oh My Girl) ปัจจุบันมีสมาชิกทั้งหมด 6 คน จุดเด่นคือแบ่งเป็นสองทีม ทีม ON เน้นที่การร้อง ส่วนทีม OFF เน้นการเต้น เดบิวต์ตั้งแต่ปี 2017 ทว่าไม่ได้รับความนิยมนัก ไม่เคยชนะที่หนึ่งรายการเพลงใดๆ ซ้ำร้ายเมื่อเข้าแข่งในรายการเซอร์ไววัลของค่าย YG ที่ชื่อ Mix Nine สมาชิก 2 คนอุตส่าห์ติดไลน์อัพของวงไฟนอล ทว่าการเดบิวต์ก็ล่มไปเนื่องด้วยความไม่ลงตัวทางธุรกิจ
ONF ตัดสินใจเปลี่ยนชะตาชีวิตอีกครั้งด้วยการร่วมเข้าแข่งขันในรายการ Road to Kingdom ที่เป็นการเผชิญหน้ากันของเหล่าบอยแบนด์ 7 วง จากวงที่แทบไม่มีใครรู้จัก ONF กลายเป็นวงที่โดดเด่นลำดับต้นๆ ของรายการ ด้วยการเรียบเรียงเพลงอันชาญฉลาด เช่น การใส่บทสวดขลังๆ เข้าไปในเพลง "Everybody" ของ SHINee หรือการรีมิกซ์เพลง "We Must Love" ของตัวเองด้วยการเพิ่มเครื่องสายเข้าไป อย่างไรก็ดี การแสดงที่ถือเป็นมาสเตอร์พีซของ ONF ในรายการนี้คือเพลง "It’s Raining" ของ Rain
ในการแข่งขันรอบที่สาม ONF ได้โจทย์เป็นเพลง "It’s Raining" ซึ่งถือเป็นเพลงที่ยากเพราะมีภาพจำชัดเจน (เสียงลมหายใจสุดเซ็กซี่ของ Rain) แต่การแสดงชุดนี้มีความน่าทึ่งหลายประการ หนึ่ง-การเรียบเรียงเพลงใหม่ชนิดจำแทบไม่ได้ จนทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงของ ONF ไปเลย สอง-การผสมเพลง "Complete" (เพลงของ ONF) ลงไปในเพลง สาม-ช่วงเบรคแดนซ์ที่มี Sampling เพลงของ Michael Jackson และสี่-การแสดงที่เล่นกับผ้าม่านอย่างกิ๊บเก๋
แม้ว่า ONF จะได้อันดับสองในรอบสุดท้ายของ Road to Kingdom แต่พวกเขาก็ทำให้ผู้เขียนต้องย้อนกลับไปฟังผลงานเก่าๆ ซึ่งตลอด 3 ปีนี้วงออกมา 4 ซิงเกิลเท่านั้น (ถือว่าน้อยมากสำหรับวงการเคป๊อปที่ศิลปินมักออกเพลงใหม่ทุก 3-6 เดือน) เมื่อฟังเพลงทั้งหมดก็พบว่าคุณภาพไม่ได้ไก่กาเลย อย่างสองซิงเกิลแรก "ON/OFF" และ "Complete" แม้จะเป็นเพลงป็อปฟังสบายๆ แต่ก็ไม่ใช่เพลงแอ๊บแบ๊วอ้อนสาวไปเรื่อย ตัวเพลงมีรายละเอียดด้านดนตรีที่น่าสนใจแถมยังติดหูมากด้วย
ส่วนซิงเกิลถัดมาอย่าง "We Must Love" หรือ "Why" จะมีความหนักหน่วงและจริงจังมากขึ้น ด้านดนตรีก็ยังดีเช่นเคย แต่สิ่งที่เซอร์ไพรส์มากคือมิวสิกวิดีโอของวงนี้ลงทุนไปถ่ายที่ต่างประเทศ ตัวโปรดักชั่นออกมาดีมาก แถมยังมีเนื้อเรื่อง (ที่ออกจะงงๆ) ไปทางไซไฟด้วย จนสับสนเลยว่านี่ดูเอ็มวีหรือหนังอยู่ (นี่คือคำชมนะจ๊ะ)
ต้องยอมรับว่าสมาชิกของ ONF ไม่ได้มีภาพลักษณ์หล่อราวเทพบุตร แต่จากการติดตามแบบคอร์สเร่งรัดก็พบว่าพวกเขามีความสามารถด้านร้องและเต้นที่ดีเลยทีเดียว สมาชิก 2 คนที่ผู้เขียนชื่นชอบเป็นพิเศษคือ ฮโยจิน (Hyojin) หนึ่งในนักร้องหลักของวงที่มีโทนเสียงสูงและแตะไฮโน้ตได้แบบไม่ค่อยพลาด ส่วนอีกคนคือ ไวแอตต์ (Wyatt) แร็ปเปอร์หลักของวงที่มีเสียงทุ้มต่ำและสำเนียงภาษาอังกฤษประหนึ่งเนทีฟสปีคเกอร์
เงื่อนไขสำคัญที่ทำให้เพลงของ ONF มีมาตรฐานดีมาตลอดก็เพราะคนแต่งเพลงของวงคือ MonoTree ทีมนักแต่งเพลงที่มีผลงานมามากมาย อาทิ "Flash" (X1), "Butterfly" (LOONA), "Ayayaya" (IZ*ONE) และเพลงล่าสุดของ ONF ที่ชื่อว่า "New World" ก็ได้ MonoTree มาแต่งให้อีกครั้ง โดยเมมเบอร์ของวงยังมีส่วนร่วมในการแต่งเนื้อร้องและทำนองด้วย
เนื้อหาของ "New World" พูดถึงอานุภาพของความรักที่ทำได้กระทั่งเปลี่ยนวงโคจรของโลก แต่ในอีกแง่หนึ่งเพลงนี้ยังเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพของ ONF ด้วย มันว่าด้วยการไปสู่โลกใหม่ พื้นที่ใหม่ อย่างที่ท่อนฮุคร้องว่า 'Higher' หรือการไปยังที่สูงกว่า สื่อถึงการที่ ONF เป็นวงโนเนมมาตลอด แต่นับจากนี้พวกเขาจะก้าวสู่ดินแดนที่แสงสว่างส่องถึงพวกเขาแล้ว
____________________
ผู้เขียน - คันฉัตร รังษีกาญจน์ส่อง
(Kanchat Rangseekansong)
เปิดโลกดนตรีและไอดอลกับคันฉัตร
อัลบั้มภาพ 4 ภาพ