สมการรอคอย! Boyce Avenue จากวงคัฟเวอร์ สู่ศิลปินเต็มตัวกับโชว์ระดับมืออาชีพ
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าชาติไทยเราถือว่าเป็นชาติหนึ่งที่ชอบฟังเพลงคัฟเวอร์มาก หากลองสังเกตช่องคอมเมนต์ในคลิปคัฟเวอร์ตาม YouTube ที่มียอดวิวสูงๆ จะต้องเห็นคนไทยอยู่ในนั้นอย่างน้อยหนึ่งคนเสมอ ยิ่งกับวงที่มียอดคน subscribe มากกว่า 11 ล้านคนอย่าง Boyce Avenue ด้วยแล้ว เราค่อนข้างมั่นใจว่ามีแฟนเพลงชาวไทยคอยติดตามงานของ 3 พี่น้องตระกูล Manzano นำโดย Alejandro (ร้องนำ, กีตาร์, เปียโน), Fabian (กีตาร์, คอรัส) และ Daniel (เบส, เพอร์คัสชั่น, คอรัส) อยู่จำนวนไม่น้อยแน่นอน
ค่ำคืนวันที่ 5 มิ.ย. 2018 แฟนๆ ทั้งชาวไทย และต่างชาติ รวมตัวกันอยู่หน้า บีซีซี ฮอลล์ เซ็นทรัล พลาซ่า ลาดพร้าว ชั้น 5 เพื่อรอเข้างาน Boyce Avenue Live in Bangkok with Special Guest ROOM39 โดยผู้จัด Miracle Management ทุกคนมากันด้วยลุคสบายๆ ที่ตั้งใจจะมาฟังเพลงอะคูสติกเพราะๆ ที่เคยติดตามฟังจากโลกออนไลน์กันมานานตั้งแต่ปี 2007 หรือราว 10 กว่าปีที่แล้ว และเป็นช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันกับ ROOM39 วงดนตรีไทยที่เป็นแขกพิเศษเปิดงานในค่ำคืนนี้ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่แฟนเพลงชาวไทย และต่างชาติด้วยการคัฟเวอร์เพลงเช่นเดียวกัน จึงนับว่าวันนี้เป็นวันรวมตัวคนชอบฟังเพลงคัฟเวอร์ในอดีตงานหนึ่งไปโดยปริยาย
แม้ว่าเวลาตามหน้าบัตรจะเริ่มทำการแสดงเวลา 19.00 น. แต่เวลาที่ศิลปินเปิดอย่าง ROOM39 ขึ้นเวทีจริงๆ กลายเป็น 20.00 น. หลายคนรวมถึงเราเข้าไปนั่งรออยู่นานพอสมควร แต่เมื่อไฟดับลง สมาชิกทั้ง 3 ของ ROOM39 ประกอบด้วย ทอม-อิศรา กิจนิตย์ชีว์, มน-ชุติมน วิจิตรทฤษฎี และ โอ-โอฬาร ชูใจ ก็ขึ้นเวทีด้วยรอยยิ้ม และเปิดเวทีด้วยเพลงแรกหลังจากเดบิวต์เป็นศิลปินเต็มตัวด้วยเพลง “หน่วง” ที่แฟนๆ ร้องตามกันได้สบายๆ (ยกเว้นท่อนที่ร้องเร็วๆ ปล่อยให้หนุ่มทอมเขาโซโล่ไป) จากนั้นจึงทยอยปล่อยเพลงเพราะๆ ให้พวกเราฟังอย่างต่อเนื่อง ทั้ง “รักตัวเอง”, “Restart”, “อย่าให้ฉันคิด”, “รักใครไม่ได้อีก”, “ความจริง”, “เป็นทุกอย่าง”, “รับได้หรือเปล่า” รวมไปถึงซิงเกิลล่าสุด “บอกตัวเอง” ที่ในเวอร์ชั่นปกติจะมีพี่โป่ง หินเหล็กไฟ มาร่วม featuring ด้วย และยังได้ฟังเพลงคัฟเวอร์อย่าง “Love Me Like You Do” ของ Ellie Goulding ที่ทำให้พวกเราได้นึกถึงช่วงที่ ROOM39 คัฟเวอร์เพลงลงอินเตอร์เน็ตใหม่ๆ กันอีกด้วย
แต่ละเพลงของ ROOM39 เราจะได้ฟังเพลงโซโล่ของแต่ละคน และเพลงที่ทั้งสามคนร้องด้วยกัน บวกกับการเอนเตอร์เทนของทั้งสามคนที่ทำให้การแสดงบนเวทีลื่นไหล และเป็นกันเอง ทำให้แฟนๆ ในฮอลล์สนุกสนานโยกตัวตามได้ไม่ยาก แต่ซาวด์ของเสียงไมโครโฟน และเสียงดนตรีอาจจะตีกันไปสักนิด จนทำให้เหมือนแต่ละเสียงสู้กันเอง ดังแข่งกันจนอาจทำให้เราฟังดนตรีและเสียงร้องไม่ได้ใสชัดเจนเท่าที่คิด รวมถึงแนวการเล่นดนตรี และการเอนเตอร์เทนที่ดูจะเป็นแนวที่เล่นในผับ หรือร้านอาหาร มากกว่าจะเป็นบนเวทีใหญ่ๆ ในคอนเสิร์ต จึงทำให้การแสดงไม่ได้โดดเด่นหรือน่าสนใจมากกว่าปกติมากนัก แต่ที่ต้องยอมรับคือ ความยิ้มแย้มแจ่มใสของตัวศิลปิน และคุณภาพน้ำเสียงของนักร้องแต่ละคน ที่บอกได้เลยว่าสู้ศิลปินต่างประเทศได้สบายๆ แบบไม่ต้องสงสัยเลย
จนกระทั่งการแสดงของ ROOM39 จบลงตอน 21.00 น. เป็นคราวของ Boyce Avenue ที่เตรียมขึ้นเวทีในเวลา 21.30 น. หลังจากทีมงานเซ็ตเครื่องดนตรีในแบบอะคูสติก ทั้งกีตาร์โปร่ง กีตาร์ไฟฟ้า แทมบูรีน และคาฮอง อย่างที่เราเคยเห็นใน YouTube กันมานับครั้งไม่ถ้วน คราวนี้ก็ได้เวลาที่เราจะได้ฟังพวกเขาเล่นดนตรีให้เราได้ฟังกันสดๆ เซ็ตลิสต์ในค่ำคืนนี้มีทั้งเพลงออริจินอลของพวกเขาเองจากทั้ง 3 อัลบั้ม All You’re Meant To Be (2009), All We Have Left (2010) อย่าง “Hear Me Now”, “Change Your Mind”, “Find Me” (เพลงแรกที่หนุ่มๆ Boyce Avenue เริ่มแต่งกันเอง) งานจาก EP ชื่อ No Limits อย่าง “I’ll Be the One”, “One Life” และอัลบั้มล่าสุดที่ปล่อยออกมาเมื่อปี 2016 อย่าง Road Less Traveled ทั้ง “Your Biggest Fan”, “ Be Somebody”, “Cinderella” และ “Imperfect Me”
หนุ่มๆ Boyce Avenue ไม่ได้มาร้องแค่เพลงออริจินอลของตัวเองเท่านั้น เพราะพวกเขารู้ดีว่าผู้ชมของพวกเขาในค่ำคืนนี้เป็นแฟนเพลงอย่างเหนียวแน่นในฝีมือการคัฟเวอร์ของพวกเขา Boyce Avenue จึงเลือกที่จะนำเสนอเพลงออริจินอลของตัวเอง สลับกับเพลงคัฟเวอร์ดังๆ ที่แฟนๆ ติดใจอีกมากมาย ทั้ง “Wonderwall” ของ OASIS, “Fast Car” ของ Tracy Chapman ที่หนุ่ม Alejandro บอกว่า เป็นเพลงแรกๆ ที่พวกเขาเริ่มต้นทำคลิปเพลงคัฟเวอร์ และเป็นเพลงที่พวกเขาชอบมากจนถึงทุกวันนี้ หรือเพลงสนุกๆ ที่ทำเอาแฟนๆ โยกกันสนุกสนานอย่าง “We Found Love” ของ Rihanna, ช้าๆ ซึ้งๆ กับ “Yellow” ของ Coldplay ที่แฟนๆ กรี๊ดกันตั้งแต่อินโทรกีตาร์ ชุดเมดเลย์เพลงฮิตอย่าง “Torn” ของ Natalie Imbruglia (ต้นฉบับจริงๆ คือ ของ Ednaswap), “Castle on the Hills” ของ Ed Sheeran และ “Teenage Dream” ของ Katy Perry และ “A Thousand Years” ของ Christina Perri กับ “Say You Won’t Let Go” ของ James Arthur ทำเอาบรรยากาศในฮอลล์อบอวลไปด้วยความโรแมนติกชั่วขณะ ก่อนจะปิดท้ายด้วย “On My Way” เพลงป็อปร็อกจังหวะซึ้งๆ ฟังสบาย ที่แฟนๆ พากับโบกมือตามจังหวะเพลงกันอย่างพร้อมเพรียง
สามพี่น้องโบกมือลาแฟนๆ ในช่วงสั้นๆ ก่อนจะกลับมาอีกครั้งในช่วง encore กับการแสดงเดี่ยวของ Alejandro ในเพลง “Perfect” ของ Ed Sheeran เมดเลย์กับ “Unchained Melody” ของ Righteous Brothers ที่ทวีความหวานโรแมนติกของเพลงแรกให้มากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว ก่อนจะลาจากกันจริงๆ ในค่ำคืนนี้ด้วยเพลงป็อปจังหวะสนุกจากอัลบั้ม Road Less Traveled อย่างเพลง “Anchor” ที่เป็นเพลงที่ถูกเลือกให้เป็นเพลงสุดท้าย ปิดฉากคอนเสิร์ตที่แฟนเพลงชาวไทยรอคอยกันมาอย่างยาวนานนับสิบปีอย่างสวยงาม
แม้ว่าเวลาเริ่มการแสดงอาจจะเลทไปสักเล็กน้อย จนทำให้กว่าโชว์จะจบก็ดึกดื่นเกินกว่าที่หลายคนคาดเอาไว้ เพราะคิดว่าน่าจะเริ่มเวลา 19.00 น. อย่างที่แจ้งไว้ในเว็บไซต์ แต่เมื่อได้ชมการแสดงสดของ Boyce Avenue แล้ว เชื่อว่าหลายคนยังไม่อยากให้จบง่ายๆ โดยไม่สนว่าคืนนี้จะเลิกแสดงกี่โมง เพราะการได้ฟังเสียงของ Alejandro สดๆ บวกกับการเล่นดนตรีที่ฝีมือไม่ธรรมดาของ Fabian และ Daniel (ที่สลับเล่นระหว่างเพอร์คัสชั่นกับกีตาร์ได้อย่างลื่นไหล) ทำให้แฟนๆ นั่งฟังนั่งชมกันอย่างเพลิดเพลิน และยอมรับจริงๆ ว่าไพเราะกว่าที่เราได้ยินได้ชมกันผ่าน YouTube หลายเท่าตัวนัก การเซ็ตเครื่องดนตรี รวมถึงไมโครโฟนก็โชว์พลังเสียงของนักร้อง และเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นออกมาได้ใส และชัดเจนดี จึงทำให้ประสบการณ์ในการชมคอนเสิร์ตในครั้งนี้ลื่นไหลอย่างไม่มีที่ติ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่แฟนๆ หลายคนน่าจะพอเดากันได้ คงจะเป็นช่วงที่แสดงเพลงออริจินอลของพวกเขาที่คงจะเงียบๆ กันเล็กน้อย ด้วยการเป็นวงที่มีชื่อเสียงจากการคัฟเวอร์ จึงทำให้เพลงออริจินอลอาจไม่คุ้นหูแฟนเพลงชาวไทยเท่าเพลงคัฟเวอร์อื่นๆ แต่ต้องยอมรับว่าเพลงออริจินอลของ Boyce Avenue เป็นเพลงป็อปร็อกฟังสบายที่ถูกจริตแฟนเพลงชาวไทยได้ไม่ยาก หากทุกคนมีโอกาสได้ลองฟังอย่างตั้งใจจริงๆ เราเชื่อว่า Boyce Avenue จะเป็นวงดนตรีที่เป็นมากกว่าวงคัฟเวอร์ในไม่ช้า และเราก็น่าจะได้มีโอกาสชมการแสดงของ Boyce Avenue ในประเทศไทยกันอีก เหมือนอย่างที่หนุ่ม Alejandro กล่าวทักทายแฟนเพลงชาวไทยในตอนต้นว่า “พวกเราดีใจมากที่ได้มาทำการแสดงคอนเสิร์ตในประเทศไทยเป็นครั้งแรก และพวกเราแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้กลับมาที่นี่อีกครั้งในอนาคต”
__________________
Story : Jurairat N.