อะไรคือเคล็ดลับความปังของ The Avengers ภาคแรก ที่ Marvel ทำสำเร็จอย่างไม่เคยมีค่ายไหนทำได้มาก่อน?

อะไรคือเคล็ดลับความปังของ The Avengers ภาคแรก ที่ Marvel ทำสำเร็จอย่างไม่เคยมีค่ายไหนทำได้มาก่อน?

อะไรคือเคล็ดลับความปังของ The Avengers ภาคแรก ที่ Marvel ทำสำเร็จอย่างไม่เคยมีค่ายไหนทำได้มาก่อน?
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

ย้อนกลับไปในเดือนพฤษภาคม ปี 2012 หรือเมื่อ 8 ปีก่อน หนังที่กลายเป็นเพชรยอดมงกุฎของหนังจักรวาลมาร์เวลหรือ MCU ในเวลานั้นอย่าง The Avengers หนังรวมพลฮีโร่ภาคแรกได้เข้าฉาย และกลายเป็นปรากฎการณ์ใหม่บนโลกภาพยนตร์ทันที ความสำเร็จในเฟสที่ 1 นับตั้งแต่หนัง Iron Man (2008) มาจนถึง The Avengers (2012) ใช้เวลายาวนานกว่า 4 ปีที่หนังแต่ละเรื่องทะยอยเข้าฉาย สื่อถึงการวางแผนและการเตรียมการอย่างดีในการปูเรื่องราวและค่อย ๆ เก็บความสำเร็จของหนังภาคแยกมาได้ตลอดทั้ง 5 เรื่อง

สื่ออย่าง Collider ได้มีโอกาสคุยกับ Zak Penn มือเขียนบทคนสำคัญที่คุมทิศทางหนังในเฟส 1 ของ MCU นับตั้งแต่ Iron Man ภาคแรก, The Incredible Hulk (2008), Iron Man 2 (2010), Captain America: The First Avenger (2011) และ Thor (2011) Penn ผู้มีผลงานเขียนบทอย่างหนังโลกเสมือนสุดมันของ Spielberg อย่าง Ready Player One (2018) รวมถึงเคยเขียนบทหนังที่ไม่สนุกเลยมาแล้วเช่นกันอย่าง Elektra (2005) เล่าว่าขั้นตอนการทำงานของ Marvel Studios ที่ “คิดการใหญ่” นั้น เริ่มมาตั้งแต่ปี 2003 แล้ว

Zak Penn มือเขียนบทและวางโครงเรื่องหนังเฟส 1 ของ MCU

“จุดเริ่มต้นของจักรวาลนี้เริ่มต้นตอนปี 2003 ตอนที่ผมได้รับการติดต่อให้มาเขียนบท Iron Man ภาคแรก ต่อมาแนวคิดของ The Avengers ก็เกิดขึ้นตอนปี 2006 ระหว่างนั้นผมใช้เวลาราว ๆ 4 ปี ในการระดมสมองกับทีมเพื่อให้พล็อตของหนังทั้ง 5 เรื่องไปในทิศทางเดียวกัน” Penn กล่าว

หลังความสำเร็จของ Iron Man ภาคแรก Marvel ก็ประกาศวันฉายของหนัง Marvel’s The Avengers ออกมาอย่างมั่นใจในความสำเร็จของหนังในจักรวาลนี้ ว่าจะให้เข้าฉายในเดือนกรกฎาคม ปี 2011 ในทีแรก ผู้กำกับ Jon Favreau ที่ได้กำกับทั้งสองภาคแรกของ Iron Man จะได้กำกับหนังรวมพล Avengers ภาคแรกด้วย แต่ Ike Perimutter ประธานใหญ่ของ Marvel Entertainment ในเวลานั้นเกิดไม่พอใจค่าตัวของ Favreau ที่ถูกมองว่าสูงเกินไป เพราะลำพังค่าตัวนักแสดงที่ต้องมารวมกันก็สูงมากแล้ว Perimutter จึงตัดสินใจไม่ให้ Favreau กลับมา ซึ่งเขาก็ไปกำกับหนัง Cowboy & Aliens (2011) ต่อทันที (หนังทุนสูงแต่ไม่ประสบความสำเร็จทางรายได้)

ผู้กำกับ Iron Man ทั้ง 2 ภาคอย่าง Jon Favreau ที่เคยเกือบได้กำกับ The Avengers ภาคแรก

ระหว่างนั้นเองค่ายหนังอย่าง Disney ก็เห็นชิ้นปลามันอย่างความสำเร็จของ Marvel Studios ที่จะมีตามต่อออกมาในอนาคตอย่างแน่นอน ในเดือนธันวาคม ปี 2009 Disney จะได้จัดการควบกิจการซื้อ Marvel Studios มาเป็นสมบัติของ Disney ด้วยมูลค่า 4,000 ล้านเหรียญฯ (ท้ายที่สุดก็เลยจุดคุ้มทุนภายในไม่เกิน 3-4 ปีหลังจากซื้อมา) รวมถึงในเดือนตุลาคม ปี 2010 ก็ยังเจรจาซื้อสิทธิ์ในการสร้างหนัง Iron Man คืนจากค่าย Paramount ด้วย (แต่ที่ยังเจรจาไม่สำเร็จจนถึงทุกวันนี้คือซื้อสิทธิ์การสร้างหนัง Hulk จากค่าย Universal จึงเป็นเหตุว่า ทำไมฮัลค์ จึงยังไม่มีหนังแยกเดี่ยวเรื่องต่อมานานแล้ว)

เดือนเมษายน ปี 2010 Marvel Studios ได้ผู้กำกับที่มาคุมงานหนังรวมพลเป็น Joss Whedon ซึ่งในตอนนั้นเขาแทบไม่เคยทำหนังที่ประสบความสำเร็จมาก่อน (Serenity (2005) คือหนังที่ดังที่สุดของเขาซึ่งแทบไม่มีใครเคยดู) แต่ชื่อเสียงของ Whedon มาจากการทำซีรีส์ทางโทรทัศน์อย่าง Buffy the Vampire Slayer (1997-2003) รวมถึงการเป็นนักเขียนซ่อมบทหน้ากองถ่าย ซึ่งมักจะถูกค่ายหนังและผู้กำกับเรียกใช้ให้ทำหน้าที่แก้บทกันสด ๆ หน้าเซ็ตในกรณีที่บทเดิมดูไม่เข้าท่า ซึ่งรวมถึงการแก้บทของ Captain America: The First Avenger ด้วย

อีกหนึ่งคนที่เชื่อมั่นว่า Ruffalo จะแสดงบทนี้ได้ก็คือ Joss Whedon ผู้กำกับ Avengers 2 ภาคแรก
Joss Whedon ผู้กำกับ Avengers 2 ภาคแรก

ตรงนี้เองที่งานของ Zak Penn เริ่มถูกแทรกแซงโดย Whedon ที่ก็ถือว่าเป็นมือเขียนบทและแก้ไขบทงานหนังของตัวเองมาโดยตลอด Penn ได้อธิบายต่อว่า หลายแนวคิดของหนัง The Avengers เช่น การสานต่อเรื่องราวของฮัลค์ที่มีการเปลี่ยนนักแสดง (เดือนกรกฎาคม ปี 2010 หรือ 1 ปีก่อนกำหนดฉายเดิมของหนัง Marvel ได้ออกแถลงการณ์แยกทางกับ Edward Norton ในบทฮัลค์) หรือการที่หนังมีตัวร้ายเป็นโลกินั้นก็มาจากไอเดียของ Whedon ซึ่ง Penn เองก็ยอมรับและเคารพในการตัดสินใจของผู้กำกับที่เปลี่ยนแนวทางของหนังไปจากที่เขาเริ่มวางไว้ในปี 2006

ในตอนนั้น Penn ได้วางแผนให้ The Avengers มีการปรากฎตัวของ “เดอะ แวป” ที่จะเชื่อมโยงไปถึงหนังใหญ่เรื่องแรกของ Ant-Man รวมถึงจะให้ตัวร้ายเป็น “เอสแซเคียล เสตน” ลูกชายของโอบาไดอาห์ เสตน ตัวร้ายในภาคแรกของ Iron Man ที่จะขอกลับมาล้างแค้นแทนพ่อ แต่คนที่ขวางแนวคิดนี้ไว้คือ Kevin Feige หัวเรือใหญ่ของ Marvel Studios ทุกวันนี้ที่บอกว่าตัวละครชักจะมากเกินไป แล้วเอาตัวร้ายที่คนดูรู้จักอยู่แล้วมาใช้ดีกว่า เป็นที่มาของตัวร้ายอย่างโลกิ ที่ได้ออกสำแดงฤทธิ์เดช


เดอะ แวปส์เคยเกือบได้มาปรากฎตัวตั้งแต่ The Avengers ภาคแรก ก่อนแอนท์แมนเสียอีก
ตัวละครโอบาไดอาห์ ตัวร้ายใน Iron Man เกือบจะได้ลูกชายมาเป็นตัวร้ายทวงแค้นให้พ่อใน The Avengers
โลกิ ที่ได้เป็นตัวร้ายของ The Avengers และมีแฟน ๆ ติดตามมากมายจนได้มีซีรีส์เป็นของตัวเอง

Marvel’s Avengers เริ่มถ่ายทำได้จริงในเดือนเมษายนปี 2011 และถูกวางกำหนดฉายไว้ในเดือนพฤษภาคมปีถัดมา ในตอนนั้นเองที่ Feige บอกว่า End Credit ของหนังภาคแรกควรจะมีการแนะนำตัวร้ายที่จะมีบทบาทไปอีกยาวนานในหนังจักรวาล Marvel แล้วจะเป็นใครล่ะ? Penn เสนอว่า ต้องเป็นตัวละครเอเลี่ยน เพราะในภาคแรกนี้มิติของจักรวาลได้เชื่อมมายังโลกมนุษย์แล้ว Whedon ที่เป็นแฟนตัวยงของธานอส จึงได้เสนอชื่อตัวละครตัวนี้ให้มีบทบาทสำคัญอย่างที่แฟน ๆ ได้เห็นกัน

ตัวร้ายธานอสที่ปรากฎตัวใน End Credit ของ The Avengers ในตอนนั้นยังไม่ใช่ Josh Brolin มาแสดง

โดยสรุปแล้ว ความยากที่ Marvel Studios ทำได้สำเร็จในเฟส 1 คือการหลอมรวมโลกของเหล่าฮีโร่ที่แตกต่างกัน ให้มาอยู่รวมกันได้แบบไม่แปลกตามากนัก ทั้งโลกวิทยาศาสตร์ของโทนี สตาร์คและ ดร.บรู๊ซ แบนเนอร์ โลกในประวัติศาสตร์ของสตีฟ โรเจอร์ส โลกต่างดาวแอสการ์ดของธอร์ นั่นก็เพราะการมีแผนและทิศทางในการควบคุมเรื่องราวตามแผนไว้ได้อย่างเหนียวแน่น การค่อย ๆ ตักตวงความสำเร็จอย่างไม่รีบร้อน และจัดการความล้มเหลว (The Incredible Hulk) อย่างใจเย็น ก็ทำให้แผนการสร้าง The Avengers ไม่บอบช้ำมากนัก หนังทำลายสถิติด้วยการเป็นหนังที่ทำรายได้ทะลุ 200 ล้านเหรียญฯ ในสหรัฐฯ ตั้งแต่สัปดาห์เปิดตัว (เร็วที่สุดในเวลานั้น) และทำรายรับรวมทั่วโลกไป 1,500 ล้านเหรียญฯ ในท้ายที่สุด

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook