ชำแหละ บางกอก….สยอง – กระบองเพชรในป่าปูน

ชำแหละ บางกอก….สยอง – กระบองเพชรในป่าปูน

ชำแหละ บางกอก….สยอง – กระบองเพชรในป่าปูน
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

บทความนี้มีการเปิดเผยเรื่องราวในภาพยนตร์หากไม่ต้องการทราบว่าตัวหนังแต่ละเรื่องพูดถึงประเด็นอะไร กรุณาปิดบทความนี้ไปก่อน

บางกอก….สยอง นั้นเป็นการรวมหนังสั้นสยองขวัญสามเรื่องที่พูดถึงเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ ในช่วงเวลากลางคืน ซึ่งมีเหตุการณ์อันน่าขนหัวลุกแยกย่อยแตกต่างกันออกไปตามเรื่องราวที่ผู้กำกับแต่ละคนต้องการจะบอกเล่าแก่ผู้ชม

หนังเปิดเรื่องราวมาที่ ตอนสวัสดีปีใหม่ ซึ่งเล่าถึง แก้ม (ญี่ปุ่น - ณภัทร บรรจงจิตไพศาล) สาวออฟฟิศหน้าตาสะสวยที่ต้องทำงานในวันสิ้นปี โดยที่คุณสุทธิพงศ์หัวหน้าแผนกของเธอเพิ่งจะเสียชีวิตไปได้ไม่นาน ในตึกแห่งนี้จึงเหลือแค่เพียงยามประจำตึกและเด็กฝึกงานอีกสองคนในคืนก่อนวันปีใหม่

ความโดดเด่นของตอนสวัสดีปีใหม่อันเป็นผลงานการกำกับของ อนุสรณ์ สร้อยสงิม นั้นเริ่มต้นจากการสร้างคาแรกเตอร์ของตัวละครเดินเรื่องอย่าง “แก้ม” ให้มีความชัดเจนว่าเธอเป็นคนที่มีความทะเยอทะยาน มั่นใจในตัวเองสูงมาก ชอบดูถูกคนอื่นโดยเฉพาะคนที่อยู่ในฐานะที่ด้อยกว่าตัวเอง ซึ่งเราจะได้เห็นพฤติกรรมเหล่านี้ผ่านฉากที่เธอเดินกลับมาจากการไปซื้อกาแฟเย็นระดับพรีเมียม แต่เมื่อเธอกลับมาถึงออฟฟิศและพบว่าประตูกระจกทางเข้าบริษัทถูกล็อคเอาไว้ เธอก็ได้แต่หงุดหงิด จนกระทั่งยามต้องวิ่งมาเปิดประตูให้อย่างเร่งรีบ

ทันทีแก้มเข้ามาให้ตึกได้ ยามก็ร้องขอไม่ให้เธอร้องเรียนเรื่องดังกล่าว เพราะเขากลัวว่าถ้าหากโดนร้องเรียนอีกครั้งเขาจะถูกไล่ออกจากงาน แต่แก้มก็ได้แต่พูดจาส่อเสียดและดูถูกเขาว่า “ก็เพราะคิดได้แค่นี้ถึงเป็นได้แค่ยาม” ระหว่างที่แก้มกดลิฟต์ ยามประจำตึกจึงเล่าเรื่องชวนขนหัวลุกที่ว่า “คุณแก้มไม่กลัวเหรอครับที่ยังต้องนั่งโต๊ะติดกับคุณสุทธิพงศ์ ที่เสียชีวิตไปแล้ว เพราะเมื่อวานแม่บ้านบังเอิญเห็นว่ามีคนใส่ชุดซานตาคลอสที่แขวนไว้ตรงตู้ห้องทำงานเดินไปเดินมา”

จากประโยคบอกเล่าของยามประจำตึก ทำให้จินตนาการของแก้มเริ่มโลดแล่น เธอกลับขึ้นไปทำงานด้วยความหวาดผวาจนเธอเองต้องไปหยิบชุดซานตาคลอสเก็บลงกล่อง บรรยากาศในหนังตอนนี้จึงเล่นกับความหวาดกลัวของแก้มได้อย่างน่าสนใจ อีกทั้งหนังจึงเริ่มเผยให้คนดูได้เรียนรู้ความลับบางอย่างที่ตัวละครนี้เก็บงำเอาไว้ และเธอพยายามปกปิดจากคนอื่นอีกด้วย

ตัวหนังทำให้เราเข้าใจสภาวะของตัวละครแก้มว่า เธอมีนิสัยหัวสูงเช่นนี้ก็เพราะว่าเธอต้องการจะหาเงินและเอาโบนัสเพื่อเอาไปไถ่บ้านของครอบครัวให้พ้นจากการจำนอง จากที่เราได้เห็นจากองค์ประกอบฉาก ว่าบนโต๊ะทำงานของเธอมีภาพพ่อแม่ของตัวเองตั้งไว้ และแชทไลน์ของแม่ที่ถามว่าวันหยุดปีใหม่ ทำไมแก้มถึงไม่เดินทางกลับบ้านต่างจังหวัด

ตอนแรกคนดูอาจจะเข้าใจว่ากำลังจะได้ดูหนังผี ที่วิญญาณของคุณสุทธิพงศ์น่าจะเป็นคนออกมาหลอกหลอน แต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับกลายเป็นว่า หนังได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นหนังแนว Slasher หรือหนังแนวไล่ฆ่า เมื่อจู่ๆ แก้มก็ค้นพบว่าเด็กฝึกงานอย่างแจ็ค ถูกแทงตายอยู่ที่หน้าลิฟต์ ก่อนที่ฆาตกรถือขวานและสวมชุดซานตาคลอสจะออกไล่ล่าเอาชีวิตเธออย่างบ้าคลั่ง ออฟฟิศที่ถูกปิดตาย ตึกที่ไม่มีใครเหลืออยู่แก้มจึงต้องพยายามทุกวิถีทางเพื่อเอาชีวิตรอดจากค่ำคืนนี้ไปให้ได้

สำหรับเรื่องที่ 2 คือ โรงมหรศพ บอกเล่าเรื่องราวอาถรรพ์ของโรงภาพยนตร์ที่ 5 ซึ่งว่ากันว่าไปปลูกทับที่ของศาลแขก จนต้องฉายหนังในโรงดังกล่าวโดยไม่เปิดให้ผู้ชมทั่วไปเข้าชม เพราะเชื่อกันว่าจะมีสัมภเวสีเข้ามานั่งดูระหว่างที่หนังฉาย แต่เมื่อออย (ธนัญญา หมั่นทวี) สาวสก๊อยนัดเสี่ยกำมะลอ (แร็ปเอก นราวุธ อำนวย) เพื่อจะหลอกเอาเงินจากเสี่ย ออยพยายามเสนอตัวเข้าแลกด้วยการจะแอบเข้าไปล้วงควักกันในโรงหนังที่ปราศจากผู้คน แต่แล้วออยก็ค้นพบว่าจริงๆแล้วโรงหนังแห่งนี้มีความน่ากลัวบางอย่างเกินคาดคิด

สำหรับโรงมหรศพน่าจะเป็นตอนเดียวที่วิธีการเล่าเรื่องค่อนข้างเบาบางและไม่มีอะไรน่าพูดถึงนัก อาถรรพ์ความน่ากลัวที่ปรากฏอยู่ในเรื่อง จังหวะจะโคนในการหลอกคนดูก็เรียกได้ว่า “น่าเบื่อ” และไม่มีอะไรน่าสนใจไปกว่าการวางพล็อตเรื่องสาวสก๊อยจะหลอกปลดทรัพย์เสี่ย โดยที่ทั้งสองนัดพบกันจาก Tinder! เท่านั้น

ส่วนตอนสุดท้ายอย่าง สวัสดีบางกอก บี (เชอรีน ณัฐจารี หรเวชกุล) และแอน (ปริม กรวรรณ หลอดสันเทียะ) สองสาวเน็ทไอดอลชื่อดังจากต่างจังหวัด ที่ตัดสินใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อมาทำงานเก็บเงินเพื่อหารายได้พิเศษ แต่บ้านเช่าที่ทั้งสองไปเช่าอยู่นั้นกลับเป็นบ้านที่เคยเกิดเหตุฆาตกรรมยกครัวขึ้น!

อันที่จริงตอนสวัสดีบางกอกเป็นตอนที่เปิดเรื่องมาได้น่าสนใจ เมื่อตัวละครอย่างแอนที่เป็นสาวปากจัด พูดจาโผงผางและไม่กลัวใคร ซีนที่น่าประทับใจที่สุดก็คือตอนที่มีแฟนคลับที่ตามดูไลฟ์สดทางโซเชียลมีเดียแอบแขวะว่า “เข้ามาทำงานไกลถึงกรุงเทพฯ นี่ก็เพราะว่ามาขายตัวให้เสี่ยล่ะสิ” เธอจึงสวนกลับทันควันว่า “กูจะมาทำอะไรมันก็เรื่องของกู………… ” (ตามด้วยคำด่ายาวเฟื้อยจนเราอาจจะเรียกได้ว่าเป็น ประโยคด่าที่น่าจะยาวที่สุดในหนังเรื่องนี้)

ส่วนตัวละครอย่างบีที่พยายามใช้ความน่ารักเพื่อขายความนิยมของตัวเอง เธอก็ใช้ความ “แอ๊บแบ๊ว” ของตัวเองหากินได้อย่างไม่น่าเชื่อ (รวมไปถึงการใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ตัวเองมีเอาตัวรอดในตอนท้ายแบบที่คนดูคาดไม่ถึงอีกต่างหาก)

เมื่อมองถึงจุดร่วมของหนังสั้นทั้งสามเรื่อง จะเห็นได้ว่าตัวละครเดินเรื่องนั้นล้วนแล้วแต่เป็นตัวละครหญิงชนชั้นกลางที่พยายามจะตะเกียกตะกายและหาที่ทางเพื่อเอาชีวิตรอดในสังคมกรุงเทพฯ ในหลากหลายรูปแบบ จนเราเปรียบเปรยพวกเธอดั่งกระบองเพชรในป่าปูน แก้มแอบคบชู้และหลอกใช้คุณสุทธิพงศ์ทำงานจนตาย! ออยเป็นพวกหลอกลวงผู้ชาย ส่วนบีและแอนก็ใช้ความสวยของตัวเองหากินกับการขายเรือนร่างของตัวเองให้กับผู้ชาย เหล่านี้จะทำให้เราได้เห็นว่า ผู้หญิงเองก็มีหนทางที่ต้องฝ่าฟันเอาตัวรอด แต่น่าเสียดายตรงที่บทสรุปของแต่ละตัวละครหญิง ในหนังเรื่องนี้จบลงไม่ค่อยดีนักสักคน จนเราแอบตั้งคำถามอยู่เหมือนกันว่า สุดท้ายแล้วผู้หญิงที่ต้องปากกัดตีนถีบและเอาตัวรอดจากสังคมชายเป็นใหญ่ ก็ยังต้องรับผลกรรมที่ว่า ถึงกฎหมายจะลงโทษพวกเธอไม่ได้ แต่อำนาจมืดบางอย่างสามารถลงทัณฑ์พวกเธอได้เช่นนั้นหรือ?

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook