รีวิว Dumbo เมื่อดิสนีย์พาสเจอร์ไรซ์แอนิเมชั่นต้นฉบับ

รีวิว Dumbo เมื่อดิสนีย์พาสเจอร์ไรซ์แอนิเมชั่นต้นฉบับ

รีวิว Dumbo เมื่อดิสนีย์พาสเจอร์ไรซ์แอนิเมชั่นต้นฉบับ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

Dumbo คือแอนิเมชั่นเรื่องดังจากค่ายดิสนีย์ในปี 1941 โดยช่วงเวลาที่หนังออกฉายนั้น ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เนื่องจากแอนิเมชั่น 2 เรื่องก่อนหน้านี้ อย่าง Pinocchio และ Fantasia ขาดทุนจนเกือบทำให้สตูดิโออย่างดิสนีย์แทบล้มละลาย

 

อันที่จริงแล้ว Dumbo ไม่ได้เป็นแอนิเมชั่นที่ดิสนีย์เองคาดหวังสักเท่าไหร่ แต่ผิดคาด เมื่อหนังออกฉายกลับได้รับเสียงตอบรับจากผู้ชมเป็นอย่างดี หนังทำรายได้อย่างงดงามและได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกอย่างท่วมท้น ส่วนมากแล้วคนส่วนใหญ่มองว่า พล็อตรื่องของ Dumbo มีเนื้อหาให้กำลังใจผู้คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่าทุกอย่างจะอยู่รอดปลอดภัยไปได้ด้วยดี ทั้งที่จริงแล้ว เมื่อเราหยิบแอนิเมชั่นเรื่องนี้กลับมาดูในช่วงปัจจุบันจะพบว่าวิธีการออกแบบตัวละครในหนังมีความ “น่ากลัว” ซ่อนอยู่ในบริบทของเรื่องอย่างที่คนในยุคสมัยก่อนคาดไม่ถึง

 

 

ความน่ากลัวที่ว่าคือ หนังวาดภาพตัวละครประกอบเรื่องไม่ว่าจะเป็นฝูงช้างตัวเมียที่ คล้ายกับสมาคมแม่บ้านที่ขี้นินทาและเหยียดลูกช้างหูกางอย่างดัมโบ้ เหล่าฝูงอีกาในตอนท้ายเรื่องที่ล้อเลียนอัตลักษณ์ของคนผิวสี หรือกระทั่งฉากที่ช้างดัมโบ้ดันเห็นภาพหลอนซึ่งคล้ายกับอาการคนใช้สารเสพย์ติด และมันน่ากลัวตรงที่สิ่งเหล่านี้อยู่ในแอนิเมชั่น เรท G ที่เหมาะสำหรับคนดูตั้งแต่ลูกเด็กเล็กแดงไปจนถึงผู้ใหญ่ ทว่าในยุคสมัยดังกล่าวผู้คนยังไม่ได้มองเห็นถึงบริบทเหล่านี้ และเมื่อมันข้ามผ่านเวลามา สิ่งที่อยู่ในเรื่องจึงเป็นแค่แนวคิดตกค้างของยุคสมัย

 

Dumbo เวอร์ชั่นล่าสุดตัดประเด็นดังกล่าวออกจนหมด และเอาเข้าจริงๆ ในเวอร์ชั่นไลฟ์แอ็คชั่นนี้แทบจะเป็น “ภาคต่อ” ของงานต้นฉบับเสียด้วยซ้ำไป สัดส่วนของเรื่องราวในเวอร์ชั่นนี้เป็นการแบ่งเล่าเรื่องราวของกลุ่มมนุษย์ในคณะละครสัตว์แม็กซ์ เมดิซีกับลูกช้างดัมโบ้ในสัดส่วนเท่าๆกัน

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวอร์ชั่นหนังจึงกลายเป็นการเล่าเรื่องราวการผจญภัยของลูกช้างดัมโบ้ ที่ค้นพบว่าตัวเองมีหูขนาดใหญ่ แต่หูดังกล่าวเป็นทั้งพรวิเศษและคำสาปในเวลาเดียวกัน แน่นอนว่าเมื่อดัมโบ้ได้เรียนรู้วิธีใช้งานหูวิเศษของเขา นั่นทำให้ชีวิตของดัมโบ้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

 

 

ผลงานการกำกับของทิม เบอร์ตัน ใน Dumbo เวอร์ชั่นนี้ จัดได้ว่าเขายังคงลายเซ็นต์ของตัวเองไว้ชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของเรื่องเมื่อดัมโบ้ถูกซื้อตัวเพื่อเข้าร่วมกับสวนสนุกดรีมแลนด์ ดินแดนแห่งจินตนาการของ วี.เอ. แวนเดอเวีย (ไมเคิล คีตัน) สวนสนุกแห่งนี้ถูกออกแบบงานสร้างด้วยสีสันฉูดฉาด ซึ่งสอดรับกับยุคสมัยที่คณะละครสัตว์กำลังรุ่งเรืองในอเมริกา ในขณะเดียวกัน “เกาะฝันร้าย” ซึ่งเป็นพาร์ทหนึ่งของสวนสนุกแห่งนี้ก็แสดงถึงเอกลักษณ์ในงานกำกับของทิม เบอร์ตัน ที่แสดงความผิดปกติและแนวคิดอันบิดเบี้ยวของจิตใจมนุษย์ ทิ้งไว้ในเนื้องาน

 

อย่างไรก็ตาม Dumbo อาจจะไม่ใช่ผลงานที่น่าประทับใจนักของทิม เบอร์ตัน เมื่อเทียบกับผลงานเรื่องที่ผ่านๆมา แต่เมื่อมองว่าถ้ามันเป็นหนังสำหรับครอบครัวตามเรท PG แล้ว ก็ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราต้องคิดเยอะ ดูเอาความบันเทิงและแนวคิดในการใช้ชีวิตแบบกรุบกริบก็เพียงพอแล้ว

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook