รีวิว Blindspotting เพราะผมเป็นคนผิวสีน่ะเหรอ

รีวิว Blindspotting เพราะผมเป็นคนผิวสีน่ะเหรอ

รีวิว Blindspotting เพราะผมเป็นคนผิวสีน่ะเหรอ
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 

หนังทางเลือกครับ แจ้งเกิดมาจากเทศกาลซันแดนซ์ หนังตระเวณฉายประกวดในอีกหลายเทศกาลแล้วก็ได้รางวัลมาอีก 4 ตัว เป็นผลงานประเดิมของ 2 เพื่อนซี้ ดาวีด ดิกส์ และ ราฟาเอล คาซาล ที่แสดงนำร่วมกัน จากบทที่ทั้งคู่ร่วมกันเขียนเองที่นำเรื่องราวมาจากประสบการณ์ส่วนตัว และหลาย ๆ สารที่พวกเขาอยากจะสื่อออกมาอยู่ตลอด ดาวีด รับบทเป็น คอลลินส์ หนุ่มผิวสีที่เพิ่งออกจากเรือนจำและต้องอยู่ในช่วงทัณฑ์บนอีก 2 ปี หนังเล่าเหตุการณ์ใน 3 วันสุดท้ายของเขาก่อนพ้นทัณฑ์บน ที่ต้องเจอกับเหตุการณ์ล่อแหลมมากมาย ที่อาจจะพาให้เขาต้องกลับไปอยู่ในเรือนจำ โดยเฉพาะบรรดาปัญหาจาก ไมลส์ เพื่อนซี้ตั้งแต่วัยเด็กของเขา แม้ไมลส์จะเป็นคนผิวขาว แต่แทบจะมีนิสัยทุกอย่างตรงกันข้ามกับคอลลินส์ ทั้งวนเวียนอยู่กับเรื่องยาและปืน ซ้ำยังเป็นคนเลือดร้อนมุทะลุ จอมหาเรื่องสุด ๆ แต่ด้วยความที่เขาเป็นคนผิวสี จึงมักถูกสังคมพิพากษาว่าเป็นคนผิดอยู่ก่อนเสมอ ทั้งที่ตัวร้ายจริง ๆ ก็คือไมลส์เพื่อนซี้เขาเองนั่นแหละ

เรื่องราวของหนังเอื้อให้เป็นดราม่าทริลเลอร์ได้อย่างหนักหน่วงแต่ทุกครั้งที่หนังมุ่งหน้าไปในทิศทางตึงเครียด ก็จะเบาคันเร่งแล้วโทนของหนังก็จะผ่อนคลายลงมาอยู่ทุกครั้ง แล้วเลือกเดินหน้าด้วยการเล่าเรื่องแบบอารมณ์ดี เจือมุกให้ได้มีเสียงหัวเราะไปได้ตลอดทาง กับมุกตลกในสถานการณ์กระอักกระอ่วน ที่ทั้งคู่ต้องเจอในแต่ละวันในระหว่างทำงานเป็นพนักงานบริษัทรับขนย้าย แล้วต้องเจอกับลูกค้าแปลก ๆ หลาย ๆ ครั้งที่หนังดูเหมือนจะพาเราไปในโทนตื่นเต้นระทึกขวัญแต่หนังก็ดึงอารมณ์ให้ผ่อนลงมาอยู่ทุกครั้ง แต่ในทุก ๆ เหตุการณ์ที่คอลลินส์ประสบในช่วง 3 วันนี้ ทั้งการเป็นประจักษ์พยานเห็น ตำรวจยิงคนผิวสีต่อหน้าต่อตา หรือการที่ไมลส์สติแตกในงานปาร์ตี้ ฉากลูกสาวไมลส์เล่นปืนทำได้ลุ้นโคตร ๆ รวมไปถึงสาเหตุที่ทำให้คอลลินส์ ต้องไปติดคุกที่ถูกเล่าในสไตล์เดียวกับ “หลุยส์” ใน Ant-Man แม้เหตุการณ์จะรุนแรงแต่ก็ถูกเล่าแบบอารมณ์ดี ซึ่งเมื่อเรารับรู้ก็ชวนให้รู้สึกเห็นใจและเข้าใจกับชะตากรรมที่คอลลินส์ต้องเผชิญ ด้วยภายนอกดูเหมือนว่าคอลลินส์จะปล่อยวางกับทุก ๆ เรื่อง แต่แท้จริงแล้วเขาเก็บงำมันไว้ในใจแล้วไประเบิดออกในไคลแมกซ์ท้ายเรื่อง

ดาวีด ดิกส์ เป็นหนุ่มผิวสี ที่หน้าตาดูเป็นมิตร และมีสายตาที่ดูน่าสงสาร ซึ่งกล้องก็โคลสอัปสีหน้าเขาอยู่บ่อยครั้ง บวกกับบทที่เขาเขียนเองจากประสบการณ์จริง เขาจึงถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ บวกกับการเป็นเพื่อนซี้กันจริง ๆ กับราฟาเอล คาซาล จึงทำให้ทั้งคู่เข้าขากันอย่างรู้สึกได้จริง และด้วยตัวจริงที่ทั้งคู่เป็นศิลปินเพลงแร็ป บทสนทนาหลาย ๆ ตอนในเรื่องทั้งคู่จึงแร็ปใส่กันแทนการพูดคุย ซึ่งจุดนี้กลายเป็นการบ้านของคนดูที่ต้องตามให้ทันว่าช่วงไหนคือภาษาพูด ช่วงไหนคือภาษาแร็ป แล้วก็ต้องชื่นชมไปถึงคนแปลซับไตเติ้ลที่น่าจะทำงานหนักกว่าเรื่องอื่นกับบางฉากที่ดาวีด แร็ปแบบยาว ๆ รัว ๆ

แม้ว่าดาวีด ดิกส์ และ ราฟาเอล คาซาล จะรับเหมาทั้งการแสดงนำ เขียนบท และอำนวยการสร้าง แต่หน้าที่กำกับกลับส่งต่อให้ คาร์ลอส โลเปซ เอสตราดา ผู้กำกับหน้าใหม่ ที่เคยผ่านมาแต่งานหนังสั้นและทีวีซีรีส์ และนี่ก็คือผลงานกำกับหนังยาวเรื่องแรก แต่คาร์ลอสก็ควบคุมโทนหนังได้อยู่มือ รู้จังหวะผ่อนหนักผ่อนเบาได้ตลอดเรื่อง และยังสื่อ”สาร”ที่คู่หูดาวีด – ราฟาเอล ต้องการนำเสนอได้น่าจะครบถ้วน ทั้งสถานะของคนผิวสีในโอคแลนด์ แง่มุมวิถีชีวิตของชาวโอคแลนด์ที่ดาวีดอยากจะแฝงไว้ในหนังด้วยสำนึกรักบ้านเกิดในฐานะเขาเป็นคนโอคแลนด์จริง ๆ รวมไปถึงความรักความผูกพันของ 2 เพื่อนซี้ต่างสีผิว ที่ต่างก็มีหวังดีต่อกัน คอยทักท้วงให้สติกันอยู่บ่อย ๆ ครั้ง แม้ว่าคนใกล้ชิดอย่าง วาล อดีตคนรักจะรู้ถึงความเกเรของไมลส์ แล้วก็คอยเตือนให้คอลลินส์อยู่ห่าง ๆ แล้วชีวิตจะดีขึ้น ซึ่งคอลลินส์ก็รู้ซึ้งถึงความจริงข้อนี้ แต่เขาก็ไม่เคยทิ้งเพื่อนเลย

ราฟาเอล คาซาล ในบท “ไมลส์” ที่ทำหน้าที่เป็นทั้งเพื่อนรัก และตัวโชคร้ายของคอลลินส์ ด้วยเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสัก และชอบใส่ฟันทอง ภาพลักษณ์ของไมลส์จึงดูเป็นแบดบอยอย่างชัดเจน บทไมลส์เป็นสีสันทั้ง 2 ขั้วของเรื่อง เขาเป็นทั้งตัวหายนะที่พาคอลลินส์ไปพัวพันสถานการณ์เลวร้ายอยู่บ่อยครั้ง แต่ในทางตรงกันข้ามไมลส์ก็เป็นตัวชงมุกทำหน้าที่สร้างเสียงหัวเราะให้หนังไม่หม่นจนเกินไปนัก

เบื้องหน้าของ Blindspotting ที่ถูกฉาบไว้ด้วยความเป็นหนังอารมณ์ดี แต่ภายในนั้นเต็มไปด้วย”สาร”ที่คู่หูหน้าใหม่ไฟแรงอยากจะเล่าออกมาอย่างพรั่งพรู การตีแผ่สภานะคนผิวสีที่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ร้ายอยู่เสมอ ความรักของเพื่อนต่างสีผิว ความสัมพันธ์ระหว่างคอลลินส์-วาล ที่เว้นระยะห่างแบบห่วง ๆ ทั้งหมดถูกเล่าออกมาในหนังความยาว 95 นาทีนี้ จัดได้ว่าเป็นหนังฟอร์มเล็กที่มากับเนื้อหาหนัก ๆ แต่ก็มีลีลาในการเล่าเรื่องให้ผ่อนคลายเสพง่าย เป็นหนังที่มีดีในตัวพอควร สมแล้วที่กวาดหลายรางวัลมาจากเทศกาลหนัง และ 93% จาก rottentomatoes ก็ไม่ใช่เรื่องบังเอิญครับ

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook