Searching หนังตามหาลูกหาย ที่ระทึกขวัญสุดทางในเวลานี้

Searching หนังตามหาลูกหาย ที่ระทึกขวัญสุดทางในเวลานี้

Searching หนังตามหาลูกหาย ที่ระทึกขวัญสุดทางในเวลานี้
แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook

 Searching อาจจะเป็นหนังระทึกขวัญ พล็อตง่ายๆที่ว่าด้วยการตามหาลูกสาวที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย แต่อะไรกันที่ทำให้พล็อตหนังธรรมดาเรื่องนี้กวาดคำชมจากนักวิจารณ์อย่างท่วมท้น

 

 

เรื่องราวของเดวิด คิม

หลังจากที่ลูกสาววัย 16 ปีของเดวิด คิม (จอห์น โช) ได้หายตัวไป ได้มีการสืบสวนของตำรวจ รวมไปถึงมีการมอบหมายให้นักสืบคนหนึ่งเข้ามาดูแลคดีนี้ แต่เวลาเมื่อผ่านพ้นไปเกิน 37 ชั่วโมงและยังไม่มีความคืบหน้าใดเกิดขึ้น เดวิดจึงตัดสินใจค้นหาลูกสาวของตัวเองผ่านแล็ปท็อปของลูกสาวตัวเอง ว่าเธอมีกิจวัตรอะไรและไปทำอะไรมาก่อนที่จะหายตัวไปตลอดกาล ก่อนที่เขาจะได้พบความจริงอันน่าหวาดหวั่นที่เขาอาจจะยังไม่รู้จักลูกสาวของตัวเองดีพอ

 

 

เมื่อเครื่องมือสื่อสารเป็นมากกว่าไดอารี่

ก่อนที่จะกลายมาเป็นหนังอย่าง Searching อานีช ชาแกนตี้ (เขียนบท/ผู้กำกับ) และเซฟ โอฮาเนียน (เขียนบท/ผู้อำนวยการสร้าง) ต้องการจะทำหนังทริลเลอร์ร่วมสมัย ผ่านเทคโนโลยีและอุปกรณ์สื่อสารในชีวิตประจำวันของเรา จุดศูนย์กลางของหนังเรื่องนี้จึงประกอบไปด้วย มาร์โก้ ลูกสาวคนเดียวของเดวิดที่หายตัวไป เดวิด คุณพ่อผู้มุ่งมั่นที่จะตามหาลูกสาว และนักสืบวิค ผู้เห็นอกเห็นใจและจริงจังในการทำงาน

การตามหามาร์โก้ดำเนินไปได้ด้วยความช่วยเหลือจากเครื่องมือการสื่อสารสมัยใหม่  ทั้งโซเชียลมีเดีย ข้อความในอีเมล ชีวิตที่ปรากฏอยู่ในภาพถ่ายและคลิปวิดีโอที่ถูกเก็บเอาไว้เป็นไฟล์คอมพิวเตอร์ แต่ทั้งหมดที่เห็นไม่ใช่ความจริงเสมอไป เราคือสิ่งที่เราซ่อนไว้ในมือถือของเรา ซึ่งมักจะอำพรางความจริงมากพอๆ กับที่มันเปิดเผย ตัวตนเสมือนจริงของเราเป็นปัจเจกที่ถูกสร้างขึ้นอย่างดีที่สุดและเดวิดก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับลูกสาวของเขาจากทุกเงื่อนงำทางดิจิตอลมากกว่าที่เขาเคยรู้จักในชีวิตจริงเสียอีก หนังจึงล้วงลึกถึงความเป็นจริงของความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่สมัยใหม่กับลูกในยุคอินเทอร์เน็ต

 

 

ความหนักอกหนักใจของพ่อแม่ยุคใหม่

ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าระบบการสื่อสารในปัจจุบัน เรามีโอกาสที่จะปรุงแต่งตัวตนของเราในโลกเสมือนจริงมากยิ่งขึ้น มันจึงมีสิ่งหลายอย่างที่ผลักดันตัวตนของเราให้สามารถสร้างสรรค์หรือเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางลบที่เราอาจจะคาดไม่ถึงด้วยเช่นกัน Searching เล่าถึงความหนักใจของพ่อแม่ในรูปแบบใหม่ ว่าพวกเขาควรจะให้อิสระกับลูกมากน้อยแค่ไหน และเมื่อไหร่ถึงจะต้องรั้งพวกเขาไว้ ซึ่งทุกอย่างยากขึ้นเป็นพิเศษด้วยโซเชียลมีเดีย คำถามอยู่ที่ว่าพวกเขาติดต่อกับใครและพวกเขากำลังกลายเป็นใคร

 

 

วิธีการถ่ายหนังแบบไม่ธรรมดา

จะว่าไปแล้ว Searching อาจจะเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่ในการดูภาพยนตร์สำหรับหลายคน เพราะมันมีมุมกล้องและวิธีการถ่ายทำหนังแบบที่คุณอาจจะไม่เคยเห็นในหนังเรื่องอื่นๆมาก่อน อานีช ชาแกนตี้ ผู้กำกับของเรื่อง เคยทำงานให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Google เขามีโอกาสได้ทำวิดีโอคอนเทนท์ Google Glass: Seeds” ภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ถ่ายทำด้วยกูเกิ้ล กลาสตลอดทั้งเรื่องอันเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมเล็กๆ ที่เรียกว่า The Creative Collective ซึ่งออกแบบมาเพื่อสร้างความมั่นใจว่าผลิตภัณฑ์นี้จะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการถ่ายทำได้อย่างไร การสร้างคอนเทนท์จากหน้าจอ ซึ่งเป็นจอแบบอินเทอร์แอ็กทีฟที่ทันสมัยที่สุด ต้องอาศัยทักษะการทำงานทั้งเชิงเทคนิคและการปฏิบัติการ ซึ่งชาแกนตี้และโอฮาเนียนจะนำมาใช้ในงานสร้าง Searching อีกที ในหลายๆ แง่มุม

 

 

ยังไม่รวมไปถึงเทคนิคในการเล่าเรื่องแบบใหม่ที่เรียกคอนเซ็ปต์นี้ว่า สกรีน ไลฟ์ และพูดถึงมันว่าเป็นภาษาภาพยนตร์ใหม่ ทิเมอร์ เบคแมมเบทอฟ อีกหนึ่งผู้อำนวยการสร้างได้กล่าวไว้ ซึ่งเขาคิดแนวคิดนี้ขึ้นมาได้ในปี 2012 ระหว่างบทสนทนาผ่านโปรแกรมสไคป์ (Skype) กับคู่หูการอำนวยการสร้างของเขา หลังจากบทสนทนาทางธุรกิจจบลง เพื่อนร่วมงานเขากลับลืมที่จะปิดฟังค์ชันการแบ่งปันหน้าจอ เบคแมมเบทอฟได้เห็นเขาเสิร์ชอินเทอร์เน็ต ส่งข้อความทางเฟซบุ๊ค สั่งออเดอร์ทางอเมซอน และ ฯลฯ ในตอนนั้น เขาได้แอบเห็นชีวิตส่วนตัวของเพื่อนเขา แรงจูงใจของเขา สิ่งที่เขากังวล ณ ขณะนั้น จากหน้าวินโดว์ที่ถูกเปิดขึ้น ลักษณะที่เขาขยับเคอร์เซอร์ ตัวเลือกที่เขาเลือกและลักษณะที่เขาพิมพ์ ข้อความนั้น จากการพิมพ์ไปจนถึงการลบ สู่การตัดสินใจที่จะลบหรือส่ง เผยให้เห็นอารมณ์หลากหลาย และทั้งหมดนั้นก็อยู่ภายในวิธีการนำเสนอภาพวิชวลแบบเดียว

 

 

ออกกองถ่ายไม่กี่วัน แต่ตัดต่อนั้นยาวนาน

หลายคนอาจจะเข้าใจว่าการถ่ายทำหนังหรือละครสักเรื่อง อาจจะต้องเรียงลำดับตามเวลาแบบที่เราได้เห็นในเนื้อเรื่อง แต่ความเป็นจริงแล้ว วิธีการถ่ายทำอาจจะถ่ายตอนจบของเรื่องก่อนจะถ่ายทำฉากแรกก็เป็นได้ สำหรับ Searching ที่ใช้เวลาในการถ่ายทำกับนักแสดงเพียงไม่กี่วัน แต่ในขั้นตอนตัดต่อกลับยุ่งยากและใช้เวลานานและต้องอาศัยมือลำดับภาพสองคน ซึ่งก็คือวิล เมอร์ริคและนิค จอห์นสัน ในการร้อยเรียงการถ่ายทำ นอกเหนือจากการแสดงของนักแสดงและฉากจริงๆ แล้ว สิ่งต่างๆ ที่ถูกถ่ายทำ จัดฉากหรือบันทึกเป็นภาพสกรีน แคปเจอร์, เว็บไซต์, ความเห็นในบล็อก, ข้อความ หรือคลิปข่าวดิจิตอล จะต้องถูกเสริมเข้าไปในช่วงลำดับภาพ ในขณะที่การถ่ายทำดำเนินไป องค์ประกอบต่างๆ จากคัทหยาบๆ ในตอนแรกนั้นจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยเวอร์ชันที่ผ่านการออกแบบมากกว่า เรียบร้อยกว่าและมีรายละเอียดมากกว่า ซึ่งกระบวนการการลำดับภาพทั้งหมดนานกว่าหนึ่งปี!

 

 

 

 

แชร์เรื่องนี้
แชร์เรื่องนี้LineTwitterFacebook